ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 656 เหตุเปลี่ยนแปลง (2)
บทที่ 656 เหตุเปลี่ยนแปลง (2)
โดยเฉพาะพวกจิตรกรระดับชั้นนำที่ผ่านการคัดเลือกจากการแข่งขันใหญ่ๆ ซึ่งช่วยลู่เซิ่งทำความเข้าใจกฎ
พวกเขายึดครองระดับชั้นนำในทุกสาขาอาชีพ ค่อยๆ กลายเป็นบุคคลสำคัญที่กุมอำนาจในเวลาหลายปีที่ผ่านมา
พอมีขุมกำลังที่โดดเด่น มีเครือข่ายความสัมพันธ์ยิ่งใหญ่เหล่านี้อยู่ด้วย เนตรแห่งเทพก็รู้สึกทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเมื่อเผชิญกับหัตถ์สีเงินที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งปีก่อน บางทีเนตรแห่งเทพอาจยังพึ่งพาขุมกำลังระดับบนๆ สะกดสถานการณ์ได้ ทว่าตอนนี้ หัตถ์สีเงินได้ยึดครองปรมาจารย์จิตรกร หรือจิตรกรที่แข็งแกร่งที่สุดไปมากกว่าแปดส่วน
เนตรแห่งเทพมีแค่ปรมาจารย์จิตรกรอย่างโอซีลิสคนเดียว เขาได้ฉายาว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก แถมภาพวาดยังกระตุ้นสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ สภาพอากาศ และภูมิประเทศได้ ไปถึงขั้นที่พิสดารถึงขีดสุดแล้ว
ต่อให้เป็นลู่เซิ่งก็ยากจะจินตนาการว่า อาศัยเพียงการวาดภาพอย่างเดียวมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร
หลังจากที่โอซีลิสทำลายสภาวะโจมตีของปรมาจารย์จิตรกรจากหัตถ์สีเงินสามคนได้ ในที่สุดเนตรแห่งเทพจึงค่อยอยู่รอด
และเป็นเพราะโปรดปรานคนมีความสามารถ ลู่เซิ่งเลยไม่ได้ลงมือเอง
หลายปีมานี้ วิชามายาพิศวงอันแปลกประหลาดของเขาทำความเข้าใจทุกอย่างได้อย่างราบรื่น พออาศัยการช่วยเหลือของพวกจิตรกร ก็ทะลวงข้อจำกัดได้อย่างง่ายดาย
เขาได้เตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมสรรพแล้วเช่นกัน ขอแค่รอก่อตั้งศิลาฐานเก้าอันและรวมตราสัญญะบนจานประกายโจน์แล้วเสร็จ โลกรูปจิตก็จะเริ่มวงจรธรรมชาติ ไปถึงขอบเขตลวงตาได้อย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้เป็นเพราะอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ลู่เซิ่งก็เลยขัดเกลากายเนื้อของตัวเองไปถึงขีดจำกัดที่ฝึกฝนได้
เขาใช้วิชามวยทำลายล้างในพริบตากับวิชาต่อสู้ผสานที่ได้มาจากโลกก่อน ไม่นานก็ได้พลังระดับจักรพรรดิมวยเงามารกลับมามากกว่าครึ่ง
เพียงแต่ว่าโลกใบนี้มีข้อจำกัดมากกว่า ทำให้เขาไม่อาจปล่อยปราณโซ่ภายในออกไปด้านนอกได้ ได้แต่โคจรและเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องอยู่ภายในร่างกาย
“ช่างเถอะ พวกคุณถอยไปซะ ต่อจากนี้แสดงผลงานดีๆ หน่อย ฉันอยากจะเห็นการกระทำในความเป็นจริงของพวกคุณ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่แยแส
สองจิตรกรระดับชั้นนำตรงหน้าเหมือนได้รับการอภัยโทษ ในฐานะบุคคลระดับชั้นนำที่บรรลุวิญญาณภาพและเจตภาพ แม้ทั้งสองจะเทียบกับปรมาจารย์ภาพวาดมากประสบการณ์ที่พัฒนาไปมากกว่าขั้นหนึ่งพวกนั้นไม่ได้ แต่ก็เป็นตัวตนที่เกือบจะไปถึงจุดสูงสุดในหมู่จิตรกรธรรมดาอยู่ดี
ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าลู่เซิ่ง บุคคลยิ่งใหญ่แบบนี้กลับไม่ต่างจากสุนัขสองตัว
มองตามจนทั้งสองจากไป ลู่เซิ่งค่อยมองไปนอกหน้าต่างไม้ อีกาสีดำที่ม่านตากระจัดกระจายสองตัวยืนกางปีกอยู่บนกรอบหน้าต่างกลางแสงอาทิตย์มัวซัว
รอบๆ ตัวเขามีอีกาแบบนี้อย่างน้อยมากกว่าพันตัว พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติที่ถูกควบคุมโดยปรมาจารย์ภาพปีกดำ สามารถสัมผัสถึงศัตรูและส่งเสียงแจ้งเตือนได้ทันที นอกจากนี้กรงเล็บของพวกมันยังฉาบยาพิษไว้ ขอแค่ข่วนใส่ ก็จะทำให้เลือดแข็งตัวและหายใจไม่ออกทันที
นี่เป็นเพียงหนึ่งในแนวป้องกันหลายสิบแนวรอบๆ ศูนย์ใหญ่เท่านั้น
“ภาพวาดมารยังเติมเต็มไม่เสร็จเลย…แต่เรารอต่อไปไม่ไหวแล้ว…” ลู่เซิ่งพึมพำพลางควงพู่กันวาดภาพในมือเบาๆ
‘ถ้าหากโอซีลิสยินยอม เขาอาจจะช่วยเราเติมเต็มภาพจนสมบูรณ์ได้ แต่เรื่องนี้แก้ไขด้วยการบีบบังคับไม่ได้ ต้องเป็นปรมาจารย์ภาพที่แข็งแกร่งที่สุดที่เป็นคนของเราโดยสมบูรณ์’
ลู่เซิ่งเคยทดลองมาก่อน แต่พบว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ด้านการวาดภาพเลย
หลังจากที่เรียนรู้วิชาที่ยอดจิตรกรสีสันสร้างขึ้นถึงขีดจำกัด เขาก็สามารถทำถึงระดับใกล้เคียงกับโอซีลิสได้เหมือนกัน แต่ไม่ทราบเพราะอะไร สุดท้ายก็ยังด้อยกว่าอีกฝ่ายขั้นหนึ่งอยู่ดี
‘อย่างมากสุดเรายังอยู่นี่ได้อีกสิบปี ถ้าหากในสิบปีนี้ยังไม่มีวิธี อย่างนั้นก็ได้แต่อาศัยดีปบลูเรียนรู้โครงสร้างที่สมบูรณ์ที่สุดแล้ว…’ ความจริงลู่เซิ่งไม่อยากจะทำลวกๆ เพราะโครงสร้างนี้มีความสำคัญถึงขีดสุด ตามการบันทึกของวิชามายาพิศวง จุดเด่นจุดด้อยของโครงสร้างนี้ถึงขั้นตัดสินการพัฒนาศักยภาพในอนาคต ความเร็วในการฝึกฝน และความแข็งแกร่งในการสู้จริงของเขา
ผู้เข้มแข็งต่อจากขอบเขตลวงตาส่วนใหญ่อาศัยระบบโคจรพลังงานที่เหมือนกับโลกรูปจิตในการต่อสู้
มารสวรรค์เป็นเช่นนี้ ระบบอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ตู้ดๆๆ…
ขณะกำลังขบคิดอยู่ มือถือบนโต๊ะด้านหน้าลู่เซิ่งก็ดังขึ้น
เขาขมวดคิ้วมองดู เป็นจัวซือชิ่ง
“ฮัลโหล มีธุระเหรอครับ” เขาไม่เคยแสดงท่าทีที่ดีต่อพ่อของร่างต้นผู้ไม่เอาไหนเลย
สาเหตุก็ไม่ใช่อะไรอื่น หากแต่เจ้าหมอนี่สร้างความอับอายให้เขามากเกินไป วาดอะไรไม่วาดดันวาดลูกชายตัวเองเป็นภาพสีน้ำมัน แถมยังวาดละเอียดปานนั้น แค่มองดูก็รู้ว่าเขาสังเกตสังกามาอย่างตั้งใจมาเป็นเวลานานขนาดไหน
ทางปลายสายลังเลไปเล็กน้อย
“เสี่ยวอวี่เหรอ ฉันเป็นป้าของเธอนะ พ่อเธอเกิดเรื่องแล้ว! รีบมาที่โรงพยาบาลรัฐที่สามในเมืองคุนหนีเร็วเข้า!”
เสียงแหบพร่าของผู้หญิงดังออกมาจากปลายสาย
“เกิดเรื่องเหรอ” ลู่เซิ่งทะลึ่งตัวขึ้น แม้จะรู้สึกว่าพ่อคนนี้ทำให้ตัวเองขายหน้า แต่หากพูดกันจริงๆ คนคนนี้ก็เป็นทั้งพ่อเป็นทั้งแม่ ปฏิบัติต่อร่างต้นเป็นอย่างดี
จะให้เขาเกิดเรื่องไม่ได้เด็ดขาด
ลู่เซิ่งกดปุ่มสีแดงปุ่มหนึ่งในลิ้นชักทันที
ไม่นานจอภาพสีดำจอหนึ่งก็ยกขึ้นมาจากด้านข้าง บนจอแสดงข้อมูลเข้ารหัสที่กำลังแกะรอยพื้นที่ที่โทรศัพท์ใช้โทร
ผ่านไปหนึ่งนาที สถานที่ที่โทรก็ถูกค้นจนเจอ
เป็นโรงพยาบาลรัฐที่สามในเมืองคุนหนีจริงๆ
“พ่อของเธอขับรถชน ตอนนี้หมอกำลังช่วยชีวิตอยู่!” ผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าป้าคนนี้อธิบายอย่างรวดเร็ว “เธอรีบมาจากโรงเรียนเถอะ ฉันจะให้คนไปรับ!”
“ได้ครับ” ลู่เซิ่งวางสาย ก่อนจะมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ
“เข้ามา”
เขาตวาดเบาๆ
บอดี้การ์ดสวมเสื้อผ้าทะมัดทะแมงสีดำหนึ่งชายหนึ่งหญิงเคาะประตูห้องสมุดก่อนจะเข้ามาทันที
“ให้คนของฝ่ายการบินเตรียมตัว ภายในหนึ่งชั่วโมง ฉันอยากได้เที่ยวบินที่จะไปเมืองคุนหนี” ลู่เซิ่งสั่งการอย่างรวดเร็ว สีหน้าดูไม่ดีเล็กน้อย
“ท่านอยากจะนั่งลำไหนหรือครับ…” บอดี้การ์ดชายก้มหัวถามอย่างระมัดระวัง
“ลำที่เร็วที่สุด” ลู่เซิ่งพลิกมือกดพู่กันในมือลงบนโต๊ะ
เขาจำได้ว่ารอบตัวจัวซือชิ่งมีบอดี้การ์ดของตระกูลอยู่ด้วย แม้ในตระกูลจะยุ่งเหยิงปั่นป่วนอยู่บ้าง แต่ก็มีการยับยั้งชั่งใจกันอยู่
ตอนแรกเขาไม่คิดจะสนใจเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งพวกนี้ เลยปล่อยให้จัวซือชิ่งไปลำบากลำบนเอง แต่ตอนนี้คนเกิดเรื่องย่อมไม่ดีอยู่แล้ว
“น่าหน่ายใจจริงๆ…” ลู่เซิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ภาพวาดมารเติมเต็มไม่เสร็จสักที ตอนนี้ยังมาเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้อีก
…
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ลู่เซิ่งเดินออกจากสนามบินนานาชาติเมืองคุนหนี ด้านนอกมีคนชูป้ายรอรับเขาแล้ว
คนหนาแน่นเบียดอัดกัน ลู่เซิ่งไม่ได้ใช้เส้นทางวีไอพี หากแต่แต่งตัวอย่างนักเรียนธรรมดา และใช้เส้นทางทั่วไปร่วมกับคนธรรมดาๆ
“ทางนี้!”
ชายฉกรรจ์ที่มีผิวดำคล้ำโบกป้ายพลางเรียกลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งรีบเดินเข้าไปหา ก่อนจะตามชายฉกรรจ์ออกไปด้านนอก แล้วรออยู่ริมถนนสักพัก
ไม่นานนักรถสปอร์ตสีเทาหรูหราคันหนึ่งก็ค่อยๆ แล่นมาจอดด้านหน้าคนทั้งสอง
“ขึ้นรถ” คนขับรถเป็นหญิงสาวผมยาวหน้าตางดงามที่สวมแว่นกันแดดและใส่เสื้อขนสัตว์สีขาว
ผมยาวล่องลอย ตากระจ่างฟันขาว ผิวสีขาวราวหิมะ สวมสร้อยอัญมณีสีฟ้า พอเข้าใกล้ยังได้กลิ่นน้ำหอมระดับสูงจางๆ
ลู่เซิ่งเปิดประตูขึ้นรถแล้วนั่งลงบนเบาะหลังอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน
“แม่ของฉันเป็นป้าของเธอ ฉันชื่อหลินเซิ่งหย่า ตามอายุ น่าจะเป็นลูกผู้พี่ของเธอ” หญิงสาวแนะนำตัวเองอย่างขอไปทีหลังจากลู่เซิ่งขึ้นรถแล้ว
“อ้อ จัวซือชิ่งเป็นยังไงบ้าง” ลู่เซิ่งตอบรับ ก่อนจะถามตรงๆ
“คุณลุงพ้นขีดอันตรายแล้ว เดี๋ยวเธอไปถึงโรงพยาบาลก็รู้เอง” หลินเซิ่งหย่าตอบอย่างรวบรัด
เธอมองลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ด้านหลังผ่านกระจกมองหลัง พูดตามจริงถ้าไม่ใช่แม่บังคับ เธอไม่อยากจะมารับลูกผู้น้องอะไรนี่เลย
เธอมีแค่ลูกผู้น้องคนเดียว นั่นก็คือจัวซินซิน ส่วนลูกนอกสมรสที่คุณลุงให้กำเนิดหลังไปวุ่ยวายกับคนอื่นๆ ด้านนอกนั้น เหอะๆ…
หลินเซิ่งหย่าไม่อยากพูดอะไรกับลู่เซิ่งสักคำเดียว
รถเลี้ยวไปเลี้ยวมาตามถนนอย่างช่ำชอง ผ่านไปสิบกว่านาที จึงค่อยมาจอดที่ด้านหน้าเขตอยู่อาศัยเล็กๆ ที่เก่าโทรมอยู่บ้าง
“ลงรถเถอะ” หลินเซิ่งหย่าตบพวงมาลัย
ลู่เซิ่งนิ่วหน้ามองด้านนอก
“ที่นี่คือโรงพยาบาลเหรอครับ”
“ไม่ใช่ แต่ลงจากรถก็จะใช่แล้ว” หลินเซิ่งหย่าหงุดหงิดบ้างแล้ว
เวลานี้เองมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาถึงด้านนอกรถ อายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี สวมชุดวอร์มสีขาวพอดีตัว แขวนหูฟังสวยๆ อันหนึ่งไว้บนคอ
“เสี่ยวหย่า พามาแล้วเหรอ”
“อื้อ เขานั่นแหละ” หลินเซิ่งหย่าลงรถก่อนจะชี้ไปที่ลู่เซิ่ง
ชายหนุ่มมองลู่เซิ่งอย่างไม่แยแส
“หนามตำตาแบบนี้จะเรียกมาทำอะไรกันนะ”
ลู่เซิ่งลงรถพร้อมกับกวาดตามองเขา
“นำทางเถอะ จัวซือชิ่งล่ะ”
“เหอะ เรียกพ่อตัวเองแบนี้เหรอ” ชายหนุ่มหัวเราะอย่างดูถูก “ไปเถอะ ตามฉันมา”
ลู่เซิ่งติดตามไปโดยไม่แสดงสีหน้า
หลินเซิ่งหย่าติดตามอยู่ด้านหลัง ทั้งสามเข้าไปในอาคารหลังหนึ่งแล้วขึ้นไปยังชั้นบนสุดอย่างรวดเร็ว
หลังจากออกจากลิฟท์ หลินเซิ่งหย่าก็หยิบกุญแจขึ้นมาเปิดประตูโดยไม่ได้สนใจลู่เซิ่ง หากคุยเบาๆ กับชายหนุ่มคนนั้น พร้อมกับคอยพลิกดูมือถือเป็นระยะ
ลู่เซิ่งก้าวเข้าไปตามลำพัง ห้องไม่ใหญ่มาก เตียงคนป่วยตัวยาวตัวหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง บนเตียงคนป่วยคลุมแก้วขนาดใหญ่ไว้ด้านใน สามารถมองเห็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ถูกจัดเรียงไว้ด้านในได้ผ่านที่ครอบ
จัวซือชิ่งนอนหงายอยู่บนเตียง พันผ้าพันแผลไว้ทั่วทั้งตัว เพียงมองดูคนทั้งสองข้างเตียงด้วยดวงตาอิดโรยเท่านั้น
ด้านข้างมีหญิงสาวมัดผมหางม้าหน้าตาหมดจดคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอสวมเดรสยาวสีดำ ใส่ถุงน่องสีขาวทับขาขาวเรียวยาว
เธอร้องไห้เหมือนกับสาลี่ที่เปียกปอน ดูท่าจะเพิ่งร้องไห้มาไม่นาน ตาเลยบวมเล็กน้อย
อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงสง่างามที่บุคลิกดีมาก เหมือนจะมีอายุราวๆ สามสิบกว่าปี แต่งชุดออฟฟิศ นั่งอยู่ด้านข้างด้วยดวงตาบวมแดงเช่นกัน
“จัวซือชิ่ง ไหนเล่ามาซิว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้”
ลู่เซิ่งคร้านจะสนใจสองคนนี้ พอเดินไปถึงข้างเตียงก็จ้องมองผู้เป็นพ่อที่อยู่บนเตียงเขม็ง
“แค่กๆๆ…” จัวซือชิ่งจุกในคอ แต่พอเห็นลูกชายทำหน้าไม่เป็นมิตร เหมือนจะระเบิดความโกรธได้ตลอดเวลา จิตใจก็เกิดความขลาดเขลาเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะแห้งสองคำ
“แค่อุบัติเหตุ…อุบัติเหตรถยนต์เท่านั้น…แกมาได้ยังไง ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้บอกเสี่ยวอวี่!?” เขาพูดประโยคครึ่งหลังกับผู้หญิงคนนั้น
“ดูเหมือนจะยังมีสติดีอยู่นี่” ขณะที่ลู่เซิ่งกำลังพูด คนร่างอ้วนสูงใหญ่ที่สวมสูทสีน้ำเงินคนหนึ่งก็ผลักประตูเข้ามา มีชายหนุ่มสวมสูทที่มีร่างกายสูงใหญ่สามสี่คนติดตามมาจากด้านหลัง
คนร่างอ้วนมองลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ พร้อมกับยิ้มอย่างเสแสร้ง
“ไหนขอพี่ใหญ่ดูหน่อยซิ ขาหักงั้นเหรอ จุ๊ๆ แขนก็หักเหมือนกัน…ผลการวินิจฉัยบอกว่าตับแตกด้วย…ก็บอกแล้วไง ก่อนหน้านี้ฉันเตือนนายไปแล้วว่าเวลาออกไปด้านนอกให้ระวังทางหน่อย ดูซิ เหมือนกับที่ฉันบอกเลยใช่ไหมล่ะ”
เขามองจัวซือชิ่งที่ผุดสีหน้าบูดบึ้ง พลางมองลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“นี่คือเมล็ดพันธุ์ของเฉินเซียวนั่นสินะ น้องสามเอ๊ย ไม่ใช่ว่าพี่ว่านายหรอกนะ นายประสบอุบัติเหตุใกล้ตายเต็มที ยังเรียกหนามตำตาแบบนี้มาอีก เจตนาไม่ดีเลยนะ…”
คนคนนี้จะเค้นยิ้มตลอดเวลาที่พูด แต่แม้หน้าจะยิ้มคิ้วกลับไม่ยิ้มตาม ให้ความรู้สึกน่าขนลุก
“หลานสาวก็อยู่ด้วยเหมือนกันนี่ ไม่เลวจริงๆ ยังสาวก็สวยขนาดนี้แล้ว” ชายร่างอ้วนยื่นมือไปบีบแก้มของหญิงสาวอย่างนึกไม่ถึง
หญิงสาวตกใจกรีดร้อง
“นุ่มนิ่มจริงเชียว!” ชายร่างอ้วนหัวเราะ
ต่อให้จัวซือชิ่งจะไร้ค่าขนาดไหน แต่พอถูกคนข่มเหงขนาดนี้ ก็เบิกดวงตาโพลง หน้าแดงจนแทบจะมีเลือดหยดออกมา
“พ่อผมเอารถไปชนได้ยังไง” ลู่เซิ่งไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ต่อน้องสาวต่างแม่คนนี้ เขาสนใจเรื่องจัวซือชิ่งมากกว่า
“เอารถไปชนยังไงหรือ ถามไปแล้วมีประโยชน์อะไร ไอ้คนชนเป็นคนที่พวกเราตระกูลจัวไปหาเรื่องไม่ได้” ชายร่างอ้วนผู้เป็นลุงพลันส่ายศีรษะด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป
“หรือว่าคุณไม่คิดจะแก้แค้น”
“ไอ้หนู ใช้แค่ความเลือดร้อนมันไม่พอหรอกนะ”
สายของจัวซือชิ่งโดนกดจนโงหัวไม่ขึ้นในตระกูลจัว เป็นความลับที่ทุกคนต่างรับรู้
จัวซือชิ่งยังพอว่า ลูกสาวของเขาจัวซินซินยิ่งไม่กล้ากลับบ้าน หลินเซวียนเอ๋อร์ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายจึงพาสามีและลูกสาวย้ายออกจากโรงพยาบาลในตอนกลางคืนเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นลงมือลอบทำร้าย
ครอบครัวนี้แทบไปถึงขั้นเข้าตาจนแล้ว ทุกคนรอให้จัวซือชิ่งเขียนพินัยกรรมเพื่อแบ่งทรัพย์สมบัติส่วนของเขาให้อยู่
ฮือ
พอได้ยินคำพูดของชายร่างอ้วน จัวซินซินก็ฟุบหน้าลงและร้องไห้อย่างทนไม่ได้อีกต่อไป
“ร้องไห้ทำไม!” ลู่เซิ่งกำลังหงุดหงิดอยู่พอดี พอได้ยินเสียงร้องไห้ก็พลันสติแตก
จัวซินซินสะอึกทีหนึ่ง ไม่กล้าร้องอีก
“แก!? ไอ้หนู อยู่ๆ ตะโกนหาพระแสงอะไรวะ” ชายร่างอ้วนสะดุ้งโหยงเช่นกัน รอได้สติกลับมาก็รู้สึกว่าเสียหน้า จึงชี้หน้าลู่เซิ่งแล้วสบถด่าด้วยความโมโห
พวกหลินเซิ่งหย่าที่อยู่ตรงบันไดด้านนอกได้ยินเสียง จึงเร่งรุดมาเช่นกัน
“พ่อ! เป็นอะไรรึเปล่า” ชายหนุ่มชุดวอร์มเดินมาทางชายร่างอ้วน พร้อมกับจ้องลู่เซิ่งด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“เสี่ยวอวี่ แกมาก็วุ่นวายเปล่าๆ ไปเถอะ กลับโรงเรียนไปซะ…ถ้าพ่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วจะไปหาแกเอง” จัวซือชิ่งที่นอนอยู่บนเตียงริมฝีปากสั่นเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ พี่อย่าไปเอาเรื่องเขาเลย เขาเป็นแค่เด็ก เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง…” เขาหันไปวิงวอนชายร่างอ้วน
“เรื่องนี้จะยอมแค่นี้ไม่ได้!” ชายร่างอ้วนที่คว้าโอกาสได้เอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ฉันอยากจะเห็นว่าไอ้หนูนี่มันแน่สักแค่ไหน!”
“ข้อตกลงเมื่อก่อนหน้านี้ อีกเดี๋ยวผมจะเซ็นให้ เดี๋ยวผมจะเซ็นให้เอง!” จัวซือชิ่งกัดฟันพูด
“เหอะ ไม่พอ! เจ้าสาม วันนี้ฉันขอฝากบอกลูกชายนายไว้เลย นายน่าจะรู้เจตนาของพี่อยู่แล้ว ตอนนี้ยังแสร้งเป็นไม่รู้เรื่อง อย่าว่าแต่ลูกสาวกับเมียนายหนีไม่รอด แม้แต่ลูกชายแก…”
ฟุ่บ!
ลู่เซิ่งทะลึ่งตัวขึ้น สายตากลายเป็นเฉียบขาด
“เข้ามา!”
โครม!
พูดยังไม่ทันขาดคำ ประตูห้องพลันถูกชนเปิดออก
คนสวมชุดดำกลุ่มหนึ่งที่ใส่เกราะกันกระสุนและถือปืนกลมือโถมตัวเข้ามา
หนึ่งชายหนึ่งหญิงร่างสูงใหญ่สาวเท้าเดินเข้ามาแล้วยืนทำความเคารพลู่เซิ่ง
“ฉันต้องการพบระดับสูงทั้งหมดของตระกูลจัวในครึ่งชั่วโมง” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนจะกวาดตามองชายร่างอ้วนกับผู้เป็นพ่อที่ตกตะลึงอยู่ รวมถึงแม่ลูกที่อึ้งงันอยู่ข้างๆ ยังมีหลินเซิ่งหย่าที่โดนผลักออกไปด้านข้างขณะบีบแว่นกันแดดเอาไว้
“ที่นี่เหรอครับ” ชายสูงใหญ่ถามเสียงทุ้มต่ำ
“ที่นี่!” ลู่เซิ่งยืดตัวขึ้น มีคนเข้ามาคลุมชุดทหารแบบสั่งตัดสีดำที่เหมือนกับคนอื่นๆ ให้จากด้านหลัง เพียงแต่บนบ่าของเขามีอินทรธนูสีทองเข้มติดอยู่
“แล้วพวกคนในห้องนี้ล่ะคะ” หญิงสาวคนนั้นถามเสียงขรึม
“กักบริเวณไว้ ห้ามให้ใครเข้าออก” ลู่เซิ่งมองจัวซือชิ่งที่ผุดสีหน้าตกตะลึงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะสาวเท้าเดินออกจากห้อง
ทหารกลุ่มหนึ่งตามไปติดๆ โดยทิ้งคนครึ่งหนึ่งไว้คอยเฝ้าทุกคนไว้
เปรี้ยง!
ทางนี้เพิ่งจะออกไป ชายร่างสูงใหญ่ก็ถีบใส่ท้องของลุงหรือชายร่างอ้วนคนนั้นอย่างแรง
……………………………………….