ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 641 จ้าวเซิ่งอิง (1)
บทที่ 641 จ้าวเซิ่งอิง (1)
เข้าไปถึงในลานทรงรีด้านในสุด กลางลานปลูกต้นไม้คอเอียงที่แดงฉานดุจเลือดไว้สองต้น พวกมันออกผลสีดำที่กำลังเต้นเหมือนกับหัวใจไว้มากมาย ผลแต่ละผลคอยกลืนกินหมอกควันสีดำอมเทาในบริเวณรอบๆ อย่างต่อเนื่อง
แต่ผลเหล่านี้เป็นเหมือนเอาน้ำแก้วหนึ่งดับรถติดไฟเท่านั้น ยังคงมีหมอกสีดำอมเทาจำนวนมากแผ่พุ่งออกมาจากในบ้านเหล็กหลังเล็กๆ กลางลานอยู่เป็นระยะ
จ้าวเฉวียนม่อพาคนทั้งสามมาหยุดอยู่ห่างจากบ้านเหล็กสิบกว่าหมี่ แล้วชี้ไปที่เส้นสีเหลืองอ่อนเส้นหนึ่งบนพื้น
“นี่เป็นค่ายกลผนึกต้องห้าม ทั้งสามท่านแค่ต้องกลั่นกรองสารมลพิษดวงดาวที่กระจายออกมาอยู่ตรงนี้ก็พอ จำนวนการกลั่นกรองอย่างเป็นรูปธรรมจะมีผู้เชี่ยวชาญคำนวณเอง ทั้งสามท่านไม่ต้องกลัวว่าน้ำพักน้ำแรงจะไม่มีตัวเลขวัด”
ชายชราหลังค่อมพยักหน้า “วิธีการนี้ก็ดีเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ทราบว่าตระกูลท่านมีคนจากตระกูลไป๋อิ่งมารักษาความปลอดภัยหรือไม่ เกิดว่าสารมลพิษดวงดาวนี้รั่วไหล หากไม่ใช่ยอดฝีมือขั้นหนึ่งอย่างพวกเขา ก็ไม่อาจจัดการได้”
จ้าวเฉวียนม่อพยักหน้าและเอ่ยว่า “ผู้เฒ่ากู่เข้าใจทะลุปรุโปร่ง มีคนของตระกูลไป๋อิ่งมาคุ้มกันที่นี่จริงๆ สามท่านวางใจได้อย่างเต็มที่!”
ชายชราพลันผุดสีหน้าโล่งอก
นักพรตสตรีเห็นลู่เซิ่งไม่เข้าใจ จึงส่งกระแสเสียงอธิบายให้แก่เขาว่า
“สหายร่วมเส้นทางคงไม่รู้เรื่อง ตระกูลจ้าวมีคนหลายหมื่นล้านคน แต่ผู้ที่ปกครองคนเหล่านี้อย่างแท้จริงมีแค่ไม่กี่พันคนเท่านั้น
ตามการจัดแบ่งในตระกูล คนไม่กี่พันคนนี้แยกเป็น ฮุยอิ่ง ไป๋อิ่ง ชื่ออิ่ง เฮยอิ่ง สี่ระดับ ไป๋อิงอยู่ในระดับกลางค่อนล่าง แต่ก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือขอบเขตลวงตาระดับแรกๆ ในโลกภายนอกเช่นกัน
ลู่เซิ่งพลันตกใจ พลังของตระกูลจ้าวนี้แข็งแกร่งสุดเปรียบปานอย่างที่คิดไว้จริงๆ คนไม่กี่พันคน….พวกที่อยู่ในระดับกลางค่อนไปทางต่ำก็อยู่ในระดับลวงตาแล้ว
“ไม่แปลกหรอก ตระกูลจ้าวเจิดจรัสมาหลายสิบหมื่นปี สถานการณ์แบบนี้ถือว่าปกติ” นักพรตสตรีคล้ายมองเห็นความตกตะลึงของลู่เซิ่ง จึงอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณท่านเซียนที่ไขข้อสงสัย” ลู่เซิ่งค้อมหัวน้อยๆ
“ทั้งสามท่าน ถ้าหากไม่มีปัญหาอะไร น่าจะลองดูได้แล้วกระมัง” จ้าวเฉวียนม่อที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เอ่ยเสียงทุ้ม “ลองกรองอนุพันธ์ของสารมลพิษดวงดาวดูก่อนก็ได้ นี่ถือเป็นการทดสอบเล็กๆ เช่นกัน”
ชายชรากับนักพรตสตรีพยักหน้าน้อยๆ
“ข้าก่อนก็แล้วกัน” ชายชราตอบรับ ไม้เท้าสั้นๆ สีเขียวมรกตท่อนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นเขาก็เดินออกมาแล้วเคาะไม้เท้าสั้นกับพื้นสีดำอมเทาเบาๆ
ซู่…
หมอกควันสีเขียวเข้มหลายสายพรั่งพรูออกมาจากปลายไม้เท้าสั้น ก่อนจะรวมตัวกลายเป็นใบหน้าประหลาดขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายหมี่
ใบหน้าประหลาดนี้มีตาหกข้าง ไม่มีจมูก แต่มีรูจมูกเล็กๆ แค่สองรู ส่วนปากคือหนวดที่เหมือนกับหลอดจำนวนเหลือคณานับ
“วิญญาณพฤกษา ฝากเจ้าด้วย” ชายชราเอ่ยเสียงทุ้ม
“ให้ข้าจัดการเอง แม้จะค่อนข้างตึงมือ แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้” ใบหน้าประหลาดตอบเสียงดัง
ลู่เซิ่งกับนักพรตสตรีถอยหลังออกมาอยู่ห่างๆ เล็กน้อย
ใบหน้าประหลาดนั้นลอยออกไปด้านหน้าได้ระยะทางหนึ่ง ก่อนจะพ่นหมอกควันสีเขียวเข้มกลุ่มใหญ่ออกมา
เสียงซู่ซ่านับไม่ถ้วนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หมอกควันสองชนิดหักล้างกันอย่างบ้าคลั่ง
ใบหน้าประหลาดพ่นหมอกควันสีเขียวเข้มออกมาหักล้างไอหมอกสีดำอมเทาที่อยู่รอบๆ เป็นระยะ แต่ทุกคนล้วนเห็นว่า ในพื้นที่ที่เท่ากันต้องใช้หมอกควันสีเขียวเข้มสองถึงสามกลุ่มจึงค่อยหักล้างหมอกสีดำอมเทากลุ่มเล็กๆ ได้กลุ่มหนึ่ง
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ไอหมอกสีดำอมเทาในตัวลานเบาบางลงเล็กน้อย ใบหน้าประหลาดกลับทนไม่ไหวแล้ว จึงบินกลับมาที่ไม้เท้าสั้นของชายชราอย่างรวดเร็วแล้วไม่ออกมาอีก
“ไม่เลวยิ่ง!” จ้าวเฉวียนม่อรีบปรบมือและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ปริมาณกับวิธีการกลั่นล้วนเหมาะสม สมกับที่ผู้เฒ่ากู่เป็นปรมาจารย์ด้านการแพทย์มากประสบการณ์ น่าเลื่อมใสโดยแท้”
ซึ่งความจริงหมอที่ใช้ศาสตร์การแพทย์เข้าสู่นครตราชั่งได้ โดยพื้นฐานล้วนเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์การแพทย์อยู่แล้ว
ความหมายของหมอที่อยู่ในนครตราชั่งไม่ใช่แค่หมอธรรมดา หากเป็นคำเรียกของปรมาจารย์หมอต่างหาก
หากไม่มีพลังเหี้ยมหาญมากพอ ก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ และไม่อาจผ่านการทดสอบของนครหลวงได้
แต่เดิมผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ต่างก็มีความสามารถรักษาตัวเองไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว กอปรกับมีพวกผู้ปรุงโอสถกับผู้ใช้ค่ายกลคอยแย่งกิจการ คนทำอาชีพหมอจึงอยู่ลำบากกว่าเดิม
ถ้าหากไม่มีความสามารถเฉพาะตัวสักสองสามกระบวนท่า ก็ไม่อาจอาศัยอยู่ในนครหลวงได้จริงๆ
“รอบต่อไปเป็นข้าแล้ว”
พอเห็นว่าชายชราผ่านด่านแล้ว นักพรตสตรีก็ก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง ที่ปัดฝุ่นกึ่งโปร่งแสงอันหนึ่งโผล่ขึ้นในมือ
“ผนึกแก่นสาร” นางโบกมือ ที่ปัดฝุ่นพลันโปรยหยดน้ำโปร่งแสงนับไม่ถ้วนออกมา
หยดน้ำลอยทะลุเข้าไปในหมอกสีดำอมเทาเหมือนกับห่าฝน พอสองสิ่งปะทะกันก็เกิดเสียงกัดกร่อนที่เสียดหูดังฉ่าๆ ทันที
หมอกสีดำอมสีเทาอ่อนกำลังลงด้วยความเร็วที่ตาเนื้อมองเห็นได้
“ประเสริฐ!” จ้าวเฉวียนม่ออดยิ้มไม่ได้ ถ้าหากบอกว่าผลงานเมื่อครู่ของผู้เฒ่ากู่นับว่าโดดเด่นแล้ว อย่างนั้นผลงานของนักพรตสตรีในตอนนี้ก็ถือว่าร้ายกาจ
ปริมาณและความเร็วการกรองของนางคนเดียวเทียบเท่ากับหมอสามคนที่จ้างมาก่อนหน้านี้
ต้องบอกก่อนว่าหมอกสีดำอมเทาที่อยู่ตรงนี้เป็นสิ่งที่ถือกำเนิดจากสารมลพิษดวงดาว เกิดว่ารั่วไหลออกไปแม้เพียงนิดเดียว ต่อให้จะมีขนาดเท่าเล็บก็ตาม ก็จะทำให้คนหลายแสนคนบาดเจ็บล้มตายได้อย่างง่ายดายอยู่ดี
อันตรายนี้ช่างน่าสะพรึง
ความจริงนครตราชั่งกับตระกูลจ้าวไม่ได้มีหมอมากนัก ถึงขั้นที่แม้จะมีปรมาจารย์การแพทย์ แต่ปรมาจารย์การแพทย์ที่กรองสารมลพิษดวงดาวได้ก็มีอยู่ไม่มากจริงๆ
เพราะเหตุนี้ หมอที่ตระกูลจ้าวจ้างวานมาก่อนหน้านี้จึงมีกรณีที่บางคนถูกปนเปื้อนโดยไม่ทันระวังและไม่รู้ว่าตายไปหรือยังด้วย
“แสดงความทุเรศเสียแล้ว” นักพรตสตรีเก็บที่ปัดฝุ่น ใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย ก่อนจะถอยหลังออกไปอย่างหอบๆ อยู่บ้าง
ปริมาณการกรองของนางมากกว่าผู้เฒ่ากู่สองเท่า ทำให้สีหน้าของผู้เฒ่ากู่ที่อยู่ด้านข้างไม่น่าดูนัก
“รอบข้าแล้ว” ต่อจากนั้นก็ถึงรอบของลู่เซิ่ง
หลังจากนักพรตสตรีแสดงผลงานไป จ้าวเฉวียนม่อก็ไม่ได้เคร่งเครียดกับลู่เซิ่งอีกแล้ว อัตราความเร็วในการกรองของนักพรตสตรี หากนับรวมตระกูลจ้าวด้วยแล้ว จนกระทั่งถึงตอนนี้ยังพบเจอไม่เกินห้าคน ครั้งนี้โชคดีจริงๆ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะพบเจอแบบเดียวกันอีก
ลู่เซิ่งเดินขึ้นหน้าไปก้าวหนึ่งพร้อมกับกวาดตามองไอหมอกสีดำอมเทาในตัวลาน
เขาขยับปลายนิ้วเล็กน้อย ปราณมารเล็กๆ โผล่มาแวบหนึ่ง จากนั้นก็เป็นไฟหยิน แล้วเป็นแก่นหยาง แก่นหยางเลียนแบบพลังงานประเภทต่างๆ ออกมาทันที
ทว่าในทันทีที่สัมผัสกับหมอกดำอมเทา พลังงานทั้งหมดกลับถูกหมอกเปลี่ยนเป็นพวกเดียวกันโดยที่เขาคาดไม่ถึง
ความกร้าวแกร่งของหมอกชนิดนี้ ต่อให้จะเป็นปฐมพลังระดับสูงชนิดอื่นๆ ที่ลู่เซิ่งเคยเห็นมาก่อน ก็ยังสู้ไม่ได้
เขาจึงคิดจะใช้ด้ายกระตุ้นวิญญาณในตัว พลังชีวิตที่บริสุทธิ์ที่สุดชนิดนี้น่าจะเกิดผลกดข่มที่รุนแรงมากต่อหมอกสีดำอมเทา
ทว่าอยู่ๆ สัมผัสอันมหัศจรรย์สุดบรรยายชนิดหนึ่งก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากในตัว
‘นี่มัน…!?’ ลู่เซิ่งตะลึง ‘ดีปบลู’ เขานึกในใจเพื่อเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมา
การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดบนอินเตอร์เฟสเครื่องมือปรับเปลี่ยนทำให้เขาตกใจ
พลังอาวรณ์ที่ตอนแรกหยุดลงโดยสิ้นเชิงแล้ว ตอนนี้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้าแต่ต่อเนื่อง
‘หรือว่า…!?’ ความคิดของลู่เซิ่งทำงานด้วยความเร็วสูง การก่อตัวของพลังอาวรณ์จำเป็นต้องมีสองสามเงื่อนไข
เงื่อนไขแรกคือการปนเปื้อนอย่างรุนแรงจากจิตวิญญาณ หากปนเปื้อนจากความคิดและจิตใจที่มีพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์จะดีที่สุด
ข้อสองคือพกติดตัวเป็นเป็นเวลานานจนดูดซับพลังงานสารกายของเจ้าของมา
และหมอกสีดำอมเทานี้
ลู่เซิ่งสัมผัสอย่างละเอียด ก่อนจะสัมผัสความคิดดุร้ายที่เกรี้ยวกราดและหยิ่งทะนงตนได้จากด้านใน นี่เป็นธาตุพลังงานของจักรพรรดิรัตติกาลผู้เป็นวิญญาณร้ายนั่นเอง
‘ตามเหตุผล เราเคยศึกษาพลังของวิญญาณร้ายมาก่อน มันไม่น่าจะดูดซับได้สิ…หรือว่า จะเป็นเพราะคุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าว’
พอลู่เซิ่งนึกอีกที ก็พลันเข้าใจขึ้นเล็กน้อย
เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่ตระกูลจ้าวจะทุ่มเทสารกาย สมบัติ และทรัพยากรทุกชนิดเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อรักษาชีวิตของคุณหนูใหญ่เอาไว้
เมื่อเป็นแบบนี้ เงื่อนไขสองข้อในการสร้างพลังอาวรณ์จึงครบถ้วน เครื่องมือปรับเปลี่ยนเลยกลืนกินดูดซับได้พอดี
‘ยอดเยี่ยมมาก!’ ครั้นคิดออกแล้ว ลู่เซิ่งก็รู้สึกยินดี นี่มันเหมือนมีถุงของขวัญส่งถึงปากเลยไม่ใช่หรือ เขาไม่ได้รังเกียจที่จะมีพลังอาวรณ์เยอะๆ อยู่แล้ว
หัวสมองคิดออก แต่มือกลับไม่หยุดเคลื่อนไหว
ตอนแรกเตรียมจะใช้ด้ายกระตุ้นวิญญาณหักล้างกลั่นกรอง แต่ดูจากตอนนี้ นี่มันเป็นการสร้างความเสียหายให้แก่วัตถุสวรรค์โดยแท้!
ลู่เซิ่งยื่นมือขวาออกไปอย่างแน่วแน่ แสงสีดำชั้นหนึ่งปกคลุมฝ่ามือไว้เพื่ออำพราง จากนั้นก็ดูดซับอย่างฉับพลัน
หมอกสีดำอมเทาในลานเรือนเริ่มถูกลู่เซิ่งดูดซับเข้าไปในมืออย่างไร้สุ้มไร้เสียง
สีหน้าของพวกจ้าวเฉวียนม่อเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ท่าทางที่สบายอกสบายใจเมื่อก่อนหน้านี้ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา
เวลาค่อยๆ ผ่านไปช้าๆ ลู่เซิ่งกินหมอกสีดำอมเทาอย่างต่อเนื่อง หมอกชนิดนี้เป็นพลังอาวรณ์ที่ผสมด้วยสิ่งเจือปน ถ้าหากไม่ใช่เพราะต้องการปิดบังปลอมแปลง รวมถึงกลั่นกรองสิ่งเจือปนที่อยู่ด้านใน เขาสามารถดูดหมอกตรงนี้ทั้งหมดจนเกลี้ยงได้ในพริบตาเดียว
ผ่านไปราวสิบนาที ลู่เซิ่งก็หยุดลงโดยแกล้งทำเป็นหน้าซีด
“ขออภัย ถึงขีดจำกัดแล้ว”
ปริมาณหมอกที่เขากลั่นกรองเป็นสี่ห้าเท่าของนักพรตสตรีแล้ว นี่เป็นผลงานอันน่าสะพรึงที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
จ้าวเฉวียนม่อริมฝีปากสั่นเล็กน้อย ดวงตาฉายแววลิงโลดที่มิอาจควบคุมไว้ได้อย่างชัดเจน
“เยี่ยม! เยี่ยมมาก! สหายลู่มีวิชาแพทย์สูงส่งนัก! สามท่านผ่านการทดสอบแล้ว! โปรดเตรียมตัวตามข้าเข้าไปด้วย!”
“รับทราบ”
พวกลู่เซิ่งตอบรับ
ทั้งสามก้าวตามจ้าวเฉวียนม่อเข้าไปในค่ายกล แล้วเดินไปถึงหน้าประตูของบ้านเหล็ก
เกิดเสียงดังแกร๊ก ประตูใหญ่ของตัวบ้านเปิดออก เตียงหยกขาวทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสตัวหนึ่งตั้งอยู่ด้านใน หญิงสาวงดงามผู้สวมกระโปรงขาวคนหนึ่งนอนหงายอยู่บนเตียง
แถบแสงสีเหลืองอ่อนหลายสายวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวหญิงสาว ได้ยินเสียงบทสวดที่แผ่วเบาลอยออกมาจากในแถบแสงได้อย่างเลือนราง
หมอที่แต่งตัวต่างกันสิบกว่าคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นรอบๆ หญิงสาว
ทั้งหมดหลับตาทำสมาธิ กำลังต้านทานหมอกสีดำอมเทาที่พ่นออกมาข้างใต้หญิงสาวอย่างสุดกำลังอยู่
แสงหลากสีที่บ้างสว่างบ้างมืดหลายสายกดดันหมอกสีดำสนิทให้ถอยกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ทว่าหมอที่นั่งขัดสมาธิอยู่รอบๆ ก็มีคนลุกขึ้นมาเพื่อหยิบโอสถออกมากินเป็นระยะเช่นกัน
ยังมีบางคนเปลี่ยนสมบัติวิเศษในมือเป็นชิ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง
รอบนอกของกลุ่มหมอกมีคนสองคนยืนอยู่เงียบๆ คนหนึ่งในนี้เป็นหญิงสาวงดงามคนหนึ่ง นางสวมกระโปรงแดงถุงเท้าดำ หน้าอกหน้าใจตระหง่านง้ำ ใช้เครื่องประดับรูปผีเสื้อสีแดงรวบผมยาวไว้ หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงเล็กน้อย
ทว่าหากพิจารณาอย่างละเอียด ก็จะมองออกว่า บุคลิกของหญิงสาวคนนี้มีความซุกซนมากกว่า
อีกคนหนึ่งมีสีหน้าเยือกเย็น เป็นบุรุษวัยกลางคนที่ภายนอกมีอายุราวสามสิบกว่าปี
จ้าวเฉวียนม่อไปหยุดด้านหลังสองคนนี้ทันทีที่นำคนเข้ามา
“ผู้ดูแลเรื่องราวอู๋ คุณหนูเล็ก นี่คือปรมาจารย์หมอสามท่านที่รับสมัครเข้ามาใหม่ ต่างมีความสามารถในการชำระล้างที่ไม่ธรรมดาทั้งสิ้น” จ้าวเฉวียนม่อก้มหน้ารายงานทั้งสองคนอย่างนอบน้อม “คนหนึ่งในนี้โดดเด่นเป็นพิเศษ”
“เช่นนั้นก็ไปเปลี่ยนที่กับคนด้านในก่อนเถอะ ตำแหน่งคงทางซ้าย ตำแหน่งเจียวและตำแหน่งข่านทางขวาต้านทานมานานแล้ว” ผู้ดูแลเรื่องราวอู๋ซึ่งเป็นบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นสั่งอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจประเด็นสำคัญในคำพูดของจ้าวเฉวียนม่อแม้แต่น้อย
“รับทราบ!” จ้าวเฉวียนม่อพยักหน้า ก่อนจะหันไปบุ้ยใบ้ให้แก่พวกลู่เซิ่ง พร้อมทั้งส่งกระแสเสียงเพื่อสั่งการเบาๆ
……………………………………….
———————————