ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 652 ทำความเข้าใจ (2)
บทที่ 652 ทำความเข้าใจ (2)
“พอแล้วๆ รีบกินซะ จริงสิ ทำไมช่วงนี้ลูกเริ่มวิ่งตอนเช้าล่ะ” จัวซือชิ่งเปลี่ยนหัวข้อ
“รู้สึกไม่ค่อยสบาย เลยอยากออกกำลังกายหน่อยน่ะครับ” ลู่เซิ่งตอบอย่างว่าง่าย
ต่อให้ไม่มีความสามารถเหนือธรรมชาติ แต่ก็ยังคงมีเลือดลม
เขาค้นหาวิชาพิเศษที่ใช้ฝึกฝนความสามารถในการใช้มือและดวงตาโดยเฉพาะสำหรับร่างกายร่างนี้เจอแล้ว มันมีชื่อเฉพาะตัวอยู่ เรียกว่าวิถีมารสีเงิน
เป็นวิชาการฝึกฝนที่จิตรกรระดับประเทศคนหนึ่งสร้างขึ้นมา
ว่ากันว่าเมื่อฝึกถึงขอบเขตสูงสุด จะใช้มือเสกเงาหลงเหลือออกมาได้นับไม่ถ้วน สามารถวาดภาพได้มากกว่าร้อยภาพให้เสร็จได้ในพริบตา แต่ว่าภาพของคนผู้นั้นจะไม่ใช่ภาพธรรมดา
วิชานี้ถูกลู่เซิ่งปรับปรุงเล็กน้อย หลังจากทำให้มันเหมาะสมกับตัวเองมากขึ้นแล้ว เขาจึงค่อยเริ่มฝึกฝน
หลังจากมาถึงที่นี่ก็กลายเป็นวิธีฝึกฝนความคล่องแคล่วของข้อมือไปโดยปริยาย ถึงขั้นที่หลายๆ จุดยังจำเป็นต้องประสานกับสารกายจำนวนมากด้วย ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมนัก
เพื่อชดเชยข้อบกพร่อง ลู่เซิ่งละลายด้ายกระตุ้นวิญญาณเส้นหนึ่งให้หลอมรวมเข้ากับร่างกายตัวเอง หล่อเลี้ยงตัวเองอย่างช้าๆ
แม้ด้ายกระตุ้นวิญญาณจะเข้ากับกฎของโลกไม่ได้ แต่ขอแค่ไม่ออกจากตัว ก็จะไม่มีผลกระทบมากเกินไป
“การออกกำลังกายเป็นเรื่องดี แต่อย่าหักโหมเกินไปล่ะ” จัวซือชิ่งเตือน “อีกสักพักพ่อยังต้องไปเข้าร่วมงานเสวนาการวาดภาพ พ่อจะทำกับข้าวไว้ก่อน ลูกกินที่บ้านคนเดียวนะ”
“ครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
เคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดูพอจะมีเค้าโครงแล้ว แถมมันยังมีเทวลักษณ์พิเศษที่มีลวดลายแตกต่างกันถึงสิบห้าแผ่นด้วย
วิธีการฝึกฝนจิตใจเป็นการสังเกตและศึกษาลวดลายเหล่านี้ทุกวัน โดยไล่สายตาไปตามเส้นสายทุกเส้นของลวดลาย
ลู่เซิ่งฝึกฝนติดต่อกันหลายครั้ง รู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณเกิดความรู้สึกสดชื่นรางๆ ทั้งยังรู้สึกตึงเล็กน้อย เหมือนกับถูกพลังงานอันยิ่งใหญ่กดทับจิตวิญญาณ
ไม่นาน พริบตาเดียวก็ผ่านไปเดือนกว่า
ลู่เซิ่งค่อยๆ ชินกับชีวิตแบบนี้แล้ว เนื่องจากมีพลังจิตวิญญาณที่กล้าแข็งสุดเปรียบปานของเขาคอยควบคุมให้สองมือฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ทักษะการวาดภาพพื้นฐานจึงยกระดับถึงขั้นสูงจนสำเร็จ
การสเก็ตซ์ภาพพื้นฐานเช่นคน สิ่งของ วัตถุ สายน้ำ เริ่มจะพอดูได้บ้างแล้ว
ตอนนี้อยู่ห่างจากการเป็นจิตรกรอย่างเป็นทางการเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
สิ่งที่ได้รับเพิ่มเติมก็คือ กายเนื้อของเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายก็บึกบึนขึ้นมากเช่นกัน
กล้ามเนื้อที่ล่ำสันค่อยๆ นูนเด่นบนแขนและขา ร่างที่เดิมสูงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตรสูงขึ้นอีกหลายเซนติเมตรภายใต้การหลอมรวมด้ายกระตุ้นวิญญาณ จนตอนนี้สูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรกว่าแล้ว
เคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดูมีทั้งหมดเก้าระดับ ภายใต้การช่วยเหลือจากจิตวิญญาณในระดับสูงสุดของขอบเขตชูศัสตรา วิชานี้ก็เลื่อนจากระดับหนึ่งถึงระดับสองอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เริ่มศึกษาภาพอีกภาพหนึ่งแล้ว
ชีวิตดำเนินไปเช่นนี้ช้าๆ
ไม่นาน ก็ถึงเวลาที่จัวซือชิ่งจะเข้าร่วมการแข่งขันจิตรกรระดับประเทศรอบใหม่
เดิมก็มีความปรารถนาอยากทำให้จัวซือชิ่งสมหวังอยู่แล้ว ลู่เซิ่งที่อยู่ว่างๆ เลยตามไปด้วย
การแข่งขันระดับประเทศรอบแรกจะดำเนินการคัดเลือกจิตรกรในระดับเขตก่อน จากนั้นสามอันดับแรกในระดับเขตจะมีสิทธิ์ไปยังเมืองศูนย์กลาง
การแข่งขันของที่นี่จะแข่งไปทีละระดับตั้งแต่เมือง เขต เมืองศูนย์กลาง ประเทศ และนานาชาติ
การแข่งขันมีอยู่หลายประเภทเช่นกัน การแข่งขันหนึ่งที่มีความยิ่งใหญ่มากที่สุดในนี้ คือการแข่งขันเนตรแห่งเทพระดับโลก
ลู่เซิ่งที่คิดว่าไหนๆ ก็ว่างอยู่แล้ว เอาแต่ศึกษาเทวลักษณ์ทุกวันก็ใช่ที่ ได้ติดตามจัวซือชิ่งไปยังจุดรับสมัครในเขตด้วย
“จัวซือชิ่งมาอีกแล้วเหรอ! ปีนี้จะไหวไหมเนี่ย” ชายชราที่ทำหน้าที่รับสมัครถามพลางหัวเราะเหอะๆ
“ไร้สาระ ไหวอยู่แล้ว!” จัวซือชิ่งโบกมือกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
“ใจสู้ดีจริงๆ”
ชายชราปั๊มตราประทับลงไป ส่งแบบฟอร์มการสมัครที่เขียนไว้แล้วให้จัวซือชิ่ง จากนั้นก็มองจัวเจิ้นอวี่ที่อยู่ด้านหลัง
“ล่ำสันจริงๆ นะ” เขาอดถอนใจชมเชยไม่ได้
“ล่ำไปก็ทำอะไรไม่ได้” จัวซือชิ่งเอ่ยอย่างจนใจ
“แบบนี้ยังไม่ดีอีก” ชายชราหัวเราะฮ่ะๆ “เอาละ เข้าไปซะๆ เอาภาพนายไปที่เดิม เดี๋ยวจะมีคนให้คะแนนเอง นอกจากนี้ยังมีช่วงโหวตด้วย คะแนนรวมห้าสิบคะแนน สามอันดับแรกได้เข้ารอบ ไม่มีปัญหาใช่ไหม”
“ไม่มี!” จัวซือชิ่งพยักหน้า
“ผมเข้าไปได้ไหม” ลู่เซิ่งถามแทรก
“ได้สิๆ แต่เธอไม่มีสิทธิ์โหวตนะ” ชายชราเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรครับ” ลู่เซิ่งโบกมือ พอชายชราเห็นฝ่ามือขนาดใหญ่เท่าพัดก็หนังตากระตุก “ผมแค่ดูคนอื่นโหวตเฉยๆ”
ถ้าจัวซือชิ่งเข้ารอบได้ก็ดี ถ้าเข้าไม่ได้ เขามีหน้าที่ต้องช่วยเหลือเสียหน่อย
ส่วนจะช่วยอย่างไร ช่วงโหวตสาธารณะอะไรนั่น แม้เขาจะวาดภาพไม่เป็น แต่ถ้าเขาลงมือน่าจะได้คะแนนมากกว่าสี่สิบกว่าคะแนนขึ้นไป
เขาคิดไว้ดีแล้วว่า เขาจะไปเดินเตร็ดเตร่ใกล้ๆ ผลงานที่ดีกว่าภาพของจัวซือชิ่งโดยเฉพาะ
สองพ่อลูกเข้าไปในทางเข้าของนิทรรศการ
“ก่อนหน้านี้ยังไม่เห็นล่ำสันขนาดนี้เลย เด็กๆ นี่ยิ่งโตยิ่งเปลี่ยนแปลงจริงๆ…” ชายชราพึมพำอยู่ด้านหลัง
ลู่เซิ่งตามเข้าไปในโถงจัดนิทรรศการ ด้านในทาพื้นแดงผนังขาว เต็มไปด้วยภาพวาดหลากหลายรูปแบบแขวนอยู่บนผนัง
ชายร่างอ้วนสวมแว่นตาที่ดูท่าทางเหมือนพ่อค้าคนหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงทางเข้า คอยตรวจสอบสถานะของคนเข้ามา
จัวซือชิ่งพาลู่เซิ่งเข้าไปหา แล้วส่งบัตรสมาชิกของสมาคมวาดภาพและบัตรประชาชนของตัวเองให้อย่างระมัดระวัง
“จัวซือชิ่ง? คุณมาอีกแล้วหรือ” พอพ่อค้าร่างอ้วนเห็นสองพ่อลูกก็จนใจอยู่บ้าง
“ผมบอกหลายครั้งแล้วนี่ว่า ระดับของคุณไม่เพียงพอจริงๆ เข้าร่วมกี่ครั้งก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
“เน้นมีส่วนร่วมครับ” ครั้งนี้จัวซือชิ่งไม่กล้าพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว เพียงแต่มีเหงื่อซึมออกมาจากหน้าผากขณะส่งเอกสารของตัวเองให้
“เอาเถอะๆ รีบเข้าไปซะ” พ่อค้าร่างอ้วนพูด พลางมองลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหลัง
รู้สึกได้ถึงความรู้สึกกดดันอันรุนแรงจากด้านหน้า ทำให้เขาหายใจติดขัดอย่างไม่อาจควบคุม
ในที่สุดสองพ่อลูกก็เข้าสู่โถงจัดนิทรรศการ
จัวซือชิ่งโล่งใจเช่นกัน ก่อนจะหันไปพูดกับลู่เซิ่งว่า
“ความจริงเมื่อครู่พ่อแค่ซ่อนความสามารถเท่านั้น คนร่างอ้วนเมื่อครู่ไม่ได้รู้ถึงความลับของพ่อ เป็นเพราะลูกของเขาคือหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันเหมือนกัน ดังนั้นพ่อก็เลยทำให้คู่แข่งตายใจ”
ลู่เซิ่งไร้คำพูดโต้ตอบ คิดว่าเขาเป็นคนโง่หรือไง ชัดเจนขนาดนี้ยังจะมองไม่ออกอีกเหรอ
“ไม่ต้องห่วง พ่อน่ะเก่งมาก แถมยังมีเพื่อนๆ กลุ่มเดียวกันอีกสองคนที่ถึงจะไม่ได้เก่งเท่าพ่อ แต่ก็ฝีมือดีมากเหมือนกัน โดยทั่วไปแล้ว สามคนจะได้หัวข้อเดียวกันในการสร้างภาพวาด พ่อจะพาลูกไปทำความรู้จักเอง”
จัวซือชิ่งไม่สังกตเห็นสีหน้าเอือมระอาของผู้เป็นลูกชายแม้แต่น้อย
โถงนิทรรศการด้านในสุดแบ่งเป็นหลายช่อง แต่ละช่องแขวนภาพวาดที่มีองค์ประกอบต่างกันเอาไว้
ไม่นานจัวซือชิ่งก็พาลู่เซิ่งไปถึงในช่องช่องหนึ่งทางซ้ายมือ
“รุ่ยสยง ไอรีน! รีบมาเจอลูกฉันเร็ว!”
จัวซือชิ่งร้องเรียกพลางลากลู่เซิ่งเข้าไป คนสองคนที่กำลังนั่งสัปหงกอยู่ตกใจจนเกือบล้มหงายหลัง
“อาจัว! เสียงดังเกินไปแล้วนะคะ!” หญิงสาวคนนั้นตบโต๊ะอย่างโมโห พร้อมกับลุกขึ้นตะโกนใส่
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างกุมหน้าอกด้วยสีหน้าเหยเก
“ฉัน…ฉัน…”
“เป็นอะไรไปเสี่ยวสยง! อย่าทำให้ฉันตกใจสิ!” หญิงสาวรีบพุ่งเข้าไปประคองเขาไว้
“ซาลา…ซาลา…ซาลา…” ชายหนุ่มพยายามพูด แต่ว่าหายใจรัวเร็วจนพูดอะไรไม่ออก
ผัวะ!
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปตบหลังชายหนุ่มอย่างแรง
อ่อก!
ชายหนุ่มคายซาลาเปาออกมา สีหน้ากลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ซาลาเปาติดคอ! ขอบใจๆ” เขารีบขอบคุณลู่เซิ่ง
จัวซือชิ่งทราบเหมือนกันว่าตนเองทำให้ทั้งสองตกใจแล้ว แต่เขากลับหัวเราะร่าอย่างได้ใจโดยไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย แถมยังนึกสนุกอีกต่างหาก
ไอรีนเห็นชายหนุ่มไม่เป็นไรจึงค่อยโล่งอก
“ฉันชื่อรุ่ยสยง เธอชื่อไอรีน พวกเราเป็นสมาชิกสมาคมวาดภาพ ครั้งนี้มาเข้าร่วมการแข่งขันวาดภาพอย่างเป็นทางการ” ชายหนุ่มลุกขึ้นและยื่นมือออกไปให้ลู่เซิ่ง “เธอคือเสี่ยวอวี่ที่คุณอาจัวเคยพูดถึงสินะ”
“ครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้าพร้อมกับยื่นมือออกไปจับเบาๆ “พ่อผมสร้างความลำบากให้พวกคุณแล้ว”
“ไม่เป็นไรๆ ฉันกับไอรีนอายุสิบแปดเท่ากัน ต่อจากนี้เธอเรียกฉันว่าพี่รุ่ยก็แล้วกัน ชื่อสยงไม่ใช่คำว่าสยงที่แปลว่าหมีนะ แต่เป็นคำว่าสยงที่แปลว่ายิ่งใหญ่!” รุ่ยสยงพูดกับลู่เซิ่งอย่างจริงจัง
“ครับ”
“ฉันชื่อไอรีน เรียกฉันว่าพี่ไอรีนก็ได้” หญิงสาวที่อยู่ด้านข้างแนะนำตัวเองอย่างกระตือรือร้น
“พวกคุณเข้าร่วมการแข่งขันทุกคนเลยเหรอครับ” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
“ใช่ ความจริงฉันไม่อยากจะเข้าร่วมเร็วขนาดนี้ แต่อาจัวรบเร้าจะให้ฉันมาให้ได้ เลยบังคับฉันมา” รุ่ยสยงกล่าวอย่างจนใจ
“เน้นเข้าร่วมๆ! การเข้าร่วมการแข่งขันแบบนี้เยอะๆ จะส่งผลดีต่อคนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอนะ” จัวซือชิ่งหัวเราะอย่างไม่รู้สึกนึก
“ครับๆๆ…ในเมื่ออาจัวมาแล้ว อย่างนั้นพวกเรามาปรึกษากันหน่อย เอาภาพวาดที่นัดกันไว้ออกมาเถอะ” รุ่ยสยงเสนอ
“ฉันก่อนๆ” ไอรีนขันอาสาและอุ้มกรอบรูปภาพขนาดใหญ่ที่สูงเท่าหนึ่งคนครึ่งออกมาจากด้านหลัง บนกรอบภาพยังมีผ้าคลุมสีขาวคลุมอยู่
“ดูภาพฉันนี่! หัวข้อหลักในครั้งนี้คือผลพลอยได้ ฉันเลยใช้การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงวาดภาพออกมา”
ควับ
เธอเปิดผ้าคลุมภาพออก
ซู่…แสงสีทองหลายจุดกระจายออกมาจากกรอบรูปภาพ
ม่านตาของลู่เซิ่งหดตัว เขาเหมือนกับได้ยินเสียงซ่าๆ ของคลื่นข้าวสาลีนับไม่ถ้วน
กลิ่นหอมจางๆ สายหนึ่งฟุ้งในอากาศ เหมือนกับตอนนี้เขาอยู่ในวงล้อมของคลื่นข้าวสาลีสีทองนับไม่ถ้วน
ดวงอาทิตย์อบอุ่น ยามสาดส่องบนร่าง เหมือนกับทำให้เกิดความรู้สึกเกียจคร้านขึ้นมา
“นี่คือ…นี่คือภาพอะไร” ลู่เซิ่งได้สติอย่างรวดเร็ว มองดูกรอบรูปภาพอีกรอบ ด้านบนวาดทุ่งข้าวสาลีที่เหมือนกับคลื่นทะเลไว้หลายกลุ่ม ไม่มีอะไรนอกจากนี้อีก
ทว่าความรู้สึกมหัศจรรย์เมื่อครู่ เหมือนกับได้เข้าไปในทุ่งข้าวสาลีกลุ่มใหญ่ และสัมผัสภาพอันน่าอัศจรรย์ที่สว่างไสวนั้นจริงๆ
ประสาทสัมผัสของเขาเหมือนถูกหลอกให้เข้าสู่สภาพแวดล้อมนั้นในชั่วพริบตา
“ร้ายกาจ! ทักษะการวาดของเธอดีขึ้นอีกแล้ว” รุ่ยสยงชูนิ้วโป้งพลางกล่าวชมเชย
ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้กำยำ มีร่างกายธรรมดา แต่กลับได้สติเป็นคนที่สองต่อจากลู่เซิ่ง
“เอาของนายมาดูเร็ว! เร็วๆ เลย” ไอรีนเร่งรุ่ยสยง
รุ่ยสยงรีบอุ้มภาพวาดของตัวเองออกมาด้วยความจนปัญญา
ควับ!
ผ้าคุลมภาพถูกเปิดออก
กลิ่นหอมหวนของผลไม้กระจายออกมาอย่างเข้มข้น
ลู่เซิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองหดเล็กลงหลายเท่าตัว กำลังยืนสำรวจอยู่กลางช่องว่างระหว่างผลไม้นับไม่ถ้วน
ในรูจมูกมีแต่กลิ่นหอมของผลไหม้เข้มข้น ช่องปากสัมผัสได้ถึงน้ำผลไหม้ที่หอมหวาน
พอได้สติกลับมา แล้วมองดูอีกครั้ง กลับพบว่าในกรอบรูปภาพ วาดตะกร้าผลไม้ไว้ใบเดียว
”ถึงรอบฉันแล้ว!” จัวซือชิ่งรีบอุ้มภาพวาดของตัวเองออกมา สิ่งที่แตกต่างก็คือ เขายังกอดกรอบรูปภาพอีกใบไว้ “จะให้พวกเธอได้ดูภาพวาดของลูกฉันด้วย”
ไม่รอให้ลู่เซิ่งตอบสนอง ก็เห็นเขาเลิกผ้าคลุมภาพออก เผยให้เห็นภาพสองภาพข้างใต้
ภาพของลู่เซิ่งเป็นการสเก็ตซ์ภาพตามมาตรฐาน ถือว่าใช้ได้
แต่ว่าภาพวาดของจัวซือชิ่งเองกลับวาดคนไว้สามคน คนทั้งสามคนจูงมือกันพร้อมกับเงยหน้ามองเงาคนอยู่กลางท้องฟ้าที่พร่างพราวด้วยหมู่ดาว
ลมทะเลพัดผ่าน เห็นเค้าโครงพร่ามัว เหมือนกับคนสามคนที่เขาวาดคือเขา ไอรีน และรุ่ยสยง
แค่มองภาพวาดก็ให้ความรู้สึกถึงมิตรภาพอันล้ำลึกแล้ว สามคนมีใบหน้างมงาย เหมือนหลอมรวมเข้ากับท้องฟ้าดวงดาวซึ่งสว่างไสว
เพียงแต่สิ่งที่น่าอุจาดตาก็คือ…
คนทั้งสามคนเปลือยร่าง ไม่ได้สวมเสื้อผ้า โดยเฉพาะไอรีนซึ่งวาดจุดซ่อนเร้นสามจุดอย่างชัดเจนเป็นพิเศษ
ทั้งช่องพลันเงียบสงัดลง
……………………………………….