ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 644 สัมผัส (2)
บทที่ 644 สัมผัส (2)
‘พูดถึงที่สุด ก็ยังเป็นเพราะขาดวิชาฝึกฝนหลักนั่นแหละ…’ ลู่เซิ่งออกจากห้องแล้วนั่งลงใต้ต้นไม้ในลานอย่างจนปัญญา
ลมเย็นยามพลบค่ำที่มีความชื้นจางๆ นำพาไอน้ำจากลำธารที่อยู่ไม่ไกลออกไปมาด้วย
กลิ่นหอมอ่อนๆ จำนวนไม่น้อยแทรกตัวอยู่ในไอน้ำ อาจลอยออกมาจากเรือบุปผาที่แล่นผ่านมา
ลู่เซิ่งหยิบผลกระดานกับน้ำผึ้งดอกไม้ออกมาจากในไข่มุกกลืนสมุทร หากใส่น้ำผึ้งดอกไม้ในน้ำแล้วกินคู่กับผลกระดาน จะได้รสชาติที่ดีมาก
เขานั่งลงบนม้านั่งหิน พิงหลังกับโต๊ะหิน พร้อมกับเริ่มเรียบเรียงวิธีการที่ตนอาจจะเอามาใช้ฝึกฝนวิชาหลักได้
‘ทางสาวกจันทราแดง ขอแค่มีเงิน ก็สามารถซื้อได้ นี่เป็นเส้นทางหนึ่ง แต่สิ่งที่เอามาได้จากที่นี่ทำได้แค่เอามาใช้พิจารณาเท่านั้น จะต้องมีการวางกับดักอะไรไว้แน่ เอามาใช้เป็นการฝึกฝนหลักไม่ได้’ ลู่เซิ่งยังไม่แน่ใจกับเส้นทางนี้
‘ส่วนเส้นทางที่สอง สามารถหาวิชาการฝึกฝนหลักที่สมบูรณ์แบบมากพอมาได้สบายๆ จากการกราบอาจารย์ จุดอ่อนคือการกราบอาจารย์นั้นยาก แต่ถ้าหากสำเร็จ เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด การฝึกฝนหลักของที่นี่มีความสมดุล แตกต่างกับวิชาฝึกฝนด้านนอกกับทางดาวปรภพ กายเนื้อกับจิตวิญญาณจะยกระดับพร้อมกัน แต่ทางต้าอินเพียงฝึกฝนแค่จิตวิญญาณเท่านั้น ไม่สนใจรากฐานอะไรเลย’
ลู่เซิ่งรู้แก่ใจว่า นี่เป็นเส้นทางมารสวรรค์ดั้งเดิม อย่างไรเหนือกว่าเจ้าแห่งอาวุธขึ้นไปก็จำเป็นต้องจุติลงไปยังโลกใบเล็กๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อกินตัวตนในโลกด้านนอกจนบรรลุสภาพหมื่นพิภพรวมเป็นหนึ่ง
เมื่อเป็นแบบนี้กายเนื้อจึงไม่มีประโยชน์กว้างขวางเท่าจิตวิญญาณ ดังนั้นการฝึกฝนจิตวิญญาณเป็นหลักจึงสมเหตุสมผล
แต่ระบบอื่นๆ แตกต่างออกไป
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ทางนครตราชั่งก็มีระบบเละเทะสับสน มีอยู่ทุกเผ่าพันธุ์และทุกโลก
แต่ที่นี่แยกทั้งหมดออกเป็นห้าประเภท
ปุถุชน ขอบเขตวิญญาณ ชูศัสตรา ขอบเขตลวงตา และมายาพิศวง
ขอบเขตวิญญาณรวมระดับลวดลาย อสรพิษ และผู้ถืออาวุธ บางทีอาจเป็นเพราะที่นี่อยู่ใกล้กับเขตแดนมากมายของมารสวรรค์ เลยได้รับอิทธิพลจากระบบอย่างค่อนข้างล้ำลึก จึงมีการแบ่งแยกแบบนี้
แต่ว่าการแบ่งแยกของที่นี่ไม่ได้หมายถึงการใช้พลังฝึกปรือ หากเป็นการประเมินพลังต่อสู้ตามความเป็นจริง
เป็นการแบ่งแยกผู้บำเพ็ญในแต่ละระดับที่สู้กับมารสวรรค์ได้ออกมา นี่ก็คือการแบ่งง่ายๆ ของนครตราชั่ง
‘แม้แต่เรียนรู้ก็ยังทำไม่ได้…ดูเหมือนการตามหาวิชาการฝึกฝนหลักจะเป็นสิ่งจำเป็นอย่างเร่งด่วนแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ว่าที่ไหน หากอยากได้วิชาการฝึกฝนหลักของมารสวรรค์ที่อยู่เหนือเจ้าแห่งอาวุธขึ้นไป คงใช้เวลาสั้นๆ ไม่ได้ วิชาระดับนี้มีความล้ำค่าเหนือกว่าจินตนาการของคนทั่วไป รอเราค่อยๆ ใช้เวลาหาวิชามา ทางดาวปรภพคงจบเห่ไปแล้ว’
ลู่เซิ่งสะท้อนใจ ขอบเขตลวงตาเป็นผู้เข้มแข็งของแต่ละตระกูลในนครตราชั่ง มีแต่ระดับกลางค่อนบนในแต่ละตระกูลเช่นพวกผู้อาวุโสหรือที่ปรึกษาเท่านั้นถึงจะไปถึงขอบเขตนี้ได้
‘นครตราชั่งเชื่อมต่อกับทุกที่ เมืองแห่งการค้ามีการข่าวฉับไว ถ้าหากเราขอให้ขุมกำลังของตระกูลจ้าวคอยช่วยเหลือ…เรื่องนี้ไม่แน่ว่าจะไม่สำเร็จในเวลาสั้นๆ’ ลู่เซิ่งเริ่มวางแผนการในใจแล้ว
ความสำคัญของแผนการนี้คือต้องทำให้จ้าวเซิ่งอิงเชื่อจากก้นบึ้งหัวใจ
คนผู้นี้เป็นบุคคลสำคัญในตระกูลจ้าว บิดามารดาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับมายาพิศวง มีค่าคุ้มพอจะให้ลงทุน
ลู่เซิ่งสงบจิตใจแล้วไปดูโลกรูปจิตของตน พื้นที่ด้านในใหญ่ขึ้นอย่างที่คิดไว้
โลกรูปจิตขยายใหญ่ขึ้นไปพร้อมกับจิตวิญญาณ
ตอนนี้ไปถึงระดับเส้นผ่าศูนย์กลางสามสิบกว่ากงหลี่แล้ว มิติทรงกลมแบบนี้รองรับเมืองที่มีขนาดใหญ่หน่อยได้เมืองหนึ่ง
เทียบกับตอนแรกสุดที่มีระดับแค่เขตอยู่อาศัยเล็กๆ ตอนนี้โลกรูปจิตใหญ่ขึ้นมากๆ แต่เป็นเพราะไม่มีแสงสาดส่อง พื้นที่ส่วนใหญ่จึงยังคงมืดมนและเย็นเยือกจนไม่อาจบรรยายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติได้
วันต่อมา ลู่เซิ่งไปตระกูลจ้าวตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อชำระล้างสารมลพิษดวงดาวให้แก่จ้าวลั่วอิงต่อ
หลังจากทำตามขั้นตอนปกติจบ จ้าวเซิ่งอิงที่รอจนหงุดหงิดอยู่ด้านนอกก็ส่งคนมาเรียกลู่เซิ่งออกไป
ยังคงเป็นคฤหาสน์หลังเดิม แต่ว่าข้างตัวจ้าวเซิ่งอิงมีหญิงชราร่างอวบซึ่งมีผมหงอกคนหนึ่งเพิ่มมาอีกคน
หญิงชราคนนี้มีสีหน้าเอาจริงเอาจัง แต่ดวงตากลับฉายแววฉลาดล้ำตลอดเวลา แสดงให้เห็นว่าไม่ได้หลอกง่ายเหมือนกับจ้าวเซิ่งอิง
“อาจารย์ลู่ ท่านมาแล้ว”
พอลู่เซิ่งเข้าประตูมาก็เห็นจ้าวเซิ่งอิงกวักมือเรียกตนด้วยสีหน้าเย็นชาทันที
เขาเร่งฝีเท้าเข้าไปโดยไม่แสดงสีหน้า
“คุณหนูเล็กมีคำสั่งใดหรือ”
ด้านนอกเรือนมียอดฝีมือเหี้ยมหาญในขอบเขตวิญญาณขั้นสูงอยู่สิบสองคน เทียบเท่ากับสุดยอดผู้เข้มแข้งระดับผู้ถืออาวุธในดาวปรภพ
แต่เมื่ออยู่ที่นี่ ที่ตระกูลจ้าว กลับมีหน้าที่คุ้มครองสวนเท่านั้น
แต่ลู่เซิ่งลองคิดดูอีกที ถ้าให้อาวุธเทพศัสตรามารที่มากพอกับเขา และคัดสรรคู่ที่มีสายเลือดเหมาะสมจากจำนวนประชากรที่มากมายขนาดนั้น ผู้ถืออาวุธก็ไม่ใช่ว่าจะหายากอะไรนัก
แม้แต่ประชากรอันน้อยนิดใต้สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายอย่างต้าซ่งกับต้าอินยังให้กำเนิดผู้ถืออาวุธได้ตั้งมากมาย ยิ่งอย่าว่าแต่ตระกูลจ้าวที่ยิ่งใหญ่ซึ่งครอบครองโลกด้านนอกกับดาวเคราะห์จำนวนมาก
“ก่อนหน้านี้ท่านลู่บอกคุณหนูเล็กว่ามีวิธีการเพิ่มเสน่ห์ของตัวเอง ไม่ทราบคำพูดนี้เป็นจริงหรือไม่” หญิงชราคนนั้นเอ่ยถามช้าๆ
พอเดินเข้าไปใกล้ ลู่เซิ่งก็ตกใจ หญิงชราคนนี้เป็นผู้บำเพ็ญระดับชูศัสตรา กลิ่นอายที่ไหลเวียนบนร่างถึงขั้นก่อให้เกิดการคุกคามต่อสภาพปกติของเขาในระดับหนึ่ง
สมกับเป็นตระกูลจ้าว ลู่เซิ่งนึกสะท้อนใจ
“จริงแท้แน่นอน” ลู่เซิ่งพยักหน้าและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะว่าไป ตอนแรกข้าน้อยนึกว่าทักษะที่ครอบครองอยู่นี้จะไม่มีประโยชน์อะไรเสียแล้ว นึกไม่ถึงว่าคุณหนูเล็กจะมีเวลาที่ต้องการใช้”
“นางคือน้าเหมย พอได้ยินท่านบอกว่ามีวิธีการนี้ ก็เลยสนใจจะมาดู” จ้าวเซิ่งอิงอธิบาย
“เอาล่ะๆ ท่านบอกข้ามาก่อนว่าจะยกระดับวิชาเสน่ห์อย่างไร การเพิ่มปริมาณกล้ามเนื้อคืออะไร ถ้ากล้ามเนื้อเยอะขึ้นจะไม่กลายเป็นพวกป่าเถื่อนน่าเกลียดหรอกหรือ” หลังจากที่ถูกหลอกไปในครั้งก่อน นางก็กลับไปขบคิดอย่างละเอียด แล้วรู้สึกไม่ถูกต้องเช่นกัน ครั้งนี้เลยเรียกลู่เซิ่งมาอธิบายกับนาง
ลู่เซิ่งเตรียมตัวไว้แต่แรกแล้ว หากคิดจะหลอกให้จ้าวเซิ่งอิงว่านอนสอนง่ายขึ้น คงอาศัยแค่ฝีปากไม่ได้ ต้องแสดงความสามารถนิดหน่อยด้วย
“ทั้งสองท่านยังมีบางสิ่งที่ไม่รู้ ทักษะของข้าผู้แซ่ลู่ไม่ได้เป็นสิ่งตายตัว หากแต่จะเกิดความแตกต่างไปตามแต่ละคน ข้าเลยออกแบบวิชาหล่อเลี้ยงชีวิตซึ่งใช้ยกระดับเสน่ห์ให้แก่คุณหนูเล็กขึ้นได้โดยเฉพาะ”
“หือ วิชาหล่อเลี้ยงชีวิตที่สร้างตามความต้องการงั้นหรือ” มิคาดพอกล่าวออกไป สีหน้าของน้าเหมยกลับเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ใบหน้าดวงเล็กของจ้าวเซิ่งอิงที่อยู่ด้านข้างแข็งทื่อ นางนิ่งไปเช่นกัน
“เป็นอะไรไปหรือทั้งสองท่าน” ลู่เซิ่งงุนงง คล้ายว่าตนไปแตะกับความลับต้องห้ามอะไรเข้าเสียแล้ว
ทั้งสองคนคนต่างก็เงียบงัน
จนกระทั่งลู่เซิ่งเริ่มจะหงุดหงิดบ้างแล้ว จ้าวเซิ่งอิงพลันตบโต๊ะ
โครม!
กับข้าวบนโต๊ะถูกนางตบจนกระเด็นกระดอน น้ำแกงไม่น้อยกระจัดกระจายออกมา
“มีอะไรพูดไม่ได้กัน!? พวกท่านตรวจสอบจนชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือยังไง ในเมื่ออาจารย์ลู่ยืนยันแล้วว่าไม่มีปัญหา อย่างนั้นจะยังลังเลอะไรอยู่อีก!” จ้าวเซิ่งอิงตบโต๊ะด้านหน้าอีกครั้งพร้อมกับจ้องมองลู่เซิ่งอย่างจริงจัง
“เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับในหมู่ตระกูลใหญ่ๆ เสียหน่อย ขอไม่ปิดบัง คนอื่นๆ ลือกันว่าข้าเป็นพวกดักดาน ไม่ชอบฝึกฝน ขนาดในตระกูลมีทรัพยากรกองให้มากมายแต่ก็ยังช่วยให้ข้าเลื่อนระดับไม่ได้ ทว่าความจริง…ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความพิเศษของคุณสมบัติร่างกายของตัวข้าเอง”
“ความพิเศษของคุณสมบัติร่างกายหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างฉงน “ขอบังอาจถามคุณหนูเล็ก เป็นคุณสมบัติร่างกายอะไรกันแน่ที่ร้ายกาจจนถึงขนาดที่ตระกูลจ้าวซึ่งยิ่งใหญ่ก็ยังจัดการไม่ได้กัน”
เวลานี้น้าเหมยที่อยู่ด้านข้างเป็นฝ่ายรับลูก “ในอดีตประมุขตระกูลได้วิจารณ์คุณสมบัติร่างของเซิ่งอิงไว้ว่า
“สู้ฟ้าสู้ดินสู้ท้องนภา สู้วายุสู้พิรุณสู้เอกภพ ชื่อก็คือ ร่างราชาชนะชัย!”
“ชื่อนี้มัน…” ลู่เซิ่งมุมปากกระตุก ไม่ทราบจะบรรยายอย่างไรดี
“ท่านพ่อบอกว่า คุณสมบัติร่างของข้าคือจอมสัจจะหมื่นรั่วไหล” จ้าวเซิ่งอิงกล่าวอย่างคับข้องขึ้นด้านข้าง
“ไม่ว่าจะดีหรือแย่ เป็นพิษหรือเป็นยา เป็นน้ำหรือเป็นอากาศ ขอแค่เข้าไปในตัวข้า ก็จะรั่วไหลทันที สาเหตุที่ถูกเรียกว่าร่างราชาชนะชัย เป็นเพราะคุณสมบัติร่างกายของข้าสู้กับทุกสิ่งทุกอย่าง พิษก็สู้ ยาก็สู้ ผักก็สู้ ข้าวก็สู้ แม้แต่น้ำย่อยข้าก็ยังสู้ ไม่อนุญาตให้มีสิ่งใดคงอยู่ในตัวข้า”
“ถูกต้อง คุณสมบัติร่างนี้เกรี้ยวกราดถึงขีดสุด ถ้าปรากฏในคนธรรมดา อยู่ไม่เกินสามวันคงหิวตายไปแล้ว” น้าเหมยถอนใจ
“จอมสัจจะหมื่นรั่วไหล…ร่างราชาชนะชัย…นึกไม่ถึงว่าโลกจะมีคุณสมบัติร่างที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ด้วย…” ลู่เซิ่งหมดคำพูดเช่นกัน
“ไอ้ที่น่าแค้นก็คือ คุณสมบัติร่างของข้านี้ ยิ่งดีกับมันขนาดไหน มันยิ่งต้องการสู้เท่านั้น” จ้าวเซิ่งอิงกล่าวอย่างเคียดแค้น “ตอนนี้ข้าเลยทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ฝึกฝนอะไรก็ไม่ได้ เพียงแต่กายเนื้อแข็งแกร่งขึ้นเพราะวัตถุฟ้าสมบัติดินเท่านั้น อย่างอื่นล้วนไม่มีการพัฒนาใดๆ!”
“ได้ความรู้เพิ่มขึ้นจริงๆ” แม้ลู่เซิ่งจะมีความมั่นใจในวิชารักษาที่มีแบบแผนระดับเจ็ดแปดร้อยของตัวเอง แต่พอได้ยินถึงคุณสมบัติร่างที่ร้ายกาจขนาดนี้ ก็เริ่มจะไม่แน่ใจแล้ว
“เพราะฉะนั้นอาจารย์ลู่ไม่ต้องกังวลเกินไป ถ้าวิธีการของท่านใช้ไม่ได้ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นความผิดของท่าน ทุกอย่างต้องโทษคุณสมบัติร่างกายนี้ของข้าที่เป็นตัวปัญหา” จ้าวเซิ่งเอิงเอ่ยอย่างจนปัญญา
“นั่นก็ไม่แน่หรอก…” ลู่เซิ่งใคร่ครวญ “สิ่งมีชีวิตมีสารกาย ปราณ จิต ต่อให้ท่านรั่วไหลขนาดไหน อย่างไรก็ต้องมีสามสิ่งนี้ หากลงมือจากด้านนี้…”
“น่าเสียดาย…ความจริง…เซิ่งอิงไม่มีสารกาย ปราณ จิต มีแต่กายเนื้อจอมสัจจะหมื่นรั่วไหลที่รวมปราณกำเนิดเป็นร่างเท่านั้น” น้าเหมยตัดบทอย่างจนปัญญา
“ไม่มีสารกาย ปราณ จิตอย่างนั้นหรือ!?” ครั้งนี้ลู่เซิ่งงุนงงจริงๆ แล้ว “ถ้าย่อยอาหารไม่ได้ แล้วคุณหนูเล็ก…”
“สิ่งที่ข้ากินได้มีแค่เงาของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น” สีหน้าของจ้าวเซิ่งอิงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ก่อนจะตอบตามตรง
“กินเงา…” ลู่เซิ่งหยีตา “ให้ข้าตรวจสอบร่างกายท่านก่อนเถอะ”
“ตรวจอย่างไร” จ้าวเซิ่งอิงกล่าวอย่างเคร่งเครียดเล็กน้อย
“ในเมื่อทำให้ทุกอย่างรั่วไหล อย่างนั้นข้าจะลองปราณภายในด้านการแพทย์ในตัวข้าดูก่อน ดูว่าจะหาสาเหตุอะไรเจอหรือไม่” ครั้งนี้ลู่เซิ่งเกิดความสนใจจริงๆ แล้ว นึกไม่ถึงว่าโลกใบนี้จะยังมีคุณสมบัติร่างแบบนี้ด้วย
หนำซ้ำถ้าหากแก้ปัญหาด้านคุณสมบัติร่างให้แก่จ้าวเซิ่งอิงได้ อย่างนั้นครั้งนี้อีกฝ่ายจะติดหนี้บุญคุณเขาครั้งใหญ่
ถึงเวลาให้นางลงแรงช่วยเหลือหาวิชาการฝึกฝนหลัก หรือไม่ก็แนะนำอาจารย์ให้ จะต้องง่ายเหมือนปลอกกล้วยอย่างแน่นอน
“ไม่ได้! เซิ่งอิงยังไม่ออกเรือน ต่อให้ท่านเป็นหมอ การโคจรปราณภายในในร่างกายก็เป็นสิ่งต้องห้ามอยู่ดี!” ไม่รอให้จ้าวเซิ่งอิงตอบ น้าเหมยที่อยู่ด้านข้างก็ปฏิเสธทันที
“เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ให้ข้าตรวจสอบสองแขนดูก่อน แบบนี้น่าจะได้กระมัง” ลู่เซิ่งเสนอ
น้าเหมยมองจ้าวเซิ่งอิงที่ทำหน้าบูดบึ้ง “ก็ได้ ท่านระวังหน่อย ถ้าหากเกิดเรื่องล่ะก็…”
“ไม่ต้องห่วง ผู้แซ่ลู่จะระวัง” ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ แล้วแอบคำนวณว่าถ้าจะจัดการคนในเรือนต้องใช้เวลาเท่าไหร่
เมื่อมีโลกรูปจิต จะสามารถกระชากคู่ต่อสู้ที่มีพลังฝึกปรือสู้ตนเองไม่ได้เข้าไปข้างในได้ในชั่วอึดใจ ถือเป็นการฆ่าในเสี้ยววินาที
ส่วนน้าเหมย หลังแปลงร่างน่าจะจัดการได้ในสามกระบวนท่า…
ลู่เซิ่งมั่นใจว่าขอแค่ไม่ใช่ขอบเขตลวงตา คนอื่นๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
“อย่างนั้นขอเริ่มเลยนะขอรับ” เขายื่นมือออกมาพลางถาม
“รอก่อน ข้าขอกินน้ำก่อน” จ้าวเซิ่งอิงตื่นเต้นอยู่บ้าง จึงหยิบกาน้ำบนโต๊ะมาเงยหน้าดื่มอึกๆ
ซู่…
เสาน้ำเล็กๆ หลายสิบสายลอยออกมาจากร่างนาง
ลู่เซิ่งนึกขำเล็กน้อย จากนั้นก็มองจ้าวเซิ่งอิงยื่นมือซ้ายของตัวเองออกมา
เขาใช้นิ้วชี้กดข้อมือนางเบาๆ
ด้ายกระตุ้นวิญญาณมุดเข้าไปในผิวหนังบนข้อมือของนางอย่างรวดเร็ว แล้วกระจายไปตามตำแหน่งต่างๆ ในร่างกายผ่านเส้นเลือดกับเส้นชีพจร
ลู่เซิ่งหลับตาลงเงียบๆ พร้อมกับสัมผัสสภาพในร่างกายของนาง
เวลาผ่านไปสองสามนาทีอย่างไม่รู้ตัว
เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นและถอนใจ
“อาจารย์…ลู่…เป็นอย่างไรบ้าง…รักษา…ได้ไหม” เสียงของจ้าวเซิ่งอิงดังมากระท่อนกระแท่น ฟังดูแปร่งหูเล็กน้อย
น้ำเสียงเปลี่ยนแปลงไป บิดเบี้ยวเล็กน้อย
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองอีกฝ่าย
จ้าวเซิ่งอิงนั่งบนที่นั่งด้วยใบหน้ากังวล สองตามองนิ่งมาทางด้านนี้
เพียงแต่ดวงตาของนางมีเม็ดเนื้อสีแดงขนาดเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนงอกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ เหมือนกับดวงตาขนาดเล็กเหลือคณานับรวมตัวกันกลายเป็นดวงตาขนาดใหญ่ที่สุดสองข้าง
“อาจารย์ลู่…ท่าน…จะต้อง…ช่วยข้า…นะ…” ผิวบนคอของจ้าวเซิ่งอิงนูนขึ้น เหมือนกับมีของที่เรียวยาวสักอย่างต้องการมุดออกมาจากตรงนั้น
ขณะเดียวกันเม็ดเนื้อสีแดงขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนก็ขยายมาถึงมือ เหมือนต้องการไต่เข้าหาลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งพลันทะลึ่งตัวลุกขึ้นแล้วเหลียวมองรอบๆ น้าเหมยหายไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์เมื่อก่อนหน้านี้อีกต่อไป หากเป็นสวนดอกไม้รกร้างที่เก่าโทรมแห่งหนึ่ง
รอบๆ เงียบสงัด ไม่มีองครักษ์ ไม่มีหญิงรับใช้ มีแต่จ้าวเซิ่งอิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพลางจับจ้องเขาอย่างเฉื่อยชา ราวกับกำลังจ้องมองคนตายคนหนึ่งเท่านั้น
……………………………………….
——————————————