ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 655 เหตุเปลี่ยนแปลง (1)
บทที่ 655 เหตุเปลี่ยนแปลง (1)
ตอนที่ลู่เซิ่งกลับถึงบ้าน ในบ้านก็ว่างเปล่าแล้ว เหลือแต่จัวซือชิ่งที่นั่งสูบบุหรี่มวนแล้วมวนเล่าอยู่บนโซฟาเพียงลำพัง
เขาได้ยินเสียงปิดประตูตอนที่ลู่เซิ่งกลับถึงบ้าน แต่ไม่ได้สนใจ
“รีบร้อนเรียกผมกลับมามีอะไรเหรอ” ลู่เซิ่งเดินไปนั่งลงบนโซฟา
จัวซือชิ่งมองเขาแวบหนึ่ง
“ไม่มีอะไร แค่อยู่ๆ ก็อยากเจอแกแค่นั่นแหละ”
“เหอะๆ งั้นผมกลับละนะ” ลู่เซิ่งลุกขึ้นและกล่าวอย่างเอือมระอา
“เรื่องนี้แกไม่ต้องรู้เยอะเกินไปหรอก พ่อจะจัดการเอง แกตั้งใจเรียนไปเถอะ” จัวซือชิ่งเอ่ยเสริม
“ครับ ผมรู้แล้ว ปีนี้มหาวิทยาลัยไห่หยางเปิดรับสมัครนักเรียนใหม่ รับสมัครเกือบสองเท่าแน่ะ มหาวิทยาลัยก็แบบนี้แหละ ไม่ได้คุ้มค่าเท่าไหร่” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่นำพา
“ไม่เป็นไร แค่ตั้งใจเรียนก็พอ” จัวซือชิ่งไม่พูดอะไรมากอีก แต่ก็ไม่ได้สูบบุหรี่เช่นกัน ลุกขึ้นและดับก้นบุหรี่ “พ่อจะทำอะไรให้แกกินสักหน่อย แกเดินทางมาเหนื่อยๆ กลับบ้านยังไม่ทันพักผ่อนเลย”
“ก็ได้ ผมเอาแกงปลาผักเปรี้ยวก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
พอเห็นจัวซือชิ่งลุกขึ้นเข้าครัว ลู่เซิ่งที่พิงโซฟาก็เปลี่ยนเป็นท่วงท่าสบายๆ หยิบโทรศัพท์ออกมากดปุ่มหลายปุ่ม ก่อนจะนำมาจ่อกับหู
ไม่นาน ในโทรศัพท์ก็มีเสียงผู้หญิงที่ไพเราะดังมา
“ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วค่ะ สถานการณ์อย่างเป็นรูปธรรมคือครอบครัวตระกูลจัวต้องการรับจัวซือชิ่งไปรับสืบทอดกิจการของตระกูลต่อ เพิ่งไปถึงบ้านของคุณเมื่อก่อนหน้านี้สักพักค่ะ”
ลู่เซิ่งถามคำถามที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องอีกสองสามประโยคอย่างอดทน ไม่นานก็เลิกสนใจ
ตระกูลจัวนี้มีอำนาจพอใช้ได้ คิดจะรับจัวซือชิ่งที่เป็นพ่อผู้ใช้การไม่ได้ไปเหรอ เขาแทบถวายใส่พานให้เลยล่ะ
เมื่อเป็นแบบนี้เขาก็คร้านจะปิดบังตัวตนอีก บอกเลยดีกว่าว่าตนจะไปเข้ามหาวิทยาลัยนอกเมือง
หลังยุ่งอยู่สักพักหนึ่ง ไม่นานแกงปลาผักเปรี้ยวและกับข้าวอย่างอื่นก็วางอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่ง
“กินเถอะ อีกสักพักพ่ออาจจะออกไปด้านนอก ถ้าลูกไม่เจอพ่อให้โทรศัพท์หาเอานะ” จัวซือชิ่งส่งรายการหมายเลขโทรศัพท์แผ่นหนึ่งที่เขียนไว้แล้วให้แก่ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งคร้านจะสนใจเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งอย่างเรื่องครอบครัว ขอแค่ไม่มาขวางเขา เขาก็ไม่สนใจว่าผู้เป็นพ่อจะทำอะไร
ทั้งสองคนกินมื้อเที่ยงอย่างอึมครึม หลังล้างจานชามเสร็จ จัวซือชิ่งก็เข้าไปนอนหลับในห้องเพียงลำพัง
ลู่เซิ่งตรวจสอบพลังฝึกปรือในปัจจุบันของตน เขาฝึกเคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดูถึงระดับที่สองแล้ว
เมื่อประสานกับตราสัญญะสามชนิดของตัวเอง เคล็ดวิชานี้กำลังก่อให้เกิดผลอันน่าอัศจรรย์จำนวนมากเกี่ยวกับดินและวิญญาณที่อุดมสมบูรณ์ โดยใช้ความอุดมสมบูรณ์เป็นหลัก
ลู่เซิ่งรู้สึกว่าไม่ว่าตนจะทำอะไร มิติรูปจิตในจิตวิญญาณของตนก็จะขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว หนำซ้ำเริ่มจะควบคุมสิทธิ์ที่อยู่ด้านในได้แล้วด้วย
สิ่งก่อสร้างจำนวนมากผุดขึ้นจากพื้น ถนนหลายสายพากันตั้งตระหง่าน
ลู่เซิ่งเริ่มดูดซับสัตว์ปีกบางส่วนจากด้านนอกเข้ามา
นอกจากของบางส่วนที่มีน้อยสุดขีดแล้ว มิติรูปจิตได้แต่ดูดซับวัตถุเรื่องราวที่จับต้องไม่ได้ นกเหล่านี้จึงอยู่ในสภาพวิญญาณ
ปัจจุบันลู่เซิ่งออกแบบสิ่งของทั้งหมดในมิติรูปจิตด้วยตัวเอง
นอกจากนั้นหลังจากจานประกายโรจน์สร้างตราสัญญะสามชนิดแล้ว เมื่อโคจรดูจริงๆ ลู่เซิ่งก็ควบคุมโลกรูปจิตได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้ได้แต่พาศพของตัวเองลอยไปลอยมา มาตอนนี้กลับควบคุมภูมิประเทศในขั้นเบื้องต้นได้แล้ว
แมลงบางส่วนและสัตว์อย่างพวกกระต่ายที่ถูกดูดเข้ามาอย่างต่อเนื่องใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในโลกรูปจิต ยังไม่มีศัตรูทางธรรมชาติชั่วคราว
ลู่เซิ่งได้สติกลับมา ก่อนจะอ่านข้อมูลและเบื้องลึกเบื้องหลังของตระกูลจัวดู ไม่พบว่ามีปัญหาอะไร หลังกินข้าวเสร็จ เขาก็ออกจากบ้านอีกครั้งในตอนบ่าย
ครั้งนี้หลังจากเนตรแห่งเทพรุมโจมตีหัตถ์สีเงินอย่างรุนแรง ทั้งสองฝ่ายก็สู้กันอย่างดุเดือดเป็นพิเศษ
เขาต้องไปควบคุมสถานการณ์ใหญ่ด้วยตัวเอง
ลู่เซิ่งที่ออกจากเมืองทุ่มสมาธิกับการทำความเข้าใจกฎจำนวนมากต่อ และจัดการแข่งขันนิทรรศการภาพวาดหัวข้อหลักขึ้นใหม่
ตอนนี้กฎมากกว่าร้อยชนิดของเขาใกล้จะสมบูรณ์แล้ว แต่ในเมื่อมีแรงงานฟรีมากมายขนาดนี้ ลู่เซิ่งก็ไม่มีเหตุผลให้ไม่ใช้
ดังนั้นเขาจึงนำกฎเกณฑ์ทั้งหมดที่ตนนึกออก มาเป็นหัวข้อหลัก เพื่อดูว่าจะหลอมรวมเข้ากับโลกรูปจิตของตัวเองได้หรือไม่
คิดจะเลื่อนสู่ขอบเขตลวงตา ต้องใช้กฎพื้นฐานแค่เก้ากฎเท่านั้น แต่ลู่เซิ่งรวมกฎที่รวมได้ทั้งหมดในคราวเดียว เพื่อดูว่าจะเกิดผลลัพธ์อะไรขึ้น
เวลาผ่านไปอีกครึ่งปีในพริบตาเดียว
ลู่เซิ่งได้ทำความเข้าใจกฎเพิ่มถึงสามร้อยกว่ากฎ เป็นกฎพื้นฐานแทบทั้งหมด
การทำความเข้าใจสาขาวิชาต่างๆ เช่น ฟิสิกส์พื้นฐาน ดาราศาสตร์พื้นฐาน และชีววิทยาพื้นฐานล้วนอยู่ในนี้
โลกรูปจิตทั้งใบมีความเป็นธรรมชาติขึ้นกว่าเดิม
ทางเนตรแห่งเทพสู้กับหัตถ์สีเงินหลายครั้ง ยังไม่อาจชิงความได้เปรียบได้ เลยยอมเป็นน้ำบ่อไม่ก้าวก่ายน้ำคลอง สองฝ่ายต่างจัดการแข่งขันของใครของมัน
ทุกๆ ปีทั่วโลกจะมีจิตรกรจำนวนเหลือคณานับเข้าร่วมการแข่งขันระดับประเทศสองการแข่งขัน เพื่อชิงของรางวัลกับสวัสดิการเหล่านั้น
ทุกสิ่งเดินสู่ครรลองที่ถูกต้อง ลู่เซิ่งทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ได้พอสมควรแล้ว กฎเกณฑ์พื้นฐานอาศัยการระดมสมองจนสำเร็จไปมากกว่าครึ่ง จากนั้นเขาก็เริ่มให้คนรวบรวมวัตถุยุคโบราณที่มีความเก่าแก่ทุกชนิดต่อทันที
การฝึกฝนเรียบร้อยดี ส่วนพลังอาวรณ์เป็นสิ่งที่ต้องสั่งสม
เวลาผ่านไปทีละวันๆ อย่างสงบสุขเช่นนี้
…
ฝนตกปรอยๆ ลงมาจากฟากฟ้า กระทบกับร่มน้อยที่ลู่เซิ่งกางอยู่
ลู่เซิ่งยืนอยู่ตรงกลางเมืองที่มีความเก่าแก่โบราณ พร้อมกับมองดูผู้อยู่อาศัยกะปริบกะปรอยที่กำลังหลบฝนอยู่ใต้ชายคา
ที่นี่เป็นมิติรูปจิตของเขา มิติในตอนนี้ใหญ่กว่าก่อนหน้านี้อย่างน้อยหลายร้อยเท่าตัว ลู่เซิ่งรับสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อยเข้ามาจากศูนย์
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีทั้งสัตว์มีทั้งคน หลังจากลู่เซิ่งมีอำนาจควบคุมมิติเพิ่มขึ้น พวกเขาก็ได้ความสามารถที่จะไม่ถูกโลกรูปจิตกลืนกิน
ความจริงคนจำนวนมากในนี้เป็นคนใกล้ตาย บนร่างมีโรคที่รักษาไม่ได้ หรือไม่ก็กายเนื้ออ่อนแอ แต่จิตวิญญาณยังอยู่ได้อีกนาน
เนื่องจากมิติรูปจิตได้แต่ดูดซับสสารจำนวนน้อย ลู่เซิ่งจึงตั้งใจดูดจิตวิญญาณของคนเหล่านี้เข้ามา เป็นเพราะไม่มีอันตราย
มิติรูปจิตคึกครื้นยิ่งกว่าเดิมหลังจากมีคนหลายร้อยคนทยอยเข้ามา
ดูไม่เหมือนกับโลกใบเล็กๆ ที่รกร้างพิสดารอย่างก่อนหน้า หากเหมือนกับถ้ำฟ้าลี้ลับหรือไม่ก็ดินแดนลับแลแห่งหนึ่งมากกว่า
‘เราทำความเข้าใจกฎของแสงและความร้อนพื้นฐานจนปรุโปร่งแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำความเข้าใจธรรมชาติของการลุกไหม้ ถ้าทำไม่ได้ ที่นี่ก็ยังบกพร่องหลายสิ่งหลายอย่าง’ ลู่เซิ่งเงยหน้ามองท้องฟ้า ชั้นเมฆหนาเป็นสีเทาเหมือนตะกั่ว
เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันน้อยนิดในมิติอย่างเลือนราง
“ภาพนั้นยังเติมเต็มไม่เสร็จอีกเหรอ” เขาถามเสียงเบา “ต้องรีบเร่งมือแล้ว…” ภาพวาดมารเป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ย่อมสัมผัสถึงสภาพของมันได้อย่างชัดเจน
เขาในตอนนี้ใช้ดีปบลูเรียนรู้ศิลาฐานทั้งเก้าได้ตลอดเวลา เพียงแต่ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกอะไร หากศิลาฐานเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ก็จะทำให้โลกโคจรตามธรรมชาติอย่างเป็นทางการ ถึงตอนนั้นธรรมชาติของโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
สุดท้ายก็จะกลายเป็นดินแดนแห่งการบ่มเพาะที่ใช้พลังของเขาเป็นแกนกลาง
ขอบเขตลวงตาเกิดขึ้นแบบนี้นี่เอง ในระหว่างการหลับลึกอันยาวนาน ผู้เข้มแข็งระดับชูศัสตราที่อยู่ในดินแดนแห่งการบ่มเพาะจะได้รับการบ่มเพาะอย่างต่อเนื่องจนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติและเลื่อนระดับในที่สุด จากนั้นก็จะใช้โลกรูปจิตคืนพลังให้ร่างหลัก นี่คือขั้นตอนสำคัญในการบรรลุขอบเขตลวงตา
‘สร้างวัฏจักรธรรมชาติให้เสร็จก่อน จากนั้นค่อยเร่งการวิวัฒนาการในเวลาที่จำเป็น…’ ลู่เซิ่งใช้ความคิด พลันหลุดออกจากโลกรูปจิต กลับสู่ความเป็นจริง
ในความเป็นจริง เขานั่งอยู่ในคฤหาสน์ที่ซื้อเอาไว้ในเมืองหลวงของสหพันธรัฐ
ในห้องสมุดนอกจากเขาแล้ว ยังมีคนอีกสองคน
สองคนนี้ก้มศีรษะคุกเข่ารออยู่ด้านหน้าอย่างนอบน้อม คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนผมหงอกขาว แต่งตัวเหมือนกับสุภาพบุรุษชรา
อีกคนมีร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อบนร่างบึกบึน ไว้ผมสั้นเตียน ดูเหี้ยมเกรียม
“ยังไม่ไปอีกเหรอ” ลู่เซิ่งมองทั้งสองอย่างไม่ใส่ใจ
“ถ้านายท่านไม่สั่ง พวกเราก็ไม่กล้าไปไหนขอรับ”
“ทุกอย่างฟังคำสั่งของนายท่าน ขอรับ”
ทั้งสองกล่าวเบาๆ อย่างเคารพ
ลู่เซิ่งยิ้ม
“ห้าปรมาจารย์จิตรกรระดับตำหนักของหัตถ์สีเงินไม่ใช่ว่าจะหาคนอื่นมาแทนไม่ได้ พวกคุณที่เป็นจอมอาวุโสทำให้ฉันผิดหวังเหลือเกิน”
เหงื่อผุดออกมาจากหน้าผากของทั้งสองอย่างหนาแน่น พวกมันรวมตัวเป็นเส้นเล็กๆ หลายสายแล้วไหลลงมา แต่กลับไม่กล้าปาดเช็ดออก
พวกเขาต่างเป็นหนึ่งในจิตรกรระดับชั้นนำที่แข็งแกร่งที่สุดของโลก พวกเขาที่พลังถือว่าเป็นลำดับที่สองได้อย่างสมศักดิ์ศรี ได้สร้างองค์กรขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่าหัตถ์แห่งประกายนิลขึ้นมาด้านนอก
หัตถ์แห่งประกายนิลเป็นองค์กรใต้อาณัติของหัตถ์สีเงิน การคัดเลือกสมาชิกไม่ได้เข้มงวดเท่าหัตถ์สีเงิน แต่กลับเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ที่สุดที่ควบคุมขุมกำลังของโลกในระดับลึกสุด
ผู้รับผิดชอบสองคนนี้มีร่องรอยจงใจยั่วยุให้เนตรแห่งเทพลงมือเพราะเกิดความขัดแย้งกับอีกฝ่ายอย่างรุนแรง
สุดท้ายทำให้องค์กรใหญ่สององค์กรเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ ทูตอาภรณ์โลหิตซึ่งเป็นสมาชิกสายต่อสู้ที่องค์กรบ่มเพาะขึ้นมานำกลุ่มออกปฏิบัติการณ์ แถมยังมีการใช้กลุ่มยานเกราะของสองกองทัพระหว่างทางจนเกือบจะเกิดศึกใหญ่ระดับประเทศ
พอเรื่องราววุ่นวายขึ้น ลู่เซิ่งจึงต้องรีบลงมือสะกดไว้ สังหารผู้รับผิดชอบระดับสั่งการทิ้งกลุ่มหนึ่ง หลังจากศีรษะคนกลิ้งตกพื้น ก็ไม่มีใครกล้าก่อปัญหาอีก
ขอบอกไว้ก่อนว่าระดับสูงของหัตถ์แห่งประกายนิลในตอนแรกไม่ได้มีแต่สองคนนี้ แต่มีทั้งหมดสิบสามคน
“สังคมต้องการเสถียรภาพ ใจคนต้องการสันติภาพ ถ้าเนตรแห่งเทพไม่ได้เป็นฝ่ายยั่วยุก่อน พวกเราก็ไม่ต้องลงมือ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “ทางสหประชาชาติ พวกคุณรู้ว่าควรทำอะไร บริจาคเงินส่วนหนึ่งให้รัฐบาลของแต่ละประเทศซะ แล้วให้สมาชิกสภาของพวกเราเกลี้ยกล่อม ส่วนความคิดเห็นของสาธารณะอะไรปิดได้ก็จงปิดไว้ อะไรชี้นำได้ก็จงชี้นำ ฉันต้องการให้เรื่องนี้เรียบร้อยภายในสามวัน”
“ขอรับ!” ทั้งสองคนรีบพยักหน้าขานตอบ
ลู่เซิ่งมองดูอย่างขยะแขยง
หลังจากใช้ด้ายกระตุ้นวิญญาณยกระดับคุณสมบัติร่างกายของจิตรกรเหล่านี้แล้ว เขายังได้สร้างทักษะการสังหารขึ้นมาอีกชุด แล้วเอามารวมกับความสามารถการสร้างภาพวาดอันลี้ลับที่มีเฉพาะในหมู่จิตรกร จนกลายเป็นระบบลอบสังหารครบชุดที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด
จิตรกรบางคนเริ่มเปลี่ยนภาพวาดที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองเป็นลวดลายต่างๆ แล้วประทับเข้ากับร่าง เสื้อผ้า หรือไม่ก็อาวุธของตัวเอง
ภาพวาดสามารถกระตุ้นจิตใจคน สามารถล่อลวงประสาทสัมผัสทั้งห้า ทำให้อารมณ์คนปั่นป่วนได้ เมื่อใช้องค์ประกอบเหล่านี้อย่างเต็มที่ พวกจิตรกรใต้ดินก็จะมีเพิ่มขึ้นอย่างมาก
แต่เป็นเพราะสาเหตุนี้ ทำให้โลกจิตรกรใต้ดินเกิดความทะยานอยาก สองสามปีที่ผ่านมา ลู่เซิ่งเริ่มสะกดไม่ไหวบ้างแล้ว
เขาควบคุมเหล่าปรมาจารย์ภาพวาดระดับสูงได้ แต่จัดการระดับกลางถึงต่ำด้วยตัวเองไม่ได้ เนื่องจากจิตรกรระดับกลางถึงต่ำมีจำนวนเยอะเกินไป แถมจิตใจทะเยอทะยานก็ขยายตัวด้วยความเร็วสูง หากถ่ายทอดคำสั่งจากเบื้องบนลงไป ก็มักจะเกิดการแข็งข้อและการต่อต้านอยู่เนืองๆ
……………………………………….