ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 629 เทพ (1)
บทที่ 629 เทพ (1)
เพียะ
ลู่เซิ่งตบแก้มซ้ายของผู้นำเจ็ดอย่างแรง
แก้มซ้ายที่นุ่มนิ่มของเขาบวมขึ้นด้วยความเร็วที่ตาเนื้อเห็นได้ทันที
แต่เด็กคนนี้ยังคงไม่ตอบสนอง
ลู่เซิ่งงุนงง ตอนแรกเขาเหมือนจะเห็นผู้นำเจ็ดนิ่งไปเพราะอะไรบางอย่าง จึงรีบฉวยโอกาสที่จิตใจของเขาสั่นคลอนหย่อนความระวังใช้วิชาจิตโน้มนำ แต่นึกไม่ถึงว่าเด็กคนนี้เหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่น
‘สำเร็จหรือไม่สำเร็จเนี่ย’ ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย
“นาย!” ผู้นำเจ็ดพลันได้สติ ก่อนที่จะถอยไปด้านหลังอย่างตกใจหวาดกลัว “อย่าเข้ามานะ!”
ลู่เซิ่งเอือมระอาเล็กน้อย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนช่วยชีวิตนะ สุดท้ายกลับมีปฏิกิริยาแบบนี้งั้นเหรอ
‘ดูเหมือนจะไม่สำเร็จแฮะ…เก๋อซาสะกดจิตยากขนาดนี้เชียวหรือ’ เขาแปลกใจเล็กน้อยๆ ทั้งๆ ที่หากยึดตามอายุของเก๋อซา พวกเขาควรมีประสบการณ์ไม่มากและผ่านโลกมาน้อย ทั้งยังมีวุฒิภาวะไม่เพียงพอแท้ๆ ตามเหตุผล น่าจะควบคุมได้ง่ายๆ ถึงจะถูก
ทว่าในความเป็นจริง กลับไม่อาจควบคุมจิตใจของอีกฝ่ายได้
‘น่าสนใจแฮะ…มีพลังด้านอื่นลดลงรึเปล่า’ ลู่เซิ่งลูบคาง แล้วหมุนตัวเดินไปยังซากปรักหักพังแห่งหนึ่งพร้อมกับเสียบมือเข้าไปในพื้นเหมือนกับหั่นเต้าหู้
เปรี้ยง!
ก้อนอิฐกลุ่มหนึ่งระเบิดออก ซากปรักหักพังปรากฏหลุมใหญ่ที่กว้างเจ็ดแปดเมตร
เด็กผู้หญิงงดงามสองคนที่สวมชุดแม่บ้านนอนสลบไสลอยู่ในหลุม เป็นเด็กสาวสองคนที่ถูกเขาสะกดจิตไปเมื่อก่อนหน้านี้นั่นเอง
เด็กสาวสองคนนี้ไม่ใช่เก๋อซา แต่ฝีมือกับคุณสมบัติร่างกายล้วนไม่เลว เหมาะแก่การนำมาใช้งานเป็นลูกน้องโดยสมบูรณ์
ในช่วงขาดแคลนที่ลู่เซิ่งไม่มีลูกน้องที่เชื่อใจได้อย่างตอนนี้ บุคลากรเป็นทรัพยากรที่เขาต้องการอย่างเร่งด่วนที่สุด
ยังมีจิ่วหนานอีกคนหนึ่ง
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงปกป้องแม่บ้านสองคนที่คอยปกป้องเขาอยู่หน้าประตูในช่วงเวลาคับขันก่อน
พอผู้นำเจ็ดเห็นลู่เซิ่งอุ้มเด็กสาวสองคนจากไป จึงค่อยโล่งอก
เขาถูกสะกดเพราะฉากเมื่อครู่จริงๆ ดาวตกสิ้นโลกของมารนรก ต่อให้เป็นระดับประเทศก็ถือว่าเป็นอาวุธสังหารที่มีชื่อเสียงและน่ากลัวอยู่ดี
อานุภาพเทียบเท่ากับขีปนาวุธทางยุทธวิธีแบบพื้นสู่พื้นจำนวนมาก ขอบเขตรัศมีมากกว่าพันเมตรถูกทำลายพินาศได้ในพริบตา
ทว่าการโจมตีด้วยดาวตกที่น่ากลัวแบบนี้กลับโดนชายหนุ่มคนเมื่อครู่ต่อยกระจายในหนึ่งหมัด
ซู่…
เวลานี้สีแดงเข้มบนท้องฟ้ารอบๆ เริ่มหายไปอย่างรวดเร็ว
ผู้นำเจ็ดถอนใจอย่างแรง นี่หมายความว่ามารนรกถอยกลับไปแล้ว แม้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากใช้พลังเทพรังสรรค์จะเลวร้ายสุดขีด ทว่า…คนตายล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีความสำคัญ สำคัญสุดคือตัวเขาไม่เป็นไร
ไม่นานนัก สีแดงเข้มก็หายไปโดยสิ้นเชิง ด้านหน้าผู้นำเจ็ดพร่ามัวแวบหนึ่ง เขายังคงยืนอยู่ในห้องสำนักงานห้องเดิม
กำแพงของตึกใหญ่รอบๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แต่ว่าทั่วทั้งตึกกลับเงียบสงัด เสียงคนที่ก่อนหน้านี้ดังเจี๊ยวจ๊าว เวลานี้กลับเงียบงัน
เขาถอนใจอีกเฮือกพร้อมกับค่อยๆ ผลักประตูออกไป แล้วก็เห็นลู่เซิ่งที่ใช้มืออุ้มแม่บ้านสองคนไว้คนละข้างพอดี
ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านหน้าประตูสำนักงานอีกบานหนึ่งบนระเบียง พลางเงยหน้ามองไปด้านใน
“ไม่ต้องดูหรอก…นอกจากหลิงเอ่อร์กับอวี๋เอ๋อร์ที่อยู่ในมือนาย คนอื่นๆ ตายไปหมดแล้วล่ะ” ผู้นำเจ็ดนิ่งไปสักพัก ก่อนจะกล่าวอธิบาย
“นี่คือพลังเทพรังสรรค์ ต้นเหตุที่ทำให้พวกเราได้รับการเรียกขานว่าเทพคือสิ่งนี้ ชีวิตที่ถูกลูกหลงจนตายในมิติของพลังเทพรังสรรค์จะสูญเสียการดำรงอยู่ในโลกความเป็นจริงไปด้วย”
ลู่เซิ่งละสายตากลับมา ในห้องสำนักงานไม่มีใครสักคนเดียว ไม่มีศพ ไม่มีไฟ มีแต่ความว่างเปล่า
เหมือนกับที่นี่ไม่มีใครอยู่แต่แรก
“ดูเหมือนฉันจะรู้แล้วว่าฆาตกรเป็นใคร” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ ในเมื่อสะกดจิตไม่ได้ อยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีความหมายอะไร เมื่อมีจิ่วหนานกับพี่น้องที่เขาควบคุมไว้อยู่ด้วย ข้อมูลที่เขาต้องการล้วนเอามาได้ในไม่ช้าก็เร็ว
เขาเตรียมจากไป
“รอเดี๋ยวก่อน! พวกเราร่วมมือกันได้นะ! นายช่วยชีวิตฉันไว้! ฉันส่งข้อมูลสำคัญอย่างหนึ่งให้นายฟรีๆ ได้นะ! เป็นข้อมูลเกี่ยวกับมารนรก!” ผู้นำเจ็ดซึ่งอยู่ด้านหลังรีบตะโกนเรียกเขา
“ข้อมูลสำคัญเหรอ” ลู่เซิ่งหันกลับไป
“ใช่…ฉันอาจจะเดาได้แล้วว่าเป้าหมายของมารนรกคืออะไร” ผู้นำเจ็ดตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
…
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ลู่เซิ่งออกมาจากตึกใหญ่ เห็นรถยนต์สีดำจำนวนไม่น้อยจอดอยู่ข้างตึก กลุ่มคนจำนวนมากลงจากรถแล้วทยอยเดินเข้าตึกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เพื่อทำงานต่อ เหมือนกับที่นี่คือที่ทำงานของพวกเขาอยู่แล้ว
ไม่นานนักในตึกก็มีเสียงโทรศัพท์และเสียงพิมพ์ดีดดังขึ้นเหมือนอย่างในตอนแรก
จิ่วหนานขับรถส่วนตัวของตัวเองอีกคันมารับลู่เซิ่ง
“เกิดอะไรขึ้นกัน” ลู่เซิ่งถามพลางนิ่วหน้า ก่อนจะเปิดประตูรถและขึ้นไปนั่ง
“พวกคนก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่เป็นเงาลวงตาครับ เป็นหนึ่งในความสามารถของท่านผู้นำเจ็ดแห่งหงส์จักรพรรดิเงาลวงตาสามารถสร้างฉากเหตุการณ์ที่เลียนแบบจากในความทรงจำของตัวเองได้” จิ่วหนานอธิบาย
จากนั้นก็สตาร์ทรถ และขับออกห่างจากตึกใหญ่อย่างช้าๆ
“ยังมีความสามารถแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย” ลู่เซิ่งนึกฉงน พลันเสียดายยิ่งกว่าเดิมที่ควบคุมผู้นำเจ็ดไม่ได้
“ความสามารถของพวกนายท่านเก๋อซามีอยู่หลากหลายประเภท แต่ว่าความสามารถทั้งหมดมีจุดร่วมหนึ่ง นั่นก็คือแข็งแกร่ง!” จิ่วหนานเอ่ยพลางถอนใจชมเชย “ความสามารถของผมมาจากตัวหลานสาวผมเอง ความสามารถที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเธอคือการควบคุมอากาศ ขอแค่เธอต้องการ ใช้เวลาแค่หนึ่งวัน เมืองต้นบุปผาทั้งเมืองจะถูกความสามารถของเธอทำลายล้างจนพินาศสิ้นได้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต้องตายเพราะหายใจไม่ออก”
“แข็งแกร่งจริงๆ นั่นล่ะ” ลู่เซิ่งพยักหน้า ดีที่ร่างคงกระพันสูงสุดของเขาบรรลุถึงระดับหายใจภายในได้แล้ว ถือเป็นลักษณะเฉพาะตัว พึ่งพาโลกภายนอกต่ำสุดขีด
ร่างกายและพลังอันแข็งแกร่งที่พัฒนาขึ้นหลังจากเรียนรู้วิชามวยประเภทนี้ถึงจุดสูงสุด ต่อให้เป็นวิถีแปดมารสูงสุดในอดีต ก็ไม่กล้าบอกว่าเอาชนะได้อย่างแน่นอน
“หลานสาวของนายเหรอ…” ลู่เซิ่งลูบคาง “ไม่ต้องรีบส่งฉันกลับหรอก พาฉันไปหาหลานสาวของนายก่อน ฉันรู้สึกสนใจในตัวเธอมาก”
จิ่วหนานผุดสีหน้างุนงง จากนั้นก็ยิ้มหนักใจ “นายท่าน ถ้าหากทำได้ ผมแนะนำเด็กผู้หญิงคนอื่นให้ท่านได้นะ”
“คิดไปถึงไหนกันล่ะเนี่ย ฉันก็แค่สนใจในความสามารถของเธอเท่านั้น” ลู่เซิ่งอธิบาย “พาฉันไปซะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ความจริง…ก็ได้ครับ…” จิ่วหนานอยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไว้ สีหน้าค่อนข้างจนใจ แต่สุดท้ายก็ตกปากรับคำ
เขาขับรถไปสักพัก จากนั้นก็หาเส้นทางที่ไม่มีกล้องวงจรปิด พลางหยิบโทรศัพท์ออกมาทำการโทรออก
แล้วค่อยพาลู่เซิ่งตรงดิ่งไปยังเขตคฤหาสน์นอกชานเมือง
เวลาล่วงเลยถึงช่วงข้าวเย็น จิ่วหนานขับรถมาถึงสุดทางของเขตคฤหาสน์อย่างมั่นคง แล้วค่อยๆ จอดที่ด้านหน้าคฤหาสน์หลังหนึ่งที่อยู่ด้านในสุด
เขาเหลียวมองลู่เซิ่ง จากนั้นนำโทรศัพท์ออกมาโทรออก
เขาโทรติดอย่างรวดเร็ว ใช้ภาษาถิ่นพูดอย่างรวบรัดสองสามประโยค ก่อนจะวางสายลง
“ผมบอกหลานสาวผมถึงเรื่องของคุณแล้ว บอกว่าคุณเป็นหัวหน้าคนหนึ่งของผม ครั้งนี้มาเพราะต้องการถามเธอถึงข้อมูลด้านความสามารถของเก๋อซา”
ลู่เซิ่งพยักหน้าน้อยๆ
จิ่วหนานยิ้มหนักใจ “นอกจากนี้ขอให้นายท่านระวังตัวไว้ด้วย เพราะความสามารถอีกอย่างหนึ่ง…หลานสาวผมเลยมีนิสัยพิลึกอยู่บ้าง…โดยเฉพาะความสามารถของเธอ เนื่องจากผมเป็นครอบครัวของเธอ เลยบอกชัดๆ ไม่ได้…”
“อือ ฉันจะระวัง” ลู่เซิ่งคาดหวังเล็กน้อย นี่เป็นเก๋อซาคนที่สองที่เขาจะได้ติดต่อด้วยอย่างเป็นทางการ หวังว่าจะมีผลลัพธ์ที่ดีนะ
ทั้งสองลงจากรถ จากนั้นจิ่วหนานก็พาเขาเดินไปถึงหน้าประตูเหล็กบานใหญ่ของคฤหาสน์และกดกริ่งประตู
ติ๊งต่อง…
หลังจากเสียงกริ่งดังสองครั้ง ประตูเหล็กก็ค่อยๆ เปิดเข้าไปด้านใน
จิ่วหนานยิ้มประจบ “ผมไม่เข้าไปด้านในแล้ว นายท่านตามสบาย นอกจากนี้ อย่าประมาทเด็ดขาดนะครับ”
“อืม ฉันจะระวังตัว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
เขาอ้อมน้ำพุ เดินไปถึงหน้าประตูคฤหาสน์ แล้วผลักประตูเบาๆ
เด็กสาวงดงามที่มีผมยาวสีขาวอมเทาถึงไหล่และผูกโบว์สีดำอันโตไว้บนศีรษะยืนอยู่ที่ประตูด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เหมือนกำลังรอต้อนรับเขาอยู่
เด็กสาวสูงราวหนึ่งเมตรสี่สิบกว่าๆ หน้าอกหน้าใจตั้งตระหง่าน หุ่นผอมบางเล็กน้อย แต่สามารถเห็นส่วนสะโพกที่งามงอนผ่านชุดเดรสบนร่างเธอได้
สิ่งที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่เห็นจะมีแต่ผิวของเธอที่ซีดจนไม่มีสีเลือดเหมือนกับไม่ถูกแสงมานาน
“ยินดีต้อนรับ ไม่ได้ต้อนรับแขกมานานแล้วจริงๆ เข้ามาสิคะ” เด็กสาวทักทายด้วยเสียงเย็นชา
“ขอรบกวนด้วย” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างเป็นมิตร ก่อนจะเปลี่ยนรองเท้าเข้าบ้าน เขาเพิ่งจะเดินเข้าไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงโครมจากด้านหลัง ประตูคฤหาสน์ปิดลงอย่างรุนแรง
เด็กสาวคนนั้นวางโซ่เหล็กขนาดหนาเท่าแขนที่อยู่บนประตูลง จากนั้นก็เสียบสลักประตูห้าแถวที่ใหญ่เท่าข้อมือเข้าไปเหมือนไม่มีเรื่องราวใด
สุดท้ายเธอก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ไม่ทราบว่ากดปุ่มจากตรงไหน
ตู้ด…
บนประตูใหญ่มีกำแพงโลหะผสมสีเงินแผ่นหนาค่อยๆ เลื่อนลงมาปิดทางออกไว้อย่างหนาแน่น
“เรียบร้อย” เด็กสาวหันมามองลู่เซิ่งที่หมดคำพูดอยู่บ้าง “ขอโทษค่ะ ไม่มีแขกมานานแล้ว เลยตื่นเต้นนิดหน่อย”
ลู่เซิ่งค่อยสังเกตเห็นว่าในคฤหาสน์ไม่มีหน้าต่างสักบาน ทางเข้าออกเพียงหนึ่งเดียวคือประตูใหญ่ที่เขาใช้เข้ามา
“ตามฉันมาค่ะ” เด็กสาวเดินไปยังบันไดไม้ในโถงใหญ่โดยไม่สนใจสิ่งใด “อาฉันบอกฉันว่าจะมีคนยอมมาเป็นแขกที่บ้านฉัน ต่อให้จะเป็นแค่การถามข้อมูลก็เถอะ แต่ฉันดีใจมาก นอกจากนี้ชื่อของฉันคือหลินชือชือนะคะ คุณเรียกฉันว่าชือชือก็ได้ ฉันชอบให้คนเรียกฉันแบบนี้”
ในนัยน์ตาสีดำดวงโตของเด็กสาวฉายแววลิงโลดและคาดหวังที่บรรยายไม่ได้ ยังมีความปรารถนาและความยินดีอยู่ด้วย
“ฉันชื่อตู้สยง จะเรียกชื่อเต็มฉันหรือเรียกฉันว่าพี่ใหญ่ตู้ก็ได้” ลู่เซิ่งตอบกลับอย่างมีมารยาท
“ถ้าอย่างนั้นพี่ใหญ่ตู้มาหาฉันเพราะอะไรเหรอคะ ก่อนมาพี่เคยได้ยินเรื่องของฉันมาก่อนหรือเปล่า” หลินชือชือพูดพลางพร้อมกับพาลู่เซิ่งเข้าไปในห้องพักผ่อนทานอาหารว่างที่ดูเหมือนกับห้องสมุด
“ไม่เคยได้ยิน เพียงแต่ได้ยินว่าเธอควบคุมอากาศได้” ลู่เซิ่งตอบอย่างซื่อสัตย์
“อ้อ ฉันไม่ได้ใช้ความสามารถนั้นมานานแล้วล่ะ” หลินชือชือว่า “เทียบกับมันแล้ว ฉันชอบอีกความสามารถหนึ่งของตัวเองมากกว่า”
“ความสามารถอะไร” ลู่เซิ่งเกิดความสนใจเล็กน้อย
“หมื่นปรารถนา” หลินชือชือล็อกประตูดังแกร๊ก ก่อนจะหันมามองลู่เซิ่ง
เธอเริ่มถอดกระโปรงยาวสีน้ำเงินบนร่าง โชว์รูปร่างงามของเด็กสาวที่สวมแค่ชุดชั้นในแนบเนื้อ
เปลวเพลิงร้อนแรงแผ่ขยายออกมาจากดวงตาของเธอ หลินชือชือจ้องมองหุ่นล่ำของลู่เซิ่ง รู้สึกราวกับร่างกำลังลุกไหม้
“มาเลย! ฉันชอบคนล่ำๆ แบบพี่นี่แหละ!” เธอปลดชุดชั้นในลง
ฟ้าวๆๆ! หนวดเนียนละเอียดสีดำสนิทหลายสิบเส้นพุ่งออกไปใส่ลู่เซิ่งอย่างบ้าคลั่ง
“ให้ฉันได้เอ็นดูพี่เถอะ! ฮ่าๆๆ!” หลินชือชือหัวเราะพลางกระโจนเข้าใส่ลู่เซิ่งด้วยใบหน้าวิปลาส
“อะไรกันเนี่ย?!” ลู่เซิ่งถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะเอียงตัวเตะใส่
เปรี้ยง!
พละกำลังอันมหาศาลสั่นสะเทือนอากาศอย่างรุนแรง กลายเป็นเงาขาที่พร่ามัวกระแทกโดนหนวดไปหลายสิบเส้น
เปรี้ยงๆๆๆ!
หนวดทั้งหมดขาดลงในพริบตา ร่างของหลินชือชือพุ่งคว่ำใส่ประตูเหล็ก ฝังร่างเข้าไปทั้งตัว
“จงขาดอากาศซะ!” เธอหวีดร้อง
อากาศในห้องพลันบีบรัดและแข็งตัว ลู่เซิ่งหายใจไม่ออกในทันที
……………………………………….