ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 654 ทำความเข้าใจ (2)
บทที่ 654 ทำความเข้าใจ (2)
“ตรวจสอบที่มาแล้วเหรอ” โอซีลิสถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ไม่ทราบค่ะ ว่ากันว่าสมาชิกหัตถ์สีเงินคนแรกสุดคือเกอเลียนผู้นำแห่งภูต ที่เหลือตรวจสอบอะไรไม่เจอเลย” หญิงสาวตอบกลับเสียงแผ่ว
“เป็นขุมกำลังที่น่ากลัวจริงๆ…” โอซีลิสมองดูภาพที่วางอยู่บนพื้นเงียบๆ บนภาพมีความว่างเปล่าไม่น้อยที่ยังไม่ถูกเติมเต็ม
แต่ว่าความว่างเปล่าเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะเติมเต็มได้ง่ายๆ เพราะต้องการแบบแผนอย่างหนึ่งเพื่อทำให้ล้อกลมกลายเป็นวัฏจักรที่สมบูรณ์
“เธอเคยลองหรือยัง” โอซีลิสโพล่งถาม
หญิงสาวผมสีแพลตินัมชะงักไปด้วยความลังเลเล็กน้อย
“เคยค่ะ…เติมไปแค่นิดหน่อย แต่รวมๆ แล้วก็ยังน้อยไปอยู่ดี ถ้าหากเป็นคุณล่ะก็…”
“ฉันเติมเต็มมันไม่ได้หรอก เห็นได้ชัดมากว่านี่เป็นแผนร้ายยิ่งใหญ่ ถึงฉันจะไม่รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังมีแผนการอะไร แต่ฉันจะไม่ปล่อยให้เขาสมหวัง” โอซีลิสเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ค่ะ” หญิงสาวก้มหน้าขานตอบ
…
ณ โลกรูปจิต
ลู่เซิ่งค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนพื้นกระเบื้องซึ่งเกลื่อนไปด้วยกรวดหิน
โลกรูปจิตขยายใหญ่กว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัวแล้ว
เขาโบกมือ ล้อกลมสีแดงชาดวงหนึ่งโผล่ขึ้นด้านหน้าอย่างฉับพลัน ขอบล้อกลมมีแค่ตราประทับสีเงินสามอัน มองไปเหมือนกับงูมีปีกหางยาวสีแดงก่ำสามตัวซึ่งกำลังขดตัวอยู่
นี่คือจานประกายโรจน์ที่เขาสร้างขึ้นโดยใช้เคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดู เอามาใช้ทำให้จำนวนกฎการทำความเข้าใจของโลกรูปจิตเป็นรูปธรรมขึ้นมา
ตราประทับสีเงินสามตราที่อยู่ด้านบนหมายถึงกฎสามกฎที่ทำงานอย่างสมบูรณ์ในโลกรูปจิต
หรือก็คือกฎสามกฎที่ลู่เซิ่งหลอมรวมกับโลกรูปจิตหลังจากบรรลุแล้ว
‘พิษ ไฟหยิน วารีลี้ลับ’
ตราสามตราหมายถึงพลังสามชนิดที่ลู่เซิ่งครอบครองอยู่ ร่างพิษของร่างหลัก ปฐมพลังไฟหยินที่ครอบครอง รวมถึงความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับวารีลี้ลับในสายน้ำ
‘โลกรูปจิตเป็นสิ่งที่เอาไว้บรรจุจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิต กึ่งจริงกึ่งลวง ไม่ใช่โลกสมบูรณ์ที่แท้จริง’ ลู่เซิ่งเกิดความเข้าใจ “ต้องใช้ตราประทับที่แตกต่างกันเก้าชนิด ถึงจะวางโครงสร้างระบบวัฏจักรของโลกระดับพื้นฐานสุดได้ แม้กฎที่เราครอบครองจะมีเยอะ แต่กฎที่รวมเป็นตราประทับได้มีแค่สามชนิดนี้เท่านั้น”
ครั้งนี้เขาสร้างองค์กรหัตถ์สีเงินขึ้น แล้วใช้ด้ายกระตุ้นวิญญาณเป็นรางวัลในการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กำลังวังชาของจิตรกรใต้อาณัติ
เมื่อเต็มไปด้วยกำลังวังชา จิตใจก็จะกระปรี้กระเปร่า พวกจิตรกรต่างจะมีสารกาย ปราณ และจิตเต็มเปี่ยมอย่างน่าประหลาด แรงบันดาลใจจะพรั่งพรู มือที่ใช้วาดภาพจะมั่นคงกว่าเดิม พลังย่อมยกระดับอย่างใหญ่หลวง
ลู่เซิ่งเติมพิษร้ายที่มีเฉพาะในร่างหลักเข้าไปในตัวจิตรกรผ่านด้ายกระตุ้นวิญญาณ บรรลุผลการควบคุมอย่างเด็ดขาด
ร่างหลักมีพิษหลายชนิด แม้ส่วนใหญ่จะใช้ไม่ได้เพราะกฎในโลกแตกต่างกันก็ตาม แต่บางส่วนก็ยังใช้ได้อยู่
ลู่เซิ่งใช้กฎเหล่านี้สร้างพิษผสมส่วนหนึ่งขึ้นมาอย่างระมัดระวังเพื่อใช้เป็นความสามารถในการควบคุมผู้เข้มแข็ง
หัตถ์สีเงินมีความสามารถน่าอัศจรรย์ที่เอาไว้ใช้ยกระดับพลัง ทั้งยังมียอดฝีมือที่ถูกควบคุมด้วยพิษร้ายอย่างเข้มงวด ย่อมรวมขุมกำลังของจิตรกรทั้งหมดเป็นกลุ่มก้อนได้อย่างราบรื่น
‘ครั้งนี้เปลี่ยนโครงสร้างพลังงานของโลกรูปจิตเป็นภาพวาดมารแล้วปล่อยออกไป หวังว่าจะมีคนช่วยเราเสริมระบบวัฏจักรให้สมบูรณ์แบบกว่าเดิมเพื่อนำมาใช้เป็นรากฐานของโลกรูปจิตในอนาคตได้’
ลู่เซิ่งปล่อยจุดสำคัญในภาพวาดมารออกไปเพื่อยืมแรงคนอื่นในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของโลกรูปจิตให้ดีขึ้น
เขาใส่กฎที่แตกต่างกันหลายสิบชนิดที่ครอบครองอยู่ไว้ในวิธีการเติมเต็มภาพวาดมาร
กฎเหล่านี้ต่างก็กลายเป็นสีสัน เส้นสาย และรูปภาพที่ไม่เหมือนกัน เพื่อให้เหล่าจิตรกรใช้เป็นเครื่องมือในการเติมเต็มช่องว่าง
เขาอยากจะได้ส่วนประกอบที่สมบูรณ์กว่าเดิม ในความเป็นจริงส่วนประกอบของดีปบลูมีแค่ทิศทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการเรียนรู้และปรับปรุงตามองค์ประกอบในปัจจุบัน
แต่ว่านี่จะทำให้ทิศทางการพัฒนาในอนาคตของเขาติดขัด
‘หวังว่าจะสำเร็จนะ…’ ลู่เซิ่งโบกมืออีกครั้ง จานประกายโรจน์หายไป เส้นสายหลายเส้นที่เป็นตัวแทนกฎปรากฏออกมา นับตั้งแต่ใช้กระบวนท่านี้ในระดับอริยะเจ้าเป็นครั้งแรก เขาก็ขัดเกลามันมาโดยตลอด ในที่สุดกระบวนท่านี้ก็กลายเป็นรูปธรรมแล้ว
อย่างไรนี่ก็ไม่นับว่าเป็นทักษะซับซ้อนอะไร
อันดับแรกคือเส้นสายสีดำที่เป็นตัวแทนปราณมาร มันลอยอยู่กลางอากาศเป็นกลุ่มใหญ่ แต่ว่าเส้นสายชนิดนี้มีแค่จำนวนเท่านั้นที่เยอะ ยังไม่ได้เข้าใจธรรมชาติของมันอย่างลึกซึ้ง จึงไม่แสดงบนจานประกายโรจน์
รองลงมาคือเส้นสายสีเขียวอ่อนของไฟหยิน ยังมีเส้นสายสีเนื้ออันเป็นตัวแทนวิชาแข็งกร้าว และเส้นสายสีน้ำเงินอมดำที่เป็นตัวแทนวารีลี้ลับ
“ไม่ว่าจะยังไง ก็ควรจะเอากฎของวิชาแพทย์เข้าไปในจานประกายโรจน์ก่อน” ลู่เซิ่งฉุกใจนึกได้
‘ดีปบลู’
อินเตอร์เฟซสีฟ้าเด้งออกมาอย่างฉับพลัน
‘เริ่มตั้งแต่วิชารักษาที่มีแบบแผน…’
ลู่เซิ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศค่อยๆ หลับตาลงและเริ่มฝึกฝน เขาไม่ได้ใช้พลังอาวรณ์เรียนรู้ หากทดลองทำเองก่อน
จานประกายโรจน์ต้องทำให้กฎเกณฑ์เก้าชนิดบรรลุถึงระดับมาตรฐาน ตอนนี้เพิ่งมีแค่สามชนิด ยังเหลืออีกหกชนิด ต่อจากนี้ยังมีที่ให้ต้องใช้พลังอาวรณ์อีก
ถึงแม้จำนวนห้าล้านหน่วยจะเพียงพอแล้ว แต่ลู่เซิ่งไม่แน่ใจว่าต่อจากนี้ยังต้องใช้อีกเท่าไหร่
ครั้งก่อนยกระดับแค่ครั้งเดียวก็ใช้หมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ครั้งนี้เป้าหมายในการมายังโลกใบนี้ของเขาก็คือ ต้องการเวลามาทำความเข้าใจและฝึกฝน
ความเร็วในการไหลของเวลาในโลกใบนี้เป็นหนึ่งในสี่ร้อยเท่าของโลกมารสวรรค์ กอปรกับโลกรูปจิตมีผลลดความเร็วในการไหลของเวลาให้ช้าลงเช่นกัน
เมื่อสองอย่างมารวมกัน ความแตกต่างของเวลาก็ไปถึงขั้นอลังการยิ่งอย่างรวดเร็ว
ในโลกจิตรกร กาลเวลาไหลผ่านอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าปีกว่าๆ
ขุมกำลังของหัตถ์สีเงินแผ่ปกคลุมทั่วทั้งโลก กลายเป็นขุมกำลังลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับเนตรแห่งเทพ
พวกเขาควบคุมทรัย์สินและอำนาจที่ยิ่งใหญ่สุดเปรียบปาน ทั้งยังมีอิทธิพลที่น่ากลัวถึงขีดสุดในระดับประเทศเช่นกัน
พวกเขามีอำนาจอยู่ในทุกชนชั้น ระดับบนไปถึงพวกเจ้าขุนมูลนาย ระดับล่างไปถึงประชาชนคนธรรมดา เครือข่ายของหัตถ์สีเงินนับว่าเป็นแหฟ้าตาข่ายดินได้อย่างแท้จริง
เนตรแห่งเทพถึงขั้นตกเป็นรองขณะขับเคี่ยวด้วย ต่อให้เป็นแบบนี้ พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าหัตถ์สีเงินยังออมแรงในการต่อสู้กับพวกเขา
ในเวลาห้าปี ลู่เซิ่งเติบโตจากเด็กไปเรียนหนังสือธรรมดาเป็นชายหนุ่มร่างกำยำอย่างรวดเร็ว
เขาอาศัยข้ออ้างเข้ามหาวิทยาลัยออกจากบ้าน ไปยังที่ลับเพื่อควบคุมหัตถ์สีเงิน
โดยเปลือกนอกแล้วทุกคนต่างนึกว่าหัตถ์สีเงินถูกควบคุมโดยห้าจิตรกรระดับตำหนัก
แต่ความจริงลู่เซิ่งต่างหากที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังทุกสิ่ง
จิตรกรระดับตำหนักเป็นคำเรียกแสดงความเคารพต่อจิตรกรระดับสูงสุดที่ควบคุมแก่นภาพและวิญญาณภาพได้แล้ว
ผลงานที่จิตรกรพวกนี้วาดออกมาจะกระตุ้นจิตใจ ความรู้สึก และประสาทสัมผัสทั้งห้าได้อย่างง่ายดาย
มีผลใช้ความลวงปั่นป่วนความจริง
อานุภาพของจิตรกรระดับตำหนักที่ผ่านการเสริมความแข็งแกร่งด้วยด้ายกระตุ้นวิญญาณจากลู่เซิ่งแล้วจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
เกอเลียนหัวหน้าแห่งภูตที่แข็งแกร่งที่สุด ถึงขั้นตกเป็นรองเนตรแห่งเทพรุ่นปัจจุบันในการปะทะกันซึ่งหน้าครั้งก่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในพลังระดับสูงสุด หัตถ์สีเงินยังคงเป็นรองเนตรแห่งเทพ แต่ว่าระดับกลางกลับเหนือกว่าเนตรแห่งเทพไปแล้ว
ด้ายกระตุ้นวิญญาณของลู่เซิ่งกระจัดกระจายออกไปอย่างเต็มที่ ใช้ไปทั้งสิ้นหลายแสนเส้น สร้างความสำเร็จให้แก่จิตรกรหลายแสนคน
จิตรกรระดับกลางจำนวนหลายแสนคนได้ครอบครองวิญญาณภาพเป็นส่วนใหญ่ ทั้งยังฝึกฝนจิตวิญญาณจนถึงระดับที่ใกล้เคียงกับผู้ถืออาวุธแล้ว
พวกเขาจึงเป็นแกนกลางที่แท้จริงของหัตถ์สีเงิน
ในเวลาห้าปี ลู่เซิ่งได้ใช้ประโยชน์จากจิตรกรพวกนี้ในการจัดการแข่งขันใหญ่อย่างต่อเนื่อง
พร้อมกับโยนปัญญาที่ตัวเองเผชิญออกไปให้พวกจิตรกรเรียนรู้แก้ไข
พลังจินตนาการและความสามารถด้านการสร้างสรรค์ที่แข็งแกร่งของจิตรกรนับไม่ถ้วน ได้ช่วยปรับปรุงโลกรูปจิตอันรกร้างของลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว
กฎพื้นฐานเก้ากฎย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด แต่ว่าการเติมเต็มกฎเกณฑ์ในทุกๆ ด้านก็เป็นสิ่งที่ลู่เซิ่งอยากจะทำให้สำเร็จเช่นกัน
หลังจากใช้ประโยชน์จากภาพของจิตรกรเหล่านี้ เขาก็ดูดซับความเข้าใจและความรู้ต่อธรรมชาติกับกฎเกณฑ์ของพวกเขาได้ในเวลาที่สั้นที่สุด
กฎเดียวกัน หลังจากประกาศหัวข้อไป เหล่าจิตรกรรวบรวม ใคร่ครวญ ทำความเข้าใจ และเกิดแรงบันดาลใจได้จากทุกแง่มุมและทุกระดับชั้น
ในเวลาแค่ห้าปีสั้นๆ ตอนแรกลู่เซิ่งมีกฎสามกฎเท่านั้นที่ใกล้เคียงกับระดับรวมตัวเป็นสัญญะ
ทว่าห้าปีให้หลัง อย่างน้อยเขาก็มีมากกว่าร้อยกฎที่ใกล้เคียงกับระดับรวมตัวเป็นสัญญะ
นี่คือความพยายามร่วมกันของจิตรกรนับไม่ถ้วน
จิตรกรเหล่านี้ไม่ได้ฝึกฝนกายเนื้อ หากใช้ความตั้งใจทั้งหมดไปกับการฝึกฝนจิตวิญญาณ นี่เทียบเท่ากับใช้ดีปบลูในเวอร์ชันที่อ่อนแอลงหรือกลุ่มมันสมองที่มีจำนวนมหาศาลแบบฟรีๆ
ตอนแรกลู่เซิ่งนึกว่า เวลาจะดำเนินต่อไปแบบนี้อย่างสงบสุข เขาทำความเข้าใจกฎต่อไป หัตถ์สีเงินและเนตรแห่งเทพจัดการแข่งขันใหญ่ๆ ต่อไป
ทว่าโทรศัพท์ที่มาจากจัวซือชิ่งผู้เป็นพ่อก็ได้ทำลายจังหวะการใช้ชีวิตที่สบายๆ ผ่อนคลายแบบนี้ลงโดยสมบูรณ์
หลังรับโทรศัพท์ ลู่เซิ่งรีบกลับบ้านเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
…
บนโซฟาในห้องรับแขกอันกว้างขวาง ชายชราร่างบึกบึนที่มีผมหงอกและยันไม้เท้าไว้อันหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามจัวซือชิ่ง
ใบหน้าของชายชรามีส่วนคล้ายจัวซือชิ่งอยู่เจ็ดแปดส่วน เหมือนกับเป็นเวอร์ชันชราของจัวซือชิ่ง
ชายฉกรรจ์ใส่แว่นดำสี่ห้าคนที่สวมเกราะกันกระสุนสีดำและสะพายกระเป๋าไว้เต็มเอวและหลัง ล้อมอยู่รอบๆ คนทั้งสอง เหมือนจะเป็นบอดี้การ์ดของชายชรา
“จัวซือชิ่ง เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว แกยังจะหนีอยู่อีกเหรอ” ชายชราจับจ้องมองบุตรชายที่ผุดสีหน้าเคร่งขรึมบนโซฟาด้วยดวงตาคมกริบ
“แกหนีมาหลายปีแล้ว นึกว่าจะหลุดจากอำนาจของตระกูล และใช้ชีวิตสุขสบายโดยไม่ต้องสนใจอะไรก็ได้จริงๆ งั้นเหรอ หรือควรบอกว่า แกคิดว่าตัวเองกับลูกนอกสมรสนั่นแค่ปลอมชื่อเปลี่ยนแซ่แล้ว ก็จะหลบเลี่ยงหน้าที่และสายเลือดของตระกูลได้งั้นเหรอ?!”
“ฝันไปเถอะ!” เสียงของชายชราเฉียบขาดมีพลัง สั่นสะเทือนห้องรับแขกจนสั่นไหว
“แล้วพ่ออยากให้พวกเราทำอะไร” จัวซือชิ่งไม่เคยเอาจริงเอาจังเท่าตอนนี้มาก่อน
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามองโลกในแง่ดี ไม่ค่อยเอาจริงเอาจัง ทำตัวตลกโปกฮา และทำให้คนอื่นปวดหัวเสมอ จุดไหนที่คนอื่นๆ อับอายที่สุด เขาจะชอบวาดจุดนั้นมากที่สุด
ดังนั้นแม้ภาพของเขาจะไม่เลวจริงๆ แต่ก็ยังเอาชนะในระดับเขตไม่ได้
ชายชรามองจัวซือชิ่ง น้ำเสียงค่อยๆ อ่อนโยนลง
“พี่แกป่วยตายไปแล้ว กลับมาเถอะ พ่อต้องการแก ตระกูลต้องการแก”
“ผมยังมีเสี่ยวอวี่…”
“แล้วซีซีล่ะ ซีซีก็เป็นลูกสาวของแกไม่ใช่เหรอไง” ชายชราเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาอีกครั้ง “ตอนนั้นแกไม่พอใจงานแต่งงานที่ตระกูลกำหนดให้ แกก็เลยหนีไป แต่แกเคยคิดบ้างไหมว่าลูกกำพร้าที่ทิ้งไว้จะใช้ชีวิตยังไง แกพาลูกนอกสมรสตะลอนไปทั่ว แล้วลูกสาวแกจะทำยังไง ไม่มีพ่อตั้งแต่เด็ก ถูกคนในบ้านสั่งสอนฉอดๆๆ…”
“พอได้แล้ว!” จัวซือชิ่งตะโกน “เสี่ยวอวี่เป็นลูกผม ผมไม่มีทางทิ้งเขา! ถ้าจะให้ผมกลับไป เขาจะต้องกลับไปด้วย!”
ชายชรานิ่งไป
“ถ้าแกยังยืนกราน ก็ได้ ฉันตอบรับแก แต่ว่าจัวเจิ้นอวี่จะต้องสละสิทธิ์สืบทอดทั้งหมดของตระกูลจัว แกจะมองมันเป็นลูกก็ได้ แต่ว่าจะต้องตัดความสัมพันธ์เครือญาติกับตระกูลจัวในทางกฎหมายทิ้ง! ไม่อย่างนั้น แกรู้จักฉันดี ถ้าฉันจะให้พวกแกพ่อลูกทนทรมาน ยังไงก็มีวิธี นอกจากนั้น ยังไงก็เป็นแค่ลูกนอกสมรส ต่อให้ตายที่ไหนก็ไม่มีใครรู้อยู่แล้ว”
จัวซือชิ่งก้มหน้าหลับตา ใช้สองมือปิดหน้า
“ได้ ผมรับปากพ่อ เสี่ยวอวี่จะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับตระกูลจัว แต่เขาจะเป็นลูกผมตลอดไป”
……………………………………….