ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 660 บรรลุ (2)
บทที่ 660 บรรลุ (2)
“สังหาร!” โอซีลิสกัดปลายลิ้น ลวดลายภาพทั้งหมดบนร่างเรืองแสงสีขาว ก่อนจะหลุดออกจากภาพหลอนในพริบตา
ตรงหน้ากะพริบวาบ เขาไม่รู้ว่าวิ่งมาถึงด้านหน้าลู่เซิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ยกหอกยาวขึ้นสูงแล้วแทงใส่ทรวงอกอีกฝ่าย
แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน เกอเลียนกับปรมาจารย์ภาพอีกหลายคนลงมือพร้อมกัน โดยประสานกับแหฟ้าสีขาวจำนวนมาก
หอกยาวที่เกิดจากการแยกประจุไฟฟ้า ดาบโค้งที่ฉาบพิษเหลือแต่เงาหลงเหลือ กระสุนเจาะเกราะต่อต้านยุทธภัณฑ์ที่มีพลังทำลายล้างแข็งแกร่งที่สุดในโลกมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง แส้ยาวชนิดพิเศษที่มีฤทธิ์กัดกร่อน
การโจมตีรุนแรงหลากหลายรูปแบบพากันพุ่งใส่ร่างลู่เซิ่ง
ทุกๆ คนต่างถูกภาพหลอนเมื่อครู่ลากเข้าตำหนัก กว่าจะหลุดออกมาได้ก็แทบทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงระเบิดสรรพกำลังทั้งหมดของตัวเอง ก่อนจะโจมตีใส่ลู่เซิ่ง
ครืน!
การโจมตีจำนวนมากกลายเป็นการระเบิดรุนแรง คลื่นพลังงานสีขาวกึ่งโปร่งแสงระเบิดออกในพริบตา แล้วกลายเป็นครึ่งวงกลมขนาดยักษ์ปกคลุมรัศมีหลายพันเมตรรอบๆ ทันที
ฟิ้ว! ฟิ้วๆๆๆ!
เงาคนหลายสายกระเด็นออกมาหลังจากการระเบิด แล้วกระแทกเข้าไปกลางตึกใหญ่รอบๆ จนกำแพงคอนกรีตกับเหล็กเส้นจำนวนมากถล่มลงมา
คลื่นพลังงานสีขาวค่อยๆ สลายไป ลู่เซิ่งบีบคอของโอซีลิสด้วยมือข้างเดียว ร่างกายที่เหมือนโลหะไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย
“การดิ้นรนที่ไร้ความหมาย” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงบ “โอซีลิส นายเห็นความแตกต่างของพวกเราหรือยัง”
“แค่กๆ…” โอซีลิสกระอักอยู่หลายครั้ง ลวดลายสีขาวบนร่างกะพริบอย่างรุนแรงและระเบิดพลังยิ่งใหญ่ออกมา หมายจะดิ้นให้หลุดจากการควบคุมของลู่เซิ่ง
แต่ว่าพลังงานที่แสงสีขาวระเบิดออกมากลับไร้ความหมายแม้แต่น้อยสำหรับลู่เซิ่ง
“ฉัน…คือเนตรแห่งเทพ…บุตรแห่งเทพ…ฉันคือปรมาจารย์ภาพ…ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก!” เขาดิ้นรนพร้อมกับยกมือขึ้น แสงสีขาววาบขึ้นอย่างรุนแรงตรงปลายนิ้ว ต้องการจะกดใส่ทรวงอกของลู่เซิ่ง
“ดูเหมือน…นายจะเลือกตัวเลือกที่ผิดพลาดแล้วล่ะ…” ดวงตาของลู่เซิ่งฉายแววเสียดายอย่างล้ำลึก
กร๊อบ
เขาออกแรงบีบ คอของโอซีลิสถูกหักในทันที ศีรษะกับร่างกายหลุดออกจากกัน ส่วนหัวโดนกระชากออกมา
อ๊าก!
เกอเลียนพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม ทั่วทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยรูเลือดขนาดเท่าคางเด็ก แต่เขารู้ดีว่าในเมื่อโอซีลิสตายไปแล้ว ถ้าหากคนอย่างพวกเขาไม่ทุ่มเทสุดชีวิตอีก ก็ไม่มีทางมีจุดจบที่ดีเด็ดขาด
แต่เขาไม่เสียใจ ปรมาจารย์ภาพมีเกียรติของตัวเอง หลายปีที่ถูกควบคุม คนอย่างพวกเขาไม่ว่าจะทรยศเพราะเหตุผลอะไร ล้วนมีจุดเด่นร่วมกันอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือพวกเขาถูกราชาสีเงินวางพิษร้ายมาก่อน
“เจิดจรัส!” เสียงคำรามมากมายซึ่งแทรกด้วยความโศกเศร้าดังขึ้นพร้อมกันจากที่ไกล
ฟิ้วๆๆๆ!
ลูกศรแสงสีขาวจำนวนเหลือคณานับร่วงตกลงมาทางนี้เหมือนกับฝูงตั๊กแตน
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองคนจากกลุ่มอัศวินเจิดจรัสที่อยู่ไกลออกไป
เขาพลันเบี่ยงตัว แล้วฟาดขาใส่กำแพงของตึกใหญ่ทางขวามือทันที
โครม!
รอยแตกและรอยยุบมากมายโผล่ขึ้นด้านหลังตึกใหญ่ในพริบตา ตึกใหญ่ที่สูงเจ็ดสิบแปดสิบเมตรถล่มลง แล้วกลิ้งไปทางกลุ่มอัศวินอย่างสะเทือนเลือนลั่น
ตูม!
กรวดหินดินทรายนับไม่ถ้วนระเบิดออก ตึกใหญ่ที่สูงเจ็ดสิบแปดสิบเมตรกระแทกใส่หอคอยเหล็กสูงสองร้อยกว่าเมตรที่อยู่ไกลออกไปจนถล่มไปด้านหลังพร้อมกัน ก่อนจะตกลงกลางทัพอัศวินเจิดจรัส
กลุ่มอัศวินมากกว่าร้อยคนมีไม่กี่คนเท่านั้นที่หนีออกมาทัน ที่เหลือล้วนถูกน้ำหนักอันมหาศาลกดทับตายในทันที
นี่ก็คือพลังอันเด็ดขาด
“เห็นแล้วใช่ไหม” ลู่เซิ่งมองท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป เหมือนบรรลุบางอย่างอยู่ชั่วขณะ
“นี่ก็คือพลังของฉัน เส้นทางของฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน” เขาพลันบรรลุแล้วว่าจานประกายโรจน์ของตัวเองต้องการตราสัญญะและกฎเกณฑ์แบบใด
เสียงปืนทั้งหมดหยุดลงนานแล้ว เหล่าจิตรกรจากเนตรแห่งเทพพากันหยุดลงมือเช่นกัน แม้คนของหัตถ์แห่งประกายนิลจะบาดเจ็บล้มตายสาหัส แต่หัตถ์สีเงินยังคงมีจิตรกรส่วนหนึ่งที่ภักดีต่อลู่เซิ่ง จิตรกรจำนวนมากพากันมาถึงและโอบล้อมที่นี่ไว้หลายชั้น
ทว่าลู่เซิ่งที่อยู่ตรงกลางไม่ได้พูดอะไร จึงไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว
สมาชิกที่หลงเหลือจากเนตรแห่งเทพ หัตถ์สีเงิน สถาบันสอบสวนระดับสูงแห่งสหพันธ์ รวมถึงรัฐบาลในท้องที่ ถึงขั้นยังมีตระกูลจ้าวและตระกูลจัว
ทุกคนต่างก็จดจ้องสายตาไว้ที่ร่างของลู่เซิ่งที่ยืนอยู่บนที่สูงโดยไม่รู้ตัว
ผู้นำของเนตรแห่งเทพตายไปแล้ว สี่ปรมาจารย์ภาพถ้าไม่ใช่ตายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสในการระเบิดเมื่อครู่และการต่อสู้ต่อจากนั้น
ไม่มีใครต้านทานการควบคุมของลู่เซิ่งได้อีกแล้ว
ซู่…
ลู่เซิ่งโบกมือ ภาพประหลาดสีดำสนิทที่วาดล้อกลมขนาดยักษ์เอาไว้ใบหนึ่งโผล่ขึ้นมาด้านหน้า
‘ดีปบลู’ เขาเรียกดีปบลูออกมาเงียบๆ ต่อหน้าทุกคน
ชิ้ง
อินเตอร์เฟซของเครื่องมือปรับเปลี่ยนสีฟ้าเด้งออกมาอยู่ด้านหน้าเขา
ความเข้าใจเมื่อครู่นี้ทำให้กฎสองกฎในตอนแรกของเขาเข้าใกล้สภาพสมบูรณ์แบบในพริบตา
แต่ว่าบนจานประกายโรจน์กลับสลักไว้แค่สามอย่าง ได้แก่ไฟหยิน พิษร้าย และวารีลี้ลับ
‘ตราสัญญะอันต่อไปก็คือ…’ ลู่เซิ่งหยีตา ‘ทั้งหมดจงเพิ่มพลังให้ฉันซะ!’
พลัง พลัง พลัง พลัง พลัง พลัง!
ชั่วพริบตานั้นจานประกายโรจน์สั่นไหว พลังอาวรณ์ถูกผลาญไปเป็นจำนวนมาก กฎของพลังที่เกือบสมบูรณ์แบบซึ่งลู่เซิ่งเพิ่งจะบรรลุเติมเต็มตราสัญญะต่อจากนั้น
ตราสัญญะหกอันรวมตัวกันกลายเป็นตราสัญญะฝ่ามือที่หมายถึงพลัง เพียงแต่ส่วนที่แตกต่างออกไปก็คือ คุณสมบัติของพลังที่ตราสัญญะเป็นตัวแทนไม่เหมือนกัน
พลังความเร็ว พลังเผาไหม้ พลังความทนทาน พลังป่าเถื่อนอันบริสุทธิ์ พลังระเบิด พลังคืนชีพ
ระบบพลังหกชนิดที่แตกต่างกันประสานกับตราสัญญะสามชนิดที่เหลือ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกรูปจิต
ตราสัญญะหกชนิดซึ่งมีกฎหกชนิดที่ไม่เหมือนกันกลายเป็นกฎพื้นฐานของโลกรูปจิต
กฎที่ว่างเปล่าจำนวนมากได้รับการเติมเต็ม ผืนดินในโลกรูปจิตเริ่มสั่นไหวน้อยๆ แม้แต่ตราสัญญะพิษร้ายในตอนแรกก็ถูกลู่เซิ่งขจัดสิ่งเจือปนทิ้งไปโดยไม่ปรานี จนกลายเป็นกฎต้านพิษที่ไม่อันตรายซึ่งใช้กระตุ้นให้กายเนื้อแข็งแกร่งกว่าเดิม
นอกจากไฟหยินแล้ว วารีลี้ลับยังถูกลู่เซิ่งเปลี่ยนให้กลายเป็นกฎพลังแห่งวารีที่บริสุทธ์ เพื่อนำมาใช้ปรับลดการเสียดสีระหว่างตราสัญญะของพลังทั้งหมดด้วยเช่นกัน
โลกเริ่มเกิดการตั้งค่าใหม่
…
เนตรแห่งเทพโอซีลิสสิ้นชีพ ปรมาจารย์ภาพที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริงกลายเป็นลู่เซิ่งหรือราชาสีเงิน
สถาบันสืบสวนระดับสูงแห่งสหพันธ์ได้รับความเสียหายอย่างสาหัส เหล่ายอดฝีมือจากสถาบันสอบสวนที่ปะปนอยู่ด้านหลังกลุ่มอัศวินเจิดจรัสโดนลูกหลงตายไปมากมาย ในนี้รวมถึงอธิบดีคนปัจจุบันด้วย
ศึกแห่งเมืองคุนหนีทำให้คนทั้งโลกได้ประจักษ์ถึงพลังของจิตรกร
หัตถ์สีเงินบาดเจ็บล้มตายมหาศาล การทรยศของสี่ปรมาจารย์ภาพทำให้ระดับสูงแทบไม่เหลือใคร ลู่เซิ่งจึงเลื่อนระดับให้แก่จิตรกรระดับกลางจำนวนมาก นอกจากนั้นปรมาจารย์ภาพทางเนตรแห่งเทพก็ถูกทำลายสิ้นเช่นกัน
ศิลปะภาพวาดทั่วโลกตกสู่ยุคตกต่ำที่ไม่เคยมีมาก่อน
ลู่เซิ่งราชาสีเงินกลายเป็นปรมาจารย์ภาพเพียงหนึ่งเดียวของโลก หรือก็คือปรมาจารย์ภาพที่แข็งแกร่งที่สุด
..
วันที่ 12 เดือนสิงหาคม
เมืองคุนหนี
ลู่เซิ่งวางช่อดอกสีขาวไว้บนโต๊ะข้างเตียงในห้องคนป่วยอย่างแผ่วเบา
“ดีขึ้นหรือยัง ลุกขึ้นได้ไหม”
“ฉันยังไม่ตายแกส่งดอกไม้มาทำไม!?” พอเห็นช่อดอกไม้ถูกวางลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง จัวซือชิ่งก็หน้าเขียว
“พี่…พี่ใหญ่…!” จัวซินซินที่กำลังดูแลจัวซือชิ่งอยู่ในห้องคนป่วยลุกขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวเล็กน้อย เธอก้มหน้าไม่กล้ามองลู่เซิ่ง ขนาดเรียกพี่ใหญ่ก็ยังติดอ่าง
“จัว…ซิน…ซิน ชื่อนี้ใช่ไหม” ลู่เซิ่งไม่สนใจจัวซือชิ่ง หากมองไปยังน้องสาวต่างแม่ของตนเอง
“ค่ะ! ใช่ค่ะ!” จัวซินซินรีบตอบ ร่างเกร็งจนสั่น
“ตาเฒ่านี้คงจะไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีกับเธอหรอกใช่ไหม” ลู่เซิ่งถามตรงๆ
“เหลวไหล! จัวเจิ้นอวี่แกจะมาหาเรื่องฉันเหรอไง!” จัวซือชิ่งพลันตะโกน คิดจะลุกขึ้น
จัวซินซินหน้าแดง ไม่ทราบควรพูดอะไรดี
“เอาน่าๆ แค่ล้อเล่นเอง” ลู่เซิ่งหัวเราะ บรรยากาศในห้องพลันอบอุ่นขึ้น
“มุกแบบนี้ไม่ฮาเลย แกจัดการเรื่องตัวเองเสร็จแล้วเรอะถึงได้มีเวลามาหาพ่อ”
“เรียบร้อย จัดการจนเกือบหมดแล้ว”
“ถ้าไม่จัดการให้ดี ระวังจะโดนหักหลังเหมือนคราวแล้ว…” จัวซือชิ่งเตือน
“ไม่เป็นไร หักหลักอีกก็เปลี่ยนคนอีก โลกนี้มีคนเยอะถมไป” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่นำพา
จัวซือชิ่งรู้สึกมีอะไรบางอย่างผิดปกติขณะมองลูกชายคนนี้ ความรู้สึกประหลาดที่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนจากเศรษฐีธรรมดาเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ระดับโลกนี้ช่างแปลกพิลึกจริงๆ
เขาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจแม้แต่น้อย
เขาจึงไม่รู้ว่าตอนนี้ควรปฏิบัติต่อลูกชายด้วยท่าทีแบบไหนดี ดีที่ลูกชายยังเป็นคนเดิม
ศึกใหญ่ครั้งล่าสุดผ่านมาได้ครึ่งเดือนกว่าๆ แล้ว ชื่อเสียงของเนตรแห่งเทพและหัตถ์สีเงินกระจายไปยังสื่อทั่วโลก
นี่ทำให้อาชีพจิตรกรที่เดิมเป็นที่นิยมอยู่แล้วมีจำนวนคนทวีขึ้นในพริบตา
หัตถ์สีเงินที่เป็นผู้ปกครองโลกมีคนนับไม่ถ้วนขอสมัครเข้าร่วม และลู่เซิ่งที่เอาชนะเนตรแห่งเทพรวมถึงระดับสูงของหัตถ์สีเงินได้ด้วยตัวคนเดียวยิ่งได้รับการเรียกขานเป็นตัวตนราวกับเทพมาร
เวลาครึ่งเดือนเพียงพอที่จะทำให้คนที่อยู่รอดในตระกูลจัวได้ทราบความจริง
ตระกูลจ้าวถูกจับกุมเข้าคุกหลวง เตรียมยิงเป้าได้ทุกเวลา สถานการณ์ในเมืองคุณหนีอยู่ในการควบคุมของลู่เซิ่งโดยสมบูรณ์ ระดับสูงของสหพันธ์กวาดล้างข้าราชการระดับสูงและเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่ง ประเทศเกือบหกสิบเปอร์เซ็นต์ในโลกถูกหัตถ์สีเงินควบคุมในที่ลับ
ตอนแรกสิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานของเนตรแห่งเทพ
“อีกเดี๋ยวอาการบาดเจ็บของคุณก็จะหายดีแล้ว ฉันยังมีเรื่องราวต้องจัดการ ถ้ามีเรื่องอะไรให้โทรหาฉันเบอร์นี้” ลู่เซิ่งให้เบอร์โทร แก่จัวซือชิ่ง หลังจากปลอบจัวซินซินเล็กน้อย ก็หมุนตัวออกไปจากห้องผู้ป่วย
เพิ่งจะเดินออกมาอยู่บนระเบียง ก็เห็นหลินเซิ่งหย่ายืนอยู่ที่ประตู เหมือนกำลังรอเขาอยู่
“จัวเจิ้นอวี่ ฉันขอร้องนายสักเรื่องได้ไหม” หลินเซิ่งหย่ากัดริมฝีปากพร้อมกล่าวเสียงค่อย
“เธอมีเวลาสามสิบวินาที” ลู่เซิ่งดูเวลา
“ได้ ฉันขอพูดตรงๆ นะ ฉันอยากขอให้นายปล่อยบ้านลุงของฉัน พวกเขาอเนจอนาถพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดการให้ถึงที่สุด” หลินเซิ่งหย่าวิงวอนเสียงอ่อน
“เรื่องนี้เธอต้องไปขอร้องพ่อฉัน ตามผลการตรวจสอบ คนที่วางแผนทำให้เขาถูกรถชนมีลุงที่เธอพูดถึงอยู่ด้วย” ลู่เซิ่งตอบกลับอย่างขอไปทีสองสามประโยค จากนั้นเดินเฉียดไหล่หลินเซิ่งหย่าไป
ตอนนี้ได้วางเก้าฐานศิลาในขอบเขตลวงตาเรียบร้อยแล้ว แม้จะเสียงพลังอาวรณ์ไปเกือบหมดจนเหลือแค่ไม่กี่แสนหน่วย แต่ทุกอย่างก็คุ้มค่า
ขอแค่รอจนโลกรูปจิตวิวัฒนาการเสร็จ เขาก็จะป้อนพลังจากโลกรูปจิตให้แก่กายเนื้อและบรรลุเป้าหมายในการเลื่อนระดับได้อย่างแท้จริง
ขอบเขตลวงตา
เขารอคอยมานานมากแล้ว
……………………………………….