ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 646 ตรวจสอบ (2)
บทที่ 646 ตรวจสอบ (2)
ปุบ
ลู่เซิ่งปิดหนังสือเล่มหนาด้านหน้าลง ดวงตารู้สึกล้าเล็กน้อย
คัมภีร์แห่งความมืดมน
บนปกคัมภีร์ประทับตัวอักษรขนาดใหญ่สามคำในภาษาภัยพิบัติไว้อย่างชัดเจน
เนื้อสีแดงเข้มที่เหมือนกับหัวใจก้อนหนึ่งนูนขึ้นตรงกลางปก มันกำลังขยับขึ้นลงช้าๆ เหมือนกับกำลังหายใจ
‘นึกไม่ถึงว่าห้องสมุดนี้จะอนุญาตให้ตรวจสอบข้อมูลต้องห้ามแบบนี้ด้วย ถ้าคนที่มีพลังย่ำแย่มาอ่าน จิตวิญญาณได้พลังทลายแน่’
ลู่เซิ่งยื่นมือไปลูบปกหนังสือ สัมผัสจากการลูบเนียนละเอียดและอบอุ่นเหมือนกับผิวของมนุษย์
เขาลุกขึ้นพร้อมกับหยิบคัมภีร์ไปด้วย ก่อนจะสอดกลับไปบนชั้นหนังสือทางขวามือ จากนั้นก็นำคัมภีร์แห่งความมืดมนเล่มสองที่อยู่ติดกันออกมานั่งลงอ่านต่อที่เดิม
เขาทำแบบนี้มาสองวันแล้ว สองวันมานี้จ้าวเซิ่งอิงไม่ได้มาหาเขา และไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย
หมอที่อยู่ด้วยกันบอกว่า เหมือนจะเห็นจ้าวเซิ่งอิงถูกคนของตระกูลจ้าวคุ้มครองไปขึ้นค่ายกลส่งตัวสำหรับกลับแล้ว
ลู่เซิ่งที่กลับไปหลังหลอกจ้าวเซิ่งอิงในวันนั้นเรียบร้อยแล้ว ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ
เขาจึงมายังห้องสมุดในเมืองทันที หลังจากจ่ายเงินส่วนหนึ่ง ก็เริ่มตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเมล็ดแห่งแก่นปฐม
สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ข้อมูลนี้ถูกกำหนดเป็นข้อมูลต้องห้ามระดับสูง จำเป็นต้องจ่ายเงินมากกว่าเดิม
ลู่เซิ่งใช้เงินน้ำแข็งไปแปดพันกว่าๆ เพื่อการตรวจสอบเพียงอย่างเดียว
ท่ามกลางเสียงพลิกหน้าหนังสือดังพึ่บพั่บ คัมภีร์แห่งความมืดมนหลายเล่มถูกพลิกเปิดอย่างต่อเนื่องตามเวลาที่ผ่านไป แม้ว่าจะไม่ยังเจอข้อมูลเมล็ดแห่งแก่นปฐม แต่ลู่เซิ่งกลับมีความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนต่อสภาพแวดล้อมทั้งหมดเพิ่มขึ้น
‘…โลกใบอื่นเรียกที่นี่ว่าจักรวาลมารสวรรค์ โลกแห่งความโกลาหล ฟ่านเอ้อลา ที่นี่เป็นคำแทนของความชั่วร้าย การทำลายล้าง ความสับสน และความโกลาหล เป็นต้นกำเนิดของความเศร้าโศก ความเจ็บปวด ความโกรธ และความอิจฉา ท่ามกลางจักรวาลและโลกนับไม่ถ้วน มีแต่ที่นี่เท่านั้นที่ไม่มีโลกคู่ขนาน เวลาจบลงที่นี่ สรรพสัตว์เดินสู่ที่พักพิงสุดท้ายตรงนี้ หนวดของรากแห่งความว่างเปล่ายืดขยายไปรอบๆ พวกเขาเดินทางไปทั่วทุกแห่งหนด้วยสถานะเมล็ดแห่งแก่นปฐม…’
‘เดี๋ยวก่อน!’ ลู่เซิ่งชะงักนิ้วฉับพลัน พลางเพ่งสมาธิจ้องมองตัวหนังสือแถวหนึ่งในหน้านี้
‘อยู่นี่นี่เอง เมล็ดแห่งแก่นปฐม!?’ ลู่เซิ่งไล่สายตาไปตามรายละเอียด
‘…ไม่มีใครรู้ว่าเมล็ดแห่งแก่นปฐมมาจากที่ใด ไม่มีใครทราบว่าเป้าหมายของพวกเขาคืออะไร ทุกคนเพียงแต่รู้ว่า เมล็ดแห่งแก่นปฐมนั้นยากถูกสัมผัส พวกเขามักจะซ่อนตัวซุ่มรออย่างเงียบๆ อยู่ในโลกรูปจิตของตัวเอง มีแต่เวลาที่ต้องการอะไรบางอย่าง หรือเวลาที่พวกเขาต้องการทำอะไรบางอย่างเท่านั้น ถึงจะปรากฏตัวออกมาเองและถูกคนพบ’
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วตรวจสอบข้อความต่อไป ข้อความต่อมาคือข้อมูลอื่นๆ แล้ว มีแต่ตรงนี้เท่านั้นที่มีข้อมูลเกี่ยวกับแก่นปฐม แต่กลับไม่มีเนื้อหาอะไรเลย
เพียงแต่ได้รู้จักสิ่งที่มีชื่อว่ารากแห่งความว่างเปล่าเพิ่มเท่านั้น
เขาพลิกคัมภีร์ไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ที่เหลือคือการบรรยายถึงสามสมุทรดวงดาวของจักรวาลมารสวรรค์
สามสมุทรดวงดาวมีสามขุมกำลังใหญ่เป็นผู้ปกครอง รูปแบบนี้ดำเนินมาเป็นเวลานานมากๆ แล้ว และที่นี่ก็อยู่ในเขตสมุทรดวงดาวแห่งมรกต อยู่ในระบบสายน้ำขนาดเล็กทางชายขอบสมุทรดวงดาว
คัมภีร์แห่งความมืดมนเล่มที่เหลือไม่ได้บันทึกอะไรไว้มากนัก
แต่เพราะเป็นแบบนี้ สายตาของลู่เซิ่งกลับถ่างกว้างมากขึ้น มีความรู้ที่สมบูรณ์ต่อนครตราชั่ง ระบบดาวปรภพ มารดาแห่งความเจ็บปวด และสำนักนทีครามแล้ว
‘ระบบดาวปรภพดำรงอยู่มาหลายสิบล้านปีแล้ว แต่มารดาแห่งความเจ็บปวดกับสำนักนทีครามเป็นราชันที่โผล่มาทีหลัง ผงาดขึ้นมายังไม่ถึงหนึ่งล้านปีด้วยซ้ำ ระบบสายน้ำแถบนี้นับว่าเป็นระบบสายน้ำเกิดใหม่ที่หายากเต็มที’
ลู่เซิ่งปิดคัมภีร์แล้วนำกลับไปวางไว้บนชั้น ก่อนจะลุกขึ้นออกจากห้องยืมหนังสือ
ข้อมูลที่ตรวจสอบได้ล้วนตรวจสอบหมดแล้ว เขายังแวะอ่านหนังสือทั่วไปอีกไม่น้อย ตอนแรกเขาคิดจะตรวจสอบข้อมูลด้านเคล็ดวิชาด้วย แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ต่อให้เป็นเคล็ดวิชาที่เขาต้องการ ราคาก็แพงเสียจนทำให้คนไม่อยากจะเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง
ลู่เซิ่งที่ออกจากห้องสมุดกลับไปยังคฤหาสน์ของตัวเองทันที ก่อนจะเปิดค่ายกลผนึกลานเรือน
‘ในเมื่อทางนี้ยังหาวิธีการไม่เจอ อย่างนั้นตัวเลือกในตอนนี้คือ ถ้าไม่จุติต่อ ก็ต้องไปเสี่ยงโชคกับสมาคมธวัชเหล็ก’ ลู่เซิ่งคำนวณในใจ
‘ตอนนี้จิตวิญญาณของเราขยายถึงจุดสูงสุดแล้ว กฎจักรวาลเองก็ไม่มีวิธีทำให้เรารองรับจิตวิญญาณได้มากกว่านี้อีก ต่อให้จะสะสางผลกรรมได้สำเร็จจากการจุติ ก็เสียเปล่าอยู่ดี ความสำคัญในตอนนี้ก็คือเคล็ดวิชา กับการยกระดับและการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติของขอบเขต ดูเหมือนได้แต่ไปดูสถานการณ์ที่สมาคมธวัชเหล็กก่อน ไม่แน่ว่าวิชาแพทย์ของเราจะแสดงประโยชน์ให้พวกเขาเห็นได้’
พอตัดสินใจแล้วก็ลงมือทันที
ลู่เซิ่งเริ่มกางค่ายกลจุติในห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว ในบรรดาค่ายกลที่เขาครอบครอง มีแต่ค่ายกลจุติเท่านั้นที่ฉีกมิติได้อย่างง่ายดายที่สุด
เนื่องจากกางค่ายกลมาแล้วหลายครั้ง ลู่เซิ่งจึงช่ำชองเป็นอย่างดี แถมตราบใดที่มีวัตถุดิบเพียงพอ ลู่เซิ่งยังเพิ่มคุณสมบัติควบคุมเข้าไปเพื่อป้องกันอุบัติเหตุได้อีกหลายอย่าง
ทางจ้าวลั่วอิงยังไม่ต้องการการชำะระล้างชั่วคราว ถึงช่วงพักผ่อนพอดี สารมลพิษดวงดาวก็หยุดการปลดปล่อยเช่นกัน
การปลดปล่อยครั้งหน้าอย่างน้อยก็ใช้เวลาอีกสองอาทิตย์ มากพอให้เขาไปสมาคมธวัชเหล็กได้เที่ยวหนึ่ง
ไม่นานค่ายกาลก็ถูกกางเรียบร้อย ลู่เซิ่งเข้าไปนั่งลง แก่นหยางไหลออกมาบนร่างเหมือนกับของเหลวสีทอง แล้วแผ่ขยายไปยังลวดลายค่ายกลบนพื้น
ผลึกสีดำสองเม็ดที่ฝังไว้อยู่แล้วค่อยๆ สั่นไหว
ไอหมอกและแสงสีแดงเข้มเริ่มปรากฏขึ้นรอบๆ ค่ายกล
ชิ้ง!
ครั้งนี้ง่ายดายกว่าเดิมมาก จิตวิญญาณของลู่เซิ่งแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว ค่ายกลจึงใช้พลังงานน้อยลง ทั้งยังควบคุมได้ถึงระดับขั้นที่น่าเหลือเชื่ออีกต่างหาก
ชิ้ง!
ค่ายกลฉีกมิติและเปิดช่องแตกสีเทาได้อย่างง่ายดายเหมือนกับปลอกกล้วย
ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง หยิบกระบี่สั้นสีเขียวมรกตออกจากไข่มุกกลืนสมุทรมาถือไว้ในมือ จากนั้นก็กลายร่างเป็นแสงสีดำ แล้วพุ่งตัวหายเข้าไปในช่องแตก
…
ก้อนกลมสีเงินที่ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตหมุนวนตามเข็มนาฬิกาอยู่กลางท้องฟ้าอย่างช้าๆ
ก้อนกลมเหมือนกับดวงอาทิตย์ ท่อโลหะสีเงินนับไม่ถ้วนยื่นออกมาจากผิว ปลายท่อทุกท่อเชื่อมต่อกับก้อนโลหะขนาดเล็กสีเงินที่มีขนาดแตกต่างกัน
ก้อนโลหะก้อนเล็กทั้งหมดหมุนตามก้อนกลมสีเงินด้วยความเร็วที่เชื่องช้าและมั่นคง
ก้อนโลหะก้อนเล็กพวกนี้เชื่อมต่อกับวงกลมขนาดเล็กลักษณะคล้ายกันที่มีขนาดไม่เท่ากันอีกมากมาย เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ก้อนเล็กๆ ที่อยู่ด้านนอกสุดเชื่อมต่อกันเอง โครงสร้างทั้งหมดเหมือนกับรูปทรงหลายเหลี่ยมขนาดยักษ์ที่เกิดจากก้อนกลมกับกระบองไม้
ด้านในวงกลมก้อนเล็กๆ ที่อยู่ในแถวตรงกลาง
ซู่…
ช่องแตกสีเทาสายหนึ่งแยกออกในความว่างเปล่าของทรงกลมสีเงิน
แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมาจากช่องแตกแล้วตกลงบนพื้น ปรากฏเป็นร่างบุรุษวัยหนุ่มที่สูงใหญ่กำยำ เป็นลู่เซิ่งที่เมื่อครู่เพิ่งเปิดใช้ค่ายกลจุตินั่นเอง
เขาสวมชุดคลุมสีดำตัวยาว ถือมีดสั้นสีเขียวมรกตอยู่ในมือ โซ่อักขระสีเขียวเข้มที่เดี๋ยวหายเดี๋ยวปรากฏจำนวนมากวนเวียนอยู่รอบๆ ตัว
แปะๆๆๆ
เสียงปรบมือกระจ่างชัดดังมาจากมุมหนึ่งของห้อง ลู่เซิ่งมองไปยังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
ตรงประตูทางออกที่อยู่ด้านขวาของห้องมีสตรีร่างสูงชะลูดซึ่งไว้ผมสีดำยาวประบ่าคนหนึ่งยืนอยู่
สตรีมีเทวลักษณ์สีดำที่ซับซ้อนติดอยู่กลางหว่างคิ้ว สวมเกราะหนังสีม่วงแนบเนื้อ มือหนึ่งกำด้ามดาบที่เหน็บไว้กับเอวขณะมองมาทางนี้อยู่ไกลๆ
“ยินดีต้อนรับ ยินดีต้องรับสู่สมาคมธวัชเล็ก หลังจากกันบนโลกใบเล็ก ดูเหมือนเจ้าจะมีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีทีเดียว” นางคือหมีก่วงอิงที่เคยสู้กับลู่เซิ่งเมื่อก่อนหน้านี้นั่นเอง
บนร่างนางในตอนนี้มีกลิ่นอายอันตรายที่ยากบรรยายแผ่ตลบอยู่ แข็งแกร่งเหี้ยมหาญกว่าตอนแรกหลายเท่าตัว
“หมีก่วงอิงหรือ” ลู่เซิ่งเดินเข้าไปหา
“ดี จำได้ก็ดีแล้ว ดีที่เจ้าสังหารน้องชายของข้าไป ไม่อย่างนั้นไม่ทราบว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปีข้าถึงจะออกมาได้” หมีก่วงอิงปล่อยด้ามดาบในมือ แล้วหยิบหินกลมสีขาวก้อนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเอวด้านหลัง ก่อนจะโยนให้ลู่เซิ่ง
“รับไว้ ข้ายื่นขอเครื่องหมายเข้าสมาคมให้เจ้าแล้ว สมาคมธวัชเหล็กต้องการผู้มีความสามารถที่มีศักยภาพโดดเด่นอย่างเจ้าอยู่พอดี! ศึกษาให้ดีเถอะ ในนั้นรับภารกิจได้มากมาย ถ้าหากเจ้ามีความมั่นใจ ก็จะสะสมค่าความดีความชอบได้อย่างรวดเร็ว” หมีก่วงอิงหยิบแร่ดิบสีขาวของตนออกมา
บนหินสลักอักขระสีฟ้าประหลาดเอาไว้
“เอาล่ะ เจ้าลองคลำทางดูเองก็แล้วกัน ข้าไปทำภารกิจก่อน ครั้งนี้คิดจะแก้แค้น แต่ยังสะสมค่าความดีความชอบไม่พอ เลยขอให้คนช่วยไม่ได้ รอเจ้าอยู่นี่มาตั้งนาน ถือว่าพักผ่อนก็แล้วกัน”
ลู่เซิ่งยังคิดจะถาม ทว่ายังไม่ทันเอ่ยปาก ก็เห็นหมีก่วงอิงโยนแร่ดิบสีขาวในมือไปด้านหน้าแล้ว
เกิดเสียงดังแวบ แร่ดิบพลันกลายเป็นประตูแสงสีฟ้าทรงรีบานหนึ่ง นางก้าวเข้าไปด้านใน จากนั้นประตูแสงก็ปิดลงพร้อมกับหายไปในพริบตา
ห้องเงียบลง
ลู่เซิ่งมองแร่ดิบในมือ ยื่นจิตวิญญาณเข้าไปแตะเบาๆ
ตูม!
ข้อมูลมากมายทะลักเข้ามาในห้วงสมองของเขา
ช่องโลหะ นี่เป็นชื่อของโลกใบนี้
ที่นี่ไม่มีพื้นดิน มีแต่ความว่างเปล่าและเมฆสีขาว ก้อนโลหะกลมจำนวนมากที่ลอยอยู่ที่นี่เป็นเหมือนกับหมู่เกาะ
ศูนย์ใหญ่ของสมาคมธวัชเหล็กตั้งอยู่บนก้อนโลหะกลมก้อนหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของที่นี่
พวกเขาเรียกที่นี่ว่าทะเลสีเงิน
ทะเลสีเงินเป็นแกนกลางของสมาคมธวัชเหล็ก ทุกๆ วันจะมีการประกาศภารกิจใหม่และภารกิจที่ทำสำเสร็จแล้วมากมายหลากหลาย
ณ ที่แห่งนี้ ค่าความดีความชอบคือทุกสิ่ง ผู้ที่มีพลังสามารถรับภารกิจเพื่อหาค่าความดีความชอบได้หลากหลายรูปแบบ
ผู้ที่ไม่มีพลังแต่มีเงินและมีทรัพยากรก็หาค่าความดีความชอบได้จากสมาชิกที่ต้องการทรัพยากรและเงินผ่านการแลกเปลี่ยนเช่นกัน
นอกจากนี้อีกพวกที่หาค่าความดีความชอบได้ก็คือสมาชิกสายทักษะ ซึ่งสามารถหาค่าความดีความชอบได้จากการทำภารกิจที่ใช้ทักษะให้สำเร็จ
ในทางกลับกัน ค่าความดีความชอบใช้แลกกับสมบัติทรัพยากรแต่ละอย่างได้ที่หอการค้าแร่ดิบของศูนย์ใหญ่
ลู่เซิ่งหลับตายืนอยู่ที่เดิม ย่อยสลายข้อมูลของที่นี่อย่างรวดเร็ว ครู่หนึ่งค่อยได้สติกลับมา
‘ค่าความดีความชอบคือทุกอย่างหรือ น่าสนใจ…ผู้ยิ่งใหญ่ระดับไหนเป็นคนก่อตั้งที่นี่กันแน่ ถึงกับมีสถานการณ์ที่ใหญ่โตขนาดนี้…’
เขาหยิบแร่ดิบขึ้นมาบีบเบาๆ ลวดลายสีฟ้าซับซ้อนสายหนึ่งพลันปรากฏบนผิวแร่ดิบ ก่อนจะปล่อยแสงสีฟ้าออกมารวมตัวเป็นม่านแสงทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
ตอนแรกในม่านแสงคือหมอกหนาสีดำที่หมุนวนกลุ่มหนึ่ง ไม่นานหมอกหนาก็สลายหายไป เผยให้เห็นก้อนสีเงินที่ยึดครองพื้นที่เล็กๆครึ่งหนึ่ง ของม่านแสง
ก้อนสีเงินหมุนอย่างช้าๆ รอบตัวเชื่อมต่อกับแท่งสั้นๆ จำนวนมาก แท่งแต่ละแท่งเชื่อมกับก้อนสีเงินก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่ง
ก้อนสีเงินขนาดเล็กเหล่านี้ถูกเส้นสีดำรูปกางเขนแบ่งออกเป็นสี่เขตใหญ่ และระบุตัวหนังสือเอาไว้
สี่เขตใหญ่แบ่งออกเป็นรับจ้าง ทักษะ ตลาด และเบ็ดเตล็ด
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ก่อนจะใช้จิตจิ้มกรอบทักษะ ม่านแสดงพลันเปิดออก มีรายการเล็กๆ จำนวนมากเด้งออกมา
ตั้งแต่บนถึงล่างคือคัมภีร์ลับเคล็ดวิชาหลากหลายรูปแบบ รวมถึงผลึกลี้ลับและภาพพิมพ์เทวลักษณ์หลากหลายชนิด บ้างก็แข็งแกร่งบ้างก็อ่อนแอ ด้านหลังต่างระบุระดับและตำแหน่งสูงสุดเอาไว้
ลู่เซิ่งขยับจิตวิญญาณ รายการทั้งหมดพลันเรียงตามระดับชั้นจากสูงสุดถึงต่ำสุดทันที
……………………………………….