ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 649 เลือก (1)
บทที่ 649 เลือก (1)
“ถูกต้อง…นางก็คือมารดาบังเกิดเกล้าของใต้เท้าจวงจิ้ว…มิหนำซ้ำ ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ บางทีเจ้าอาจจะเป็นน้องชายที่กลับชาติมาเกิดใหม่ ผู้ที่ใต้เท้าจวงจิ้วพูดถึงเสมอ…!”
“อะไรนะ!?” ลู่เซิ่งลืมตาโต กลิ่นอายบนร่างแปรปรวนไม่เสถียรด้วยความเร็วสูง “ใต้เท้า ท่านแน่ใจหรือว่าท่านไม่ได้กำลังล้อข้าเล่น”
“ข้าอยู่ว่างเลยมาล้อเจ้าเล่นหรือไง” จวี้เหยี่ยถอนใจพลางโบกมือ “น่าเสียดาย…ตอนนี้ใต้เท้าจวงจิ้วกลายเป็นเถ้าธุลีความว่างเปล่าไปแล้ว จิตวิญญาณสูญสลาย จึงไม่อาจพิสูจน์ได้อีก”
“ประเดี๋ยวก่อน!” ลู่เซิ่งพลันยกมือ สีหน้าขาวซีดอย่างรวดเร็ว
“เมื่อครู่ท่านบอกว่า ใต้เท้าจวงจิ้ว…ท่านพี่จวงจิ้ว เขา จิตวิญญาณสูญสลายไปแล้วหรือ?!”
จวี้เหยี่ยนิ่งไปครู่หนึ่งขณะมองดูสายตาที่ฉายแววตกตะลึงและเหลือเชื่อของลู่เซิ่ง หลังลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างจริงจัง
ลู่เซิ่งเห็นเขายืนยัน ก็เหมือนกับตะลึงงันไป กัดริมฝีปากเล็กน้อย หายใจลึกเฮือกหนึ่งและก้มหน้าลง ก่อนจะค่อยๆ เก็บมีดสั้นในแขนเสื้อที่เตรียมใช้ลอบโจมตีไว้
“ท่านพี่จวง…ก่อนหน้านี้เขายังบอกว่าจะพาข้าจุติไปยังโลกด้านนอกด้วยกัน และส่งผลึกลี้ลับให้ข้าเพื่อทำความเข้าใจรูปจิตอยู่เลย…”
“เจ้า…” จวี้เหยี่ยเองก็ถอนใจเฮือกเช่นกัน ความจริงในบรรดานักฆ่าเงาจำนวนมาก เขากับสมาชิกอีกบางส่วนได้รับการดูแลจากจวงจิ้วมาโดยตลอด หากกล่าวกันตามจริง คนจำนวนไม่น้อยในโลกสรรพวิญญาณล้วนรับการตายของจวงจิ้วในครั้งนี้ไม่ได้
“ช่างเถอะ ครั้งนี้เจ้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ให้ดี ตอนนี้ใต้เท้าจวงจิ้วจากไปแล้ว เบื้องบนปั่นป่วนไปหมด นึกว่าเขามาที่เขตดวงดาวแห่งนี้เพราะมีเป้าหมายอะไร กลับนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะเจ้า” จวี้เหยี่ยอธิบายสองสามประโยค “ข้าจะถือว่าไม่เคยเจอตัวเจ้าก็แล้วกัน เรื่องของเจ้า ข้าจะแอบไปตรวจสอบดู และจะหาข้อมูลที่ใช้พิสูจน์ให้เจ้า”
ลู่เซิ่งหลับตาพร้อมกับสูดหายใจลึก
“บอกข้าได้หรือไม่ว่าพี่จวง…ตายได้อย่างไร”
“เป็นฝีมือของเผ่าอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียร สัตว์โบราณ” จวี้เหยี่ยกล่าวอย่างลังเล เขาสัมผัสความรู้สึกที่แท้จริงในจิตวิญญาณของลู่เซิ่งได้ ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ความยินดียังไม่จางหายไปหลังจากเพิ่งได้รู้จักครอบครัวนั้น
ความรู้สึกที่ซับซ้อนแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะเสแสร้งแกล้งดัดได้
ในฐานะนักฆ่าเงา ความสามารพิเศษโดยกำเนิดของเขาสามารถอ่านอารมณ์ของอีกฝ่ายได้
นี่เป็นสาเหตุที่เขาเชื่อถือลู่เซิ่งเป็นพิเศษ ไม่มีคนธรรมดาคนไหนโกหกเขาได้
นักฆ่าเงาหาช่องโหว่ทางอารมณ์ของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายถึงขีดสุด จากนั้นก็จะฉวยจังหวะลงมือสังหาร
ทุกครั้งที่คู่ต่อสู้อารมณ์ไม่มั่นคง จะเป็นเวลาสำคัญที่พวกเขาใช้ลงมือสังหารคน
ถึงแม้เขาจะเชื่อวาจาของลู่เซิ่งไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่จิตใจยังคงรักษาความระมัดระวังไว้ตามสัญชาตญาณ เรื่องนี้ต้องกลับไปตรวจสอบก่อนถึงจะยืนยันได้
“เอาล่ะ เรื่องระดับนี้ เจ้ารู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้เจ้ายังเป็นแค่ชูศัสตรา ยังไม่ถึงขั้น พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” จวี้เหยี่ยไตร่ตรอง “เรื่องที่ข้าตามหาเจ้าในครั้งนี้ เจ้าห้ามบอกใครทั้งสิ้น และอย่าเล่าให้คนอื่นฟังด้วยว่าเจ้ามีโอกาสเป็นน้องชายของใต้เท้าจวงจิ้ว ภายหลังข้าจะติดต่อกับคนอื่นๆ ถ้าหากหาอะไรมายืนยันได้ นั่นจะเป็นเรื่องดีต่อเจ้า”
ลู่เซิ่งสงบสติอารมณ์และพยักหน้าน้อยๆ
“ข้าเข้าใจขอรับ ถ้าพี่จวงเป็น…อย่างนั้นศัตรูของเขาไม่มียอมปล่อยข้าไปง่ายๆ เด็ดขาด”
“อือ เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” จวี้เหยี่ยหันไปมองพวกถูจินอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
“ส่วนพวกเขา ครั้งนี้ข้าใจร้อนไป ยังดีไม่ได้สร้างปัญหาใหญ่ เจ้าชดเชยของขวัญให้พวกเขาเพื่อขอโทษแทนข้าก็แล้วกัน” เขาโบกมือเสกกล่องเล็กๆ สีดำสามกล่องออกมา
กล่องเล็กลอยเข้าไปในมือลู่เซิ่งโดยอัตโนมัติ
“นี่คือโอสถยอดอำพันที่ข้ากลั่นขึ้นเอง มีกล่องละเม็ด คนธรรมดากินเข้าไปจะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นสิบปี ถือว่าเป็นของขวัญชดเชย”
ลู่เซิ่งพลันตกใจ “นี่ใช่เลยเถิดไปหน่อยหรือไม่…”
“ไม่เป็นไร ถือว่าข้าชดเชยให้พวกเขา อย่างไรก่อนหน้านี้ข้าคิดจะลงมือฆ่าปิดปากอยู่แล้ว…” จวี้เหยี่ยยิ้มแหย
“เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว ข้าจะกลับไปรายงานภารกิจก่อน ขอมอบสิ่งนี้ให้เจ้า เก็บไว้ให้ดีเล่า ถ้าเจอปัญหาให้บีบมันจนแตก ผ่านมันข้าจะสามารถกำหนดตำแหน่งและมาช่วยเจ้าได้ทันเวลา” เขาพลิกมือมอบจี้สีเงินทรงสามเหลี่ยมอีกอันให้ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งรับมาเก็บไว้ “ขอบคุณพี่ใหญ่จวี้เหยี่ย ผู้น้องเข้าใจแล้ว ท่านเดินทางระวังตัวด้วย”
“อืม ข้าคือนักฆ่าเงา ไปไหนมาไหนผ่านความมืดได้สบายๆ คู่ต่อสู้ส่วนใหญ่จับทางพวกเราไม่ทันหรอก เจ้าระวังตัวด้วย” จวี้เหยี่ยรู้สึกอบอุ่นใจ ก่อนจะตบบ่าลู่เซิ่ง
“ข้าทราบดี” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ดี อย่างนั้น ข้าขอตัวก่อน” จวี้เหยี่ยไม่พูดอะไรมากอีก ข้อมูลที่ได้รับในครั้งนี้มีความสำคัญอยู่บ้าง ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง เขาจะต้องรีบกลับไปพบกับสหายคนอื่นๆ ให้เร็วที่สุด
ในลัทธิภูษาม่วงที่ใต้เท้าจวงจิ้วสร้างขึ้น ถ้าหากทราบว่ายังมีสายเลือดของเผ่าผลึกม่วงดำรงอยู่ในโลก ตัวแปรไม่เสถียรที่ซ่อนอยู่ในที่ลับเหล่านี้น่าจะไม่ก่อความวุ่นวายมั่วซั่ว
เพียงแต่ความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองโลกกับใต้เท้าจวงจิ้ว เป็นปัญหาที่ใครก็แก้ไขไม่ได้
ต้องรีบกลับไปแจ้งใต้เท้าผู้ปกครองโลกให้เร็วที่สุด
หลังจากจวี้เหยี่ยมอบสิ่งของให้เสร็จ เขาก็โบกมือฉีกร่องแยกขนาดใหญ่โตสายหนึ่งขึ้นด้านหน้าทันที
เขากระโดดออกไปโดยไม่รอให้ร่องแยกเปิดออกโดยสมบูรณ์ ร่างกลายเป็นแสงสีดำก่อนจะหายไปในร่องแยก
จากนั้นร่องแยกก็หุบลงในพริบตา ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ
ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่เดิม มองดูจี้ในมือ พร้อมกับใช้สายตาส่งจวี้เหยี่ยจากไป
‘ดูเหมือนต้องรีบยกระดับพลังให้เร็วที่สุดแล้ว ขอบเขตลวงตา…ใกล้แล้ว หาค่าความดีความชอบให้พอเสียก่อน จากนั้นค่อยไปแลกเปลี่ยน’
เขาตรวจสอบพวกถูจินอย่างรวดเร็ว ต่างไม่ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นค่อยรักษาทั้งสามอย่างระมัดระวัง
หลังจากพาคนไปพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว ตัวเขาก็ออกไปตรวจสอบบริเวณรอบๆ เพียงลำพัง ทั้งยังติดตั้งค่ายกลอำพรางและระวังภัยเพิ่มเติม
เมื่อเป็นแบบนี้ขอแค่มีคนเข้ามาใกล้ เขาก็จะสัมผัสได้ทันที
หลังจัดการทุกอย่างเสร็จ เขาจึงค่อยรอให้พวกถูจินฟื้น
จนกระทั่งถึงตอนกลางคืน สามคนในห้องจึงค่อยๆ ฟื้นสติขึ้นมา ลู่เซิ่งอธิบายรอบหนึ่ง ถูจินจึงค่อยวางใจอย่างกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
ลู่เซิ่งเชิญเขาไปอยู่ที่นครหลวงด้วยกัน ตอนนี้เขาเป็นผู้อยู่อาศัยในนครหลวงแล้ว จึงมีสิทธิ์พาครอบครัวไปด้วย
ด้วยสถานะผู้อยู่อาศัยธรรมดาของเขาในตอนนี้ สามารถพาคนไปได้ห้าคนต่อครั้ง ห้ามเกินกว่านี้
น่าเสียดายที่พวถูจินปฏิเสธ เพราะไม่คิดไปจากที่นี่
ลู่เซิ่งเองก็ไม่ฝืนใจ แต่ในเมื่อทางจวี้เหยี่ยพบปัญหาแล้ว ถ้ามีคนตรวจสอบได้ว่าเขาเป็นคนชักนำอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรมาจริงๆ อย่างไรก็ต้องมีภัยตามมา
เรื่องนี้ไม่แน่ว่าจะปกปิดไว้ได้ อย่างไรแม้แต่ส่วนที่เขานึกว่าเก็บเป็นความลับได้อย่างดีแล้วก็ยังถูกคนขุดค้นออกมาได้
ตอนนี้ลู่เซิ่งไม่กล้าเชื่อมั่นในตัวเองในเรื่องนี้มากเกินไปแล้ว
หลังรับมือจวี้เหยี่ยเสร็จ เขาก็ไม่กล้าทิ้งของไว้ให้ทั้งสามคน ต้องนำกลับไปตรวจสอบดูก่อน
ลู่เซิ่งที่ออกจากข่ายเขามังกรรีบร้อนข้ามกลับไปยังนครหลวง ไม่ช้าก็เร็วทางโลกสรรพวิญญาณของจวงจิ้วจะต้องมาหาอีกแน่
ถึงเวลานั้นหากพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ใช่น้องชายของจวงจิ้ว ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะอับอายกลายเป็นโทสะและลงมือฆ่าเขาทิ้ง
แถมยังอาจจะส่งผลต่อถูจินด้วย ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องหาวิธี
หลังกลับถึงนครหลวง ลู่เซิ่งก็ไปที่สมาคมธวัชเหล็กผ่านแร่ดิบทันที
…
มิติส่วนตัวของสมาคมธวัชเหล็ก
ลู่เซิ่งกวาดตาอ่านม่านแสงด้านหน้าตนอย่างรวดเร็ว เขาเลือกกรอบตลาด
ในนี้แบ่งเป็นวัตถุกับข้อมูล สิ่งที่เขาอ่านอยู่คือขอบเขตข้อมูล ข้อมูลของเขตดาวใกล้ๆ นี้มีราคาถูกเป็นอย่างยิ่ง
ข้อมูลทั่วไปจำนวนมากเติมเต็มความรู้ต่อพื้นที่รอบๆ ตัวของเขาได้พอดิบพอดี
ติ๋ง
กลุ่มแสงสีแดงจุดหนึ่งสว่างขึ้นทางซ้ายมือของเขา
“อยู่หรือไม่ มีปัญหาต้องการให้เจ้าช่วยเหลือนิดหน่อย ถือว่าข้าติดค้างเจ้าสองครั้ง” ใบหน้าของหมีก่วงอิงที่พร่ามัวปรากฏขึ้นกลางกลุ่มแสง
“ช่วยเหลืออะไร” ลู่เซิ่งหยุดการกวาดตาอ่านและมองไปยังกลุ่มแสง
เขากับหมีก่วงอิงได้ติดต่อพบหน้ากันอยู่บ่อยๆ ในการรับภารกิจช่วงนี้
ในฐานะบุคลากรด้านการแพทย์ ทั้งยังเป็นปรมาจารย์การแพทย์ที่มีทักษะสูงส่ง แม้ว่าจะมีวิชาและความสามารถของเผ่าพันธุ์มากมายซึ่งมีความสามารถในการรักษา แต่ว่าอาการบาดเจ็บพิเศษบางอย่างก็ยังต้องอาศัยมือหมอถึงจะจัดการได้
ดังนั้นหมีก่วงอิงจึงยินดีเชื่อมความสัมพันธ์กับเขา
“อาของข้าต้องพิษวิหคของหมีเทียนก่วงเข้า พิษชนิดนี้จัดอยู่ในอันดับหนึ่งร้อยยี่สิบสี่ของทำเนียบอันตรายถึงชีวิต ยุ่งยากถึงขีดสุด…”
“เอาตัวอย่างพิษมาให้ข้า ยังมีตัวอย่างเลือดของคนป่วย มีอาการเน่าเปื่อยหรือโรคเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่”
ลู่เซิ่งตัดบทนาง
“เตรียมไว้หมดแล้ว ข้าจะส่งให้เจ้าชุดหนึ่ง” หมีก่วงอิงกล่าวเสียงขรึม
เพิ่งจะสิ้นเสียง จุดแสงสีแดงที่มีขนาดเล็กๆ จุดหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในกลุ่มแสง จุดแสงล่องลอยอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่ง แล้วรวมตัวกลายเป็นขวดแก้วโปร่งแสงขนาดเท่าหัวแม่มือขวดหนึ่ง
ในขวดมีของเหลวสีแดงเพลิงกำลังเดือดพล่านเล็กน้อย
“นี่คือตัวอย่างพิษ” หมีก่วงอิงอธิบาย
จากนั้นกลุ่มแสงอีกจุดหนึ่งก็ลอยลงมาปรากฏเป็นขวดอีกใบ
“นี่คือเลือด” ในขวดใบที่สองคือของเหลวเหนียวหนืดสีม่วงที่เหมือนกับโคลนบางส่วน ดูข้นคลั่กมาก
ลู่เซิ่งเพียงกวาดตามอง ก่อนจะกล่าวพลางส่ายหน้าทันทีว่า
“ตายแน่ ช่วยไม่ได้แล้ว”
“…อย่าพูดตรงขนาดนี้ได้หรือไม่ ตอนนี้ลุงของข้ายังมีชีวิตอยู่” หมีก่วงอิงจุกในลำคอ เอ่ยอย่างจนใจ
“อย่างนั้นก็ได้” ลู่เซิ่งเปิดพิษในขวดใบแรกพร้อมกับดมเบาๆ
“พิษนี้ลดความรุนแรงได้ ข้ายังนึกหาวิธีขจัดพิษไม่ออก”
“แค่ลดความรุนแรงได้ก็ถือว่าช่วยได้มากแล้ว!” หมีก่วงอิงผุดสีหน้ายินดีอย่างคาดไม่ถึง
“ข้าจะช่วยท่านลดความรุนแรงของพิษ อย่างน้อยสามารถต่ออายุขัยไปได้ครึ่งหนึ่ง แต่ท่านก็ต้องช่วยข้าเหมือนกัน” ลู่เซิ่งไตร่ตรองเล็กน้อย
“ให้ช่วยอะไร”
“ข้าจะประกาศภารกิจ ส่วนท่านช่วยข้าจัดการปัญหา เป็นอย่างไร” ลู่เซิ่งถามตามตรง
“ยุ่งยากขนาดไหน จะให้แก้ไขอย่างไร” หมีก่วงอิงถาม
“ท่านอยู่ไกลจากข้าขนาดไหน” ลู่เซิ่งไม่ได้ตอบ แต่กลับถามแทน
“ไม่แน่ใจ ไกลนั้นไกลแน่ อย่างน้อยก็มีระบบสายน้ำหลายสายกั้นอยู่ ทำไมหรือ เจ้าอยากให้ข้าช่วยเจ้าฆ่าคนอย่างนั้นหรือ” หมีก่วงอิงเดาแผนการของลู่เซิ่งได้ทันที
“ถูกต้อง” ลู่เซิ่งรับตามตรง “แต่ไม่ใช่แค่ฆ่าคนเท่านั้น หากแต่รับคนย้ายที่ด้วย พูดง่ายๆ ก็คืออพยพ ถ้าหากเจอคนมาสู้ด้วย ท่านค่อยช่วยข้าสังหาร”
“อย่างนั้นก็ง่าย ข้ามีสหายคนหนึ่งซึ่งมีขนาดตัวใหญ่มาก เป็นเพราะความพิเศษของเผ่าพันธุ์ ท้องจึงรองรับคนได้ราวหนึ่งหมื่นคน เพียงพอหรือไม่” หมีก่วงอิงคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวถาม
“เพียงพอแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้ายืนยัน ถ้าหากว่ารับคนมาถึงนครตราชั่งได้ อย่างนั้นก็เป็นแผนการที่ไม่เลวต่อสำนักมารกำเนิดและคนอื่นๆ ในตระกูลลู่เช่นกัน
ทว่าก่อนหน้านั้นจะต้องแก้ไขปัญหาทางโลกสรรพวิญญาณเสียก่อน
“นอกจากนี้ ข้าอยากถามคำถามข้อหนึ่ง” เขากล่าวเสียงทุ้มอีกรอบหนึ่ง “ถ้าหากท่านก่อปัญหาใหญ่ขึ้น แต่ยังไม่มีใครรู้ว่าเป็นฝีมือของท่าน แต่ตอนนี้ท่านใกล้จะความแตกแล้ว แถมคู่ต่อสู้ยังแข็งแกร่งกว่าท่านเหลือเกิน อย่างนั้นท่านจะจัดการทางตันนี้อย่างไร”
……………………………………….