ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 634 เบื้องหลัง (2)
บทที่ 634 เบื้องหลัง (2)
ลู่เซิ่งน้ำท่วมปาก ไม่ใช่เขาไม่อยากอธิบาย แต่ในความทรงจำที่พรั่งพรูออกมาเวลานี้มีฉากแบบนี้อยู่จริงๆ ความรักที่ตู้สยงมีต่อน้องๆ ไปถึงขั้นวิปริตแล้ว
เขาถึงขั้นอาบน้ำให้น้องจนถึงสิบขวบ เวลานี้ถูกตู้เซี่ยเปิดโปง จึงกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ทว่าหลังจากทะเลาะกันเสร็จแล้ว บรรยากาศตึงเครียดในกลุ่มก็ลดลงมาก
เห็นได้ชัดว่าตู้เซี่ยจงใจทำแบบนี้ เพื่อไม่ต้องการให้ลู่เซิ่งเคร่งเครียด
“พอแล้ว! เธอ! ออกไปลองดูซิ!” ลู่เซิ่งชี้จอมเผด็จการจันทราน้ำแข็ง เมื่อครู่ยัยหนูผู้นี้ยังกลั้นหัวเราะไม่อยู่
เอ่อ…
จอมเผด็จการจันทราน้ำแข็งงุนงง แต่ท่าทางของลู่เซิ่งไม่เหมือนกับกำลังล้อเล่น เธอจึงได้แต่ก้าวออกมาด้วยความจนปัญญา
ซู่…
สีดำอมน้ำเงินชั้นหนึ่งแผ่ขยายออกมาจากข้างใต้เธออย่างรวดเร็ว
“สนมน้ำแข็ง ฝากด้วยนะ!” เธอส่งเสียงตวาด
เงาสีดำอมน้ำเงินสายหนึ่งโผบินออกมาจากด้านข้างเธอ แล้วพุ่งใส่หญิงผมดำที่อยู่บนบัลลังก์พร้อมกับความหนาวเย็นยะเยือก
พื้นและผนังที่เงาพุ่งผ่านต่างก็เกิดเกล็ดน้ำแข็งสีขาวผืนใหญ่ แช่แข็งเนื้อทั้งหมดเอาไว้
สิ่งที่ประหลาดที่สุดก็คือ หลังจากเนื้อถูกแช่แข็งก็มีแมลงสีขาวตัวเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนผุดออกมาจากด้านในชั้น
แมลงพวกนี้เริ่มกัดกินเนื้อในน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว
“การโจมตีซึ่งหน้าของระดับแม่มด ขอดูผลลัพธ์หน่อยเถอะ” ลู่เซิ่งจ้องมองผู้หญิงบนบัลลังก์
พรูด
มิคาดเงายังไม่ทันได้เข้าใกล้ผู้หญิง ก็สลายหายไปเองกลางอากาศ
“เอ๋” จอมเผด็จการจันทราน้ำแข็งงุนงง กำลังจะลงมือต่อ
“คู่ต่อสู้ของพวกเธอไม่ใช่ฉัน” หญิงผมดำกล่าวอย่างเชื่องช้า “ฉันเป็นเพียงผู้ถูกผนึกที่อยู่ที่นี่เท่านั้น ผู้ที่พวกเธอต้องรับมือก็คือเขา”
จากนั้นก็เกิดเสียงเนื้อฉีกขาดดังขึ้น
เงาคนที่ตัวเป็นสีดำสนิทและมีผมสีขาวที่ยาวจนถึงส้นเท้า มุดออกมาจากผนังด้านหลังทุกคน
“ฉันเอง!” เซียนร้อยบุปผาสืบเท้าออกมาก้าวหนึ่งแล้วโบกมือบังคับศพเก๋อซาจำนวนมากออกมา ศพผู้หญิงเหล่านี้เหินบินเข้าหาเงาคน
ฉึก!
ทันใดนั้น มีเส้นเลือดสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากร่างของเงาคนผมขาว แล้วแทงทะลุเก๋อซาที่เซียนร้อยบุปผาส่งออกมาอย่างแม่นยำ
ซู้ด…
เก๋อซาทั้งหมดถูกสูบกินจนกลายเป็นศพแห้ง
“สมบัติมีค่าของฉัน!” เซียนร้อยบุปผาร้อนรน รีบชักศพกลับ แต่ศพผู้หญิงที่ชักกลับมาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แล้ว พากันกลายเป็นผงสีดำโปรยปราย
“เก๋อซาเหรอ” คนผมขาวหัวเราะเหอะๆ คล้ายจะเป็นเพราะสูบกินศพผู้หญิง ร่างจึงอวบอิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เส้นสายกล้ามเนื้อจำนวนมากนูนขึ้นมา เส้นเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนหดกลับหายเข้าไปในตัวเขาเอง
ใบหน้าไม่ชายไม่หญิงค่อยๆ โผล่ออกมาจากส่วนใบหน้าของเขา
“มียาชูกำลังมาอีกแล้ว…” ร่างกายอันสมบูรณ์แบบของคนผมขาวปรากฎออกมาโดยสมบูรณ์ เกราะผิวซึ่งมีลายปานสีขาวรวมตัวบนผิวหนัง ปกคลุมลำตัวไว้
“เป็น…เป็นไปได้ยังไง…! สมบัติมีค่าของฉัน…” เซียนร้อยบุปผาผุดสีหน้าดุร้ายและเจ็บปวดขึ้นมา
“สมบัติที่ฉันพยายามรวบรวมมาตั้งสามปี…อ๊าก! ฉันจะฆ่าแก!”
ร่างกายอ้วนฉุของเขากระโดดขึ้นอย่างฉับพลัน ปีกเนื้อขนาดยักษ์สีชมพูที่เหมือนกับมารร้ายคู่หนึ่งรวมตัวบนหลังของเขา ปลายปีกเนื้อมีมือใหญ่สองข้างงอกขึ้นมา พร้อมกับคว้าตะปบใส่คนผมขาวจากทางซ้ายและทางขวาพร้อมกัน
คนผมขาวสะบัดฝ่ามือใส่ดุจสายฟ้าฟาด ฝ่ามือของเขาที่เดิมทีมีขนาดปกติขยายใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วสูง พร้อมกับวาดเงาฝ่ามือพร่ามัวออกมาสายหนึ่ง
เปรี้ยง!
ปีกเนื้อทั้งสองข้างถูกเงาฝ่ามือจับเอาไว้
“แก!?”
เซียนร้อยบุปผาลืมตาโต คิดจะโต้ตอบ แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว
ตูม!
ร่างจ้ำม่ำของเขากระแทกเข้ากับผนังด้านข้างอย่างแรง ก่อนจะกระอักเลือดออกมา
“เสียงยะเยือก” จอมเผด็จการจันทราน้ำแข็งพุ่งเข้าไป ผมยาวกลายเป็นสีฟ้าในชั่วพริบตา แต่ละเส้นยาวขึ้นอย่างรวดเร็ว ลอยไปลอยมาพร้อมกับแทงใส่อีกฝ่ายอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ฉึกๆๆๆ!
คนผมขาวไม่หลบหลีก ยืนอยู่กับที่ปล่อยให้เส้นผมนับไม่ถ้วนแทงใส่ร่าง
ติ๊งๆๆๆ!
เสียงที่เส้นผมสีฟ้าแทงใส่ร่างเขาเหมือนแทงใส่ผิวโลหะ
ไม่ทราบว่าบนร่างคนผมขาวมีเยื่อโลหะแววววาวสีดำปกคลุมตั้งแต่เมื่อไหร่ ป้องกันการทิ่มแทงจากเส้นผมเอาไว้ได้ทั้งหมด
“ใช้อิทธิฤทธิ์ความสามารถต่อหน้าข้างั้นหรือ”
คนผมขาวอ้าปากพ่นแสงสีขาวเจิดจ้าออกมาสายหนึ่ง
ฟิ้ว!
แสงสีขาวลอยฉวัดเฉวียนและตัดเส้นผมสีฟ้าทิ้งได้อย่างง่ายดาย สุดท้ายก็พุ่งใส่จอมเผด็จการจันทราน้ำแข็ง
“ความเย็นสัมบูรณ์!” จอมเผด็จการจันทราน้ำแข็งแค่นเสียง ถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกับแทงปลายนิ้วไปด้านหน้า แสงสีน้ำเงินกลุ่มหนึ่งระเบิดกลายเป็นไอเย็นสีน้ำเงินเข้มอย่างฉับพลัน แล้วกระแทกเข้ากับแสงสีขาว
ตูม!
ทั้งสองสิ่งระเบิดขึ้นพร้อมกัน
ไม่รอให้จันทราน้ำแข็งตอบสนอง ก็เห็นในมือคนผมขาวที่อยู่ไกลออกไปมีแสงสีขาวเจิดจ้าพ่นออกมาอีกหลายสายหมุนวนอยู่
“พายุพันเฉือน” คนผมขาวสะบัดโยนแสงสีขาวออกมา แสงสีขาวนับไม่ถ้วนแทงใส่ไอเย็นของจันทราน้ำแข็งจากทั่วทิศเหมือนกับกระบี่บิน ไม่นานไอเย็นก็กระจัดกระจายออกไปไม่หลงเหลือพลังแล้ว
“เงาสวรรค์ร้อยบุปผา!” เด็กร่างอ้วนที่อยู่ใกล้ๆ ยันร่างอาบเลือดขึ้นมาและฉวยโอกาสโจมตีอย่างดุร้าย
ใบหน้าของเขาพ่นไอหมอกสีชมพูจำนวนมากออกมา ไอหมอกทั้งหมดรวมตัวกันกลายเป็นกลีบดอกไม้สีชมพูขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่ง แล้วลอยเข้าหาคนผมขาว
“โง่เง่า! พลังของเก๋อซาทุกคนมาจากข้า กลับกล้ามาเปรียบเทียบอิทธิฤทธิ์ความสามารถกับข้างั้นเหรอ” คนผมขาวกางสิบนิ้วออก ปลายนิ้วทุกนิ้วมีเงาอักขระหลากสีสันจุดหนึ่งรวมตัวกันออกมา
“ไปซะ วงแหวนมารอัคคีสีชาด!” เขาดีดนิ้วชี้ออกไป ดวงดาวเพลิงสีแดงจุดหนึ่งขยายใหญ่ขึ้น ก่อนจะหายไปจากด้านหน้าในชั่วพริบตา
ตูม!
วงแหวนไฟสีทองกลุ่มหนึ่งระเบิดขึ้นด้านในกลีบดอกที่เด็กร่างอ้วนปล่อยออกมา ทำลายกลีบดอกไม้ไปจนหมดสิ้นได้อย่างง่ายดาย
คนผมขาวยิ้มอย่างคลุ้มคลั่งขณะก้าวเดินเข้ามาหาลู่เซิ่งกับตู้เซี่ย
“ข้าสามารถใช้อิทธิฤทธิ์ความสามารถไร้สิ้นสุดของเก๋อซาได้ตามใจนึก โดยไม่จำกัดรูปแบบและไม่จำกัดจำนวนครั้ง เหล่าเด็กผู้น่าสงสาร จงยอมแพ้เถอะ…ขัดขืนไปก็ไม่มีความหมาย!”
ลู่เซิ่งมองผู้หญิงบนบัลลังก์พร้อมกับค่อยๆ ถอดเสื้อเชิ้ตสีดำบนร่างออกแล้วส่งให้ตู้เซี่ยที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะเดินออกไป
“บอกความสัมพันธ์ระหว่างแกกับผู้หญิงคนนั้นมาซะ แล้วฉันจะให้แกได้ตายสบายหน่อย” เขามีสีหน้าเยือกเย็น ความสนใจกลับยังอยู่ที่ตัวผู้หญิงคนนั้น
“ตายหรือ?!” คนผมขาวหยุดนิ่งทันที
เขาจ้องมองลู่เซิ่งอย่างแข็งทื่อ จากนั้นก็ค่อยๆ ลูบหน้าตัวเอง
“ฮ่าๆๆๆๆๆ!” เขาก้มหน้าหัวเราะลั่น เสียงที่แหบพร่าแฝงความบ้าคลั่งและความไม่ยินยอม
“เจ้าบอกว่า…จะให้ข้าตาย…สบายหน่อยงั้นหรือ?! มีคน…มีคนกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าข้าเนี่ยนะ!?”
“พี่ เห็นหรือไม่ เห็นรึเปล่า!? มีคนกล้าบอกว่าจะฆ่าข้าหมีเซิงหลงต่อหน้าท่านเชียวนะ?!”
“กลัวจัง! กลัวจังเลย! กลัวสุดๆ ไปเลย! ฮ่าๆๆๆ!”
คนผมขาวปิดหน้าพลางหัวเราะ หัวเราะจนน้ำตาไหล
แสงหลากสีหลายจุดปรากฏขึ้นบนปลายนิ้วของเขาอย่างต่อเนื่องและสว่างขึ้นเรื่อยๆ
“ฆ่าข้างั้นเหรอ แม้แต่พี่ก็ยังฆ่าข้าไม่ได้ เจ้าเนี่ยนะ? อย่างเจ้าเนี่ยนะ!? ฮ่าๆๆๆ! นรกบัวแดง! ไปตายซะ!”
ชิ้ง!
จุดแสงสีแดงระเบิดออกบนปลายนิ้วของเขาทันที
จากนั้น จุดแสงหลากสีหนาแน่นก็พุ่งออกมาจากมือของเขาเป็นพรวน แล้วพากันระเบิดดังตูม
คนผมขาวปล่อยความสามารถของเก๋อซาระดับแม่มดทุกชนิดออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“คลื่นมังกรนิลราตรีกาล! ลมหายใจมังกรน้ำแข็ง! มายาทำลายวายุกัดกร่อน! เหยี่ยวเก้าเศียร! หัตถ์แห่งแผ่นดิน” หมื่นพฤกษากัดกิน! เนตรคำสาปอาทิตย์สีทอง!…”
อิทธิฤทธิ์ความสามารถหลายสีพุ่งออกมาจากมือของเขา ก่อนจะหลอมตัวกันกลายเป็นมนุษย์กึ่งโปร่งแสงหลากสีสันที่ใหญ่โตเหมือนยักษ์ในตะเกียง
“มาฆ่าข้าสิ! ฮ่าๆ มาสิ! มาฆ่าเลย!” คนผมขาวยืนหัวเราะอยู่บนไหล่ของมนุษย์ยักษ์
มันมีเขาโค้งสามข้าง เส้นผมหลากสีกระจัดกระจาย ร่างสูงหลายสิบเมตร คลื่นทำลายล้างและร้อนแรงแผดเผากะพริบทั่วร่าง
ลู่เซิ่งสะบัดแขนขวา เส้นสายสีดำจำนวนมากขยายออกมาจากใต้เท้าก่อน จากนั้นแสงสีขาวอ่อนกึ่งโปร่งแสงชั้นหนึ่งก็ปกคลุมแขนขวาทั้งข้าง แล้วรวมตัวกันกลายเป็นเกราะยักษ์ที่เหมือนกับชุดเกราะแข็งแกร่ง
แสงเกราะคุ้มกันมีขนาดใหญ่เท่าครึ่งตัวของเขาแล้ว มีความหนาถึงหนึ่งเมตรกว่าๆ เวลาใส่อยู่บนแขนยังใหญ่กว่าตัวคนเสียอีก
“อิทธิฤทธิ์ความสามารถเป็นแค่ส่วนขยายของร่างหลัก แกไม่เข้าใจสัจธรรมของพลังเลย” ลู่เซิ่งกำหมัด จนถึงตอนนี้ วิชามวยบนโลกใบนี้ได้เริ่มหลอมรวมกับพลังส่วนหนึ่งในแปดวิถีมารสูงสุดของเขาแล้ว
การที่โลกสองใบมีความเข้ากันได้ดีถึงขีดสุด ทำให้เวลาปรับตัวของร่างหลักของลู่เซิ่งเมื่ออยู่บนโลกใบนี้หดสั้นลงอย่างมาก
ถ้าหากไม่ใช่เพราะต้องการป้องกันไม่ให้พลังแห่งแม่ธรณีบุกรุกเข้าร่างกาย ลู่เซิ่งก็สามารถหลอมรวมร่างหลักเข้ากับกายเนื้อของโลกใบนี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ก็เป็นเพราะพลังแห่งแม่ธรณีที่เตือนเขาเหมือนกัน เขาจึงเลือกหลอมรวมพลังของร่างหลักเข้ากับกายเนื้อนี้ เพื่อยกระดับพลังของตัวเองอย่างเต็มความสามารถในเงื่อนไขที่มีความเข้ากันได้ดีถึงขีดสุด
“พลังเหรอ เป็นแค่ชนเผ่าพื้นเมืองแท้ๆ แต่มาพูดถึงเรื่องพลังต่อหน้าข้างั้นเหรอ!? ฮ่าๆๆ เจ้าสู้นิ้วมือนิ้วเดียวของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ถึงขั้นขยับเขยื้อนเพราะอานุภาพของร่างข้าไม่ได้แท้ๆ! เป็นยังไงล่ะ ขยับไม่ได้ใช่ไหม รู้สึกชาไปทั่วตัวเลยใช่รึเปล่า หน้ามืดตาลายหรือไม่ พิษเก้าร้อยกว่าชนิดผสมกับไอหมอก ต่อให้เป็นมังกรมารก็ถูกกัดกร่อนเป็นเลือดได้เหมือนกัน!”
ฟิ้ว…
ส่วนหางบนเกราะแขนของลู่เซิ่งค่อยๆ เรืองแสงสีขาว แสงสีขาวสว่างและเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
“วิชามวยพริบตาพินาศ…” ลู่เซิ่งโน้มตัวลงเล็กน้อยและวางแขนไว้ข้างลำตัว คลื่นอากาศหลายกลุ่มค่อยๆ กระจายออกมาจากรอบๆ ร่างกาย
แรงกดดันหลายสายบีบอัดออกไปรอบๆ โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง
“รู้ไหมว่าทำไมข้าจึงไม่ฆ่าเจ้า? เป็นเพราะข้าชอบมองดูความน่าสมเพชของการดิ้นรน ความเจ็บปวด และการวิงวอนก่อนตายไงเล่า ฮ่าๆๆ! ทุกครั้งที่มีเก๋อซาเข้ามา ข้าจะเล่นกับพวกมันจนเบื่อก่อนถึงค่อยกินพวกมัน! ตอนนี้เจ้ารู้สึกสิ้นหวังแล้วรึยัง รู้สึกโกรธไหม กลัวหรือไม่” คนผมขาวหมีเซิงหลงหัวเราะร่า
แสงสีขาวสว่างและแยงตาขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่เป็นไร ข้าจะค่อยๆ เพลิดเพลินกับพวกแกเอง…ถึงจะมีคนน้อยไปหน่อย แต่ด้านนอกยังมีอีกมาก…อีกมากมายนัก ข้าจะค่อยๆ บีบกะโหลกของเจ้าทีละนิดๆ แล้วกระชากวิญญาณของเจ้าออกมาเผาบนไฟนรก จากนั้นก็มองดูเจ้าร้องโหยหวน วิงวอน ครวญคราง…”
พรึ่บ
มือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากด้านหลังของลู่เซิ่งอย่างฉับพลัน แล้วจับคางของหมีเซิงหลงไว้ เพื่อไม่ให้เขาพูดต่อ
เงามารสี่แขนน่ากลัวที่สูงมากกว่าร้อยเมตรค่อยๆ เดินออกมาจากเงามืดในถ้ำจนถึงด้านหลังมนุษย์หลากสี แล้วจับคอของมันเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
และใช้แขนข้างที่เหลือจับส่วนอื่นๆ ของมนุษย์สีรุ้งไว้อย่างแน่นหนา
“เจ้า!?” สีหน้าของหมีเซิงหลงเปลี่ยนจากคลุ้มคลั่งเป็นหวาดกลัวอย่างรวดเร็ว
“อย่าขยับ! ฉันไม่ค่อยคุ้นกับท่านี้เท่าไหร่” ลู่เซิ่งเล็งทิศทางก่อนจะยกมืออย่างฉับพลัน
ตูม!
เกราะบนแขนขวายิงกระสุนแสงสีขาวเจิดจ้าออกมากลุ่มหนึ่ง
กระสุนขนาดยักษ์เพิ่งจะออกจากแขน ก็ขยายใหญ่ขึ้นในพริบตา แสงสีทองจุดหนึ่งหมุนวนอย่างเลือนรางอยู่ตรงกลาง มันพุ่งใส่ขอบ…ทรวงอกของมนุษย์สีรุ้งอย่างหนักหน่วง
“เอียงแฮะ” ลู่เซิ่งชักมือกลับมาพร้อมกับมองดูรอยยุบเล็กๆ ที่เกิดขึ้นบนร่างมนุษย์สีรุ้ง
“รอบเมื่อกี้ไม่นับ ขออีกรอบหนึ่ง ครั้งนี้ฉันจะทำให้แกได้เข้าใจสัจธรรมแห่งพลังจริงๆ แล้ว!” เขางอเอวโน้มตัวและเริ่มสะสมพลังอีกครั้ง
“เจ้า!” หมีเซิงหลงบังคับให้มนุษย์สีรุ้งขัดขืน
เปรี้ยง!
เงามารสี่แขนที่อยู่ด้านหลังฟาดใส่แก้มของมนุษย์สีรุ้งจนแสงรุ้งบนร่างมันกระเด็น
“อย่าขยับมั่วซั่วสิวะ! ถ้ายังขยับอีกฉันฆ่าแกแน่!”
หมีเซิงหลงพลันหยุดนิ่ง
“พลัง ที่แล้วมาไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยการรวมสิ่งแปลกปลอมหลายชนิดเข้าด้วยกัน” ลู่เซิ่งรวมพลังอีกรอบด้วยสีหน้าเยือกเย็น “มีแต่พละกำลังเพียงอย่างเดียวเหมือนฉันเท่านั้นที่จะไปถึงขอบเขตสูงสุดได้อย่างแท้จริง การผสมขยะมากมายเข้าด้วยกันอย่างแก จะทำให้เกิดการขัดแย้งและหลอมรวมกัน ถึงขั้นเกิดการระเบิดรวมถึงการหักล้าง พลังงานมากมายไม่ใช่ว่าเอามารวมกันแล้วจะ…”
“…พี่คะ…เขาจะโดนพี่บีบตายอยู่แล้วนะคะ…” ตู้เซี่ยที่อยู่ด้านข้างอดยื่นมือมาตบสะกิดลู่เซิ่งไม่ได้
ลู่เซิ่งจึงค่อยงุนงงเมื่อพบว่า แขนสี่ข้างของร่างหลักใช้แรงมากเกินไปจนทำให้แสงทั่วร่างมนุษย์สีรุ้งริบหรี่ลงเรื่อยๆ ทั้งยังหมดเรี่ยวแรง อยู่ในสภาพใกล้ตาย
เขาขยับเส้นเส้นหนึ่งในเส้นสีดำนับไม่ถ้วนข้างใต้เท้า เงามารสี่แขนพลันผ่อนแรงลงเล็กน้อย ไม่ได้ใช้แรงมากเกินไปเหมือนเมื่อก่อนอีก
“ช่างเหอะ พูดไปแกก็ไม่เข้าใจ” ลู่เซิ่งชักมือกลับ ก่อนจะมองไปยังผู้หญิงบนบัลลังก์
……………………………………….