ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 663 หาเงิน (1)
บทที่ 663 หาเงิน (1)
ดาวชมภูผาตั้งอยู่ใกล้นครตราชั่ง เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งท่ามกลางสามดวงอาทิตย์สิบเก้าดวงดาวที่อยู่ใกล้ที่สุด
ดาวชมภูผาที่อาบอยู่ในแสงของดาวฤกษ์สามดวงเหมือนกัน มีความหรูหราและรุ่งเรืองที่แตกต่างจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ โดยสิ้นเชิง
เผ่าพันธุ์ทั้งหมดสามสิบเจ็ดเผ่าพันธุ์รวมตัวกันเป็นสาธารณรัฐขนาดมหึมา เพียงแต่หลังจากสาธารณรัฐได้รับนครตราชั่งเข้ามาอยู่ในอาณาเขตด้วยตั้งแต่หลายปีก่อน มันก็กลายเป็นสมาชิกภายใต้ธงสมาคมการค้าไอลา
ลู่เซิ่งเตรียมตัวเรียบร้อยในวันต่อมา เขาเปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมตัวยาวของสาวกจันทราแดงที่โดดเด่น ก่อนจะไปยังลานชุมนุมที่อยู่ใกล้ที่สุด
ตรงนั้นมีคนรอรับการส่งตัวตั้งแต่แรกแล้ว สาวกจันทราแดงมีระบบส่งตัวที่สมบูรณ์เป็นของตัวเอง โดยใช้เมล็ดแห่งสายน้ำสีชาดเป็นตัวกระตุ้น สามารถไปถึงสถานที่ใดๆ ในระบบดาวได้อย่างสบายๆ
ลู่เซิ่งจ่ายเงินและเข้าไปในค่ายกลส่งตัว หลังข้ามไปสองครั้ง ในที่สุดก็ไปถึงดาวเทียมหมายเลขสามเหวยเอ๋อร์ถาน ซึ่งเป็นจุดรวมพลทำภารกิจที่แท้จริง
…
ลู่เซิ่งกับบุรุษสตรีที่สวมชุดคลุมสีแดงเหมือนกันกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้วยกันด้านหน้าเรือเหาะสีแดงขนาดยักษ์ สายตารวมอยู่ที่ประตูเข้าออกของยานบิน กำลังรอคนอยู่อย่างเงียบๆ
เส้นแสงที่ร้อนแรงของดวงอาทิตย์สามดวงแผดเผาสาดลงมา พื้นรอบๆ เรือเหาะคือทะเลทราย ทะเลทรายสีทองที่มองไปสุดลูกหูลูกตาและเชื่อมต่อกันไปยังเส้นขอบฟ้า
ในอากาศนอกจากคลื่นความร้อนที่มีอุณหูมิที่สูงถึงเจ็ดสิบกว่าองศาแล้ว อากาศก็ยังเต็มไปด้วยไอตั้น (ไนโตรเจน) คนทั่วไปไม่มีทางดำรงชีวิตอยู่ได้
ทว่าสาวกจันทราแดงกลุ่มนี้กลับสวมเกราะอ่อนสีดำ คลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีแดง ห่อพันไว้อย่างแนนหนา ทั้งยังใส่หน้ากากผีสีดำที่เหมือนกับหน้ากากกันสสารควันพิษ จึงดูค่อนข้างดุร้าย
นอกจากเส้นโค้งเว้าของร่างกาย ก็ไม่มีใครเห็นใบหน้าและสถานะของสาวกจันทราแดงกลุ่มนี้
ลู่เซิ่งยืนอยู่ในตำแหน่งค่อนไปทางด้านหลังของกลุ่มคน คนที่อยู่รอบๆ ล้วนเป็นสมาชิกลัทธิที่มาทำภารกิจในครั้งนี้
คนอื่นๆ ยังดี แม้กลิ่นอายจะมีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของลู่เซิ่ง ทว่าคนหนึ่งในนี้กลับดึงดูดความสนใจของเขาเล็กน้อย
คนคนนี้ไม่ทราบเป็นบุรุษหรือสตรี ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ไกลจากลู่เซิ่งที่สุด รักษาความเงียบมาโดยตลอด ตัวไม่สูงมาก เรียกว่าต่ำเตี้ยที่สุดในกลุ่มที่มีจำนวนห้าคนก็ได้
เพียงแต่ว่าทั่วร่างมีกลิ่นอายเลือนรางสุดบรรยายสายหนึ่ง
แกร๊ก…
รออยู่ราวครึ่งชั่วยาม ประตูใหญ่ของเรือเหาะก็ค่อยๆ เปิดออก
“ทุกคนเข้ามาก่อนเถอะ ข้าคือเหมินฟ่า หัวหน้าลัทธิที่จะนำกลุ่มในครั้งนี้ สถานที่ที่พวกเราจะไปในครั้งนี้คือดาวชมภูผาซึ่งหรูหราฟุ้งเฟ้อ”
ทุกคนพลันยืดตัวขึ้นแล้วเดินขึ้นสะพานเพื่อเข้าเรือเหาะ
ในเรือเหาะคือโถงใหญ่ที่กว้างขวาง เสาศิลาที่ตั้งตรงและแข็งแกร่งหลายต้นตั้งอยู่กลางโถงใหญ่ คนสวมหน้ากากผีที่ใส่เสื้อคลุมสีแดงเหมือนกันคนหนึ่งลอยอยู่ตรงกลางเสาศิลา
“ยินดีต้อนรับทุกท่าน พวกท่านจะเรียกข้าว่าหัวหน้าลัทธิหรือจะเรียกข้าว่าเหมินฟ่าก็ได้ ตามใจพวกท่านเลย ขอแจ้งให้กระจ่างก่อน ครั้งนี้คนที่พวกเราต้องการไล่ล่าคือตระกูลเวรอนซึ่งเป็นตระกูลใหญ่บนดาวชมภูผา ก่อนหน้านี้มีสมาชิกแสดงสถานะแล้วถูกคนของตระกูลเวรอนนี้เข่นฆ่าอย่างเหี้ยมโหด พวกเขายังอาศัยโอกาสนี้กล่าวว่ากิจการของพวกเราเป็นสิ่งนอกรีต ดังนั้นในเวลานี้จึงเป็นเวลาที่พวกเราต้องออกหน้าเองแล้ว”
“กล่าวได้ดี! เพียงแค่ปฏิบัติการครั้งนี้จะแบ่งผลประโยชน์อย่างไร หัวหน้าลัทธิได้โปรดอธิบายด้วย” คนหนึ่งส่งเสียงถาม
คนที่อยู่รอบๆ คนไหนบ้างที่ไม่ได้เข้าร่วมเพื่อผลประโยชน์ ดั่งคำว่าไร้ผลประโยชน์ไม่มีใครตื่นเช้า ภารกิจที่ถูกแย่งในพริบตาเดียวนี้ย่อมเป็นเพราะมีผลประโยชน์มากพอมาหลอกล่อ
“ผลพลอยได้ทั้งหมดระหว่างทางในครั้งนี้ ทุกท่านเก็บรวบรวมเองได้เลย จันทราแดงที่ยิ่งใหญ่ไม่มีทางลงโทษพวกเราเพราะเรื่องเล็กๆ แบบนี้หรอก” หัวหน้าลัทธิเหมินฟ่าหัวเราะ
คำพูดนี้เท่ากับมอบอำนาจให้เต็มที่ คนหลายคนที่อยู่ด้านล่างพลันตาเป็นประกาย นี่ไม่เท่ากับให้พวกเขาอาศัยความสามารถของตัวเองเอาไปได้ทุกอย่างที่ต้องการเลยหรือ
ลู่เซิ่งยืนมองดูหัวหน้าลัทธิคนนั้นอยู่กลางกลุ่มคน แค่คนในระดับชูศัสตราก็กล้ากล่าววาจาคุยโวตรงนี้แล้วเหรอ
แต่ว่าคนคนนี้ก็มีความมั่นใจของตัวเองเช่นกัน ได้ยินมาว่าเหมินฟ่าผู้นี้มีชาติกำเนิดสูงส่งสุดขีด เป็นคนรุ่นหลังที่โดดเด่นในครอบครัวของผู้ปกครอง เป็นเพราะสถานะคุณชายนี่เองที่ทำให้นำกลุ่มในภารกิจหาเงินแบบนี้ได้
เพียงแต่ไม่ทราบว่าตระกูลเวรอนในดาวชมภูผามีลักษณะแบบไหน
“พวกเราจะข้ามเข้าไปที่ดาวชมภูผาจากที่นี่ก่อน จากนั้นค่อยมุ่งหน้าไปยังประเทศที่ตระกูลเวรอนควบคุมอยู่ ขอแค่สังหารแคมบี้ เวรอนซึ่งเป็นเป้าหมายในการช่วยเหลือไล่ล่าได้ เวลาที่เหลืออยู่ พวกท่านอยากทำอะไรก็ตามสบายเลย” หัวหน้าลัทธิเหมินฟ่ากล่าวอย่างผ่อนคลาย
“ขอบคุณหัวหน้าลัทธิที่อธิบาย!” ทุกคนพากันกำหมัด
“เอาล่ะ ตอนนี้เริ่มเข้าค่ายกลส่งตัวเถอะ” เหมินฟ่าโบกมือ ประตูเล็กๆ บานหนึ่งพลันเลื่อนออกในกำแพงทางขวามือของทุกคนโดยอัตโนมัติ
ด้านในคือค่ายกลส่งตัวสามมิติทรงกลมที่กะพริบแสงสีฟ้า
หัวหน้าลัทธิเหินเข้าไปเป็นคนแรก แล้วหายไปท่ามกลางแสงสีฟ้าในพริบตา
จากนั้นคนที่เหลือก็ตามเข้าไปทีละคน
ลู่เซิ่งเข้าไปเป็นคนที่สองจากสุดท้าย เพิ่งจะก้าวเข้าไป ข้างหูก็มีเสียงแหวกลมที่หนาแน่นดังมา
ผ่านไปหลายวินาที แสงสีขาวแยงตาก็กะพริบวาบด้านหน้า ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
ทุ่งนาสีทองอร่ามผืนหนึ่งโผล่ขึ้นตรงหน้า คลื่นต้นข้าวสาลีนับไม่ถ้วนโยกไหวเบาๆ ตามลมพร้อมทั้งส่งเสียงซ่าๆ
คนทั้งห้าคนกับหัวหน้าลัทธิต่างข้ามมาอย่างปลอดภัย
“ไปเถอะ หากมีการขัดขืน ให้ฆ่าโดยไม่ละเว้น” หัวหน้าลัทธิลอยตัวขึ้นแล้วบินไปยังที่ไกลด้วยความเร็วสูง
คนที่เหลือพากันบินขึ้นก่อนจะตามไปติดๆ
ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่ามีข้อมูลส่งเข้ามาในเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาด เป็นแผนที่อย่างละเอียดของอาณาเขตผืนนี้นั่นเอง ทั้งหมดเป็นข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับตระกูลเวรอน
คนหกคนบินเลียดทุ่งข้าวไปยังทางเหนือ ไม่นานระหว่างทุ่งข้าวสีทองด้านล่างก็เริ่มปรากฏหอคอยสูงสีขาวทรงเกลียว
หัวหน้าลัทธิเหมินฟ่าทิ้งตัวลง ก่อนจะผลักมือใส่หอคอยสูงโดยไม่พูดอะไร
ไอหมอกสีขาวพรั่งพรูออกมาจากกลางฝ่ามือของเขา มุดเข้าไปในช่องหน้าต่างและร่องประตูของหอคอยสูงอย่างรวดเร็วเหมือนกับควัน
“ใครกัน!?” ธารแสงสีเหลืองหลายสายพุ่งออกมาหาเหมินฟ่าจากช่องหน้าต่างด้านบนหอคอย
“ลงมือ!” เหมินฟ่าหัวเราะลั่น จากนั้นก็เข้าหาธารแสงด้วยตัวเอง
หมอกสีขาวพรั่งพรูออกมาจากร่างเขาอย่างต่อเนื่อง แล้วห่อหุ้มธารแสงหลายสายไว้ด้านใน ผ่านไปแค่ไม่กี่อึดใจก็ไม่เหลือเสียงใดๆ อีก
ลู่เซิ่งคอยสังเกตอยู่ด้านหลัง ขณะกำลังจะลงมือ พอเห็นฉากนี้เข้าก็พลันหมดคำพูดอยู่บ้าง
ยอดฝีมือของตระกูลเวรอนอ่อนแอเกินไปจริงๆ เพิ่งจะพบหน้ากันก็สู้ไม่ไหวแล้ว อย่างมากสุดระดับของวิชาที่หัวหน้าลัทธิเหมินฟ่าผู้นั้นใช้ก็อยู่ในระดับผู้ถืออาวุธ ระดับแบบนี้ถึงกับฆ่าอีกฝ่ายได้หลายคนตั้งแต่พบหน้า
“ผู้น้องขอล่วงหน้าไปก่อน ไว้เจอกันทุกท่าน!” ไม่รอให้เขาได้สติ สี่คนที่อยู่ด้านข้างพลันพากันโผบินไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เตรียมตัวไว้แต่แรกแล้ว ไม่นานก็เหลือแค่ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ที่เดิมตามลำพัง
หัวหน้าลัทธิเหมินฟ่าพุ่งเข้าไปตักตวงสิ่งของในหอคอยสูง
เขามองดูหัวหน้าลัทธิเหมินฟ่าที่เข้าไปในหอคอยสูงโดยไม่เจออุปสรรคแม้แต่น้อยเป็นครั้งสุดท้าย พลันเข้าใจถึงวิธีการจัดการเรื่องราวในการมายังตระกูลเวรอนในครั้งนี้
ฟิ้ว!
ลู่เซิ่งลอยตัวขึ้นและบินจากไปยังที่ไกลเช่นกัน
ทิศทางที่เขาเลือกดูเหมือนจะเป็นทิศทางที่สมาชิกลัทธิคนอื่นๆ บินไปพอดี ระหว่างทางมีแต่ซากปรักหักพังและซากศพ ทุ่งนายังดีเพราะไม่มีค่าให้ทำลายทิ้ง แต่ว่าสิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่เห็นได้ ล้วนกลายเป็นเศษซาก บ้างก็ถึงขั้นเหลือแต่ควันและฝุ่นละอองเท่านั้น
ตูม!
บินไปด้านหน้าอีกราวหลายสิบกงหลี่ ด้านหน้าพลันมีแสงสาดวาบขึ้น ตามมาด้วยการระเบิดอย่างรุนแรงที่ดังกระหึ่ม
เปลวเพลิงสีทองระเบิดออกมาด้านหน้าลู่เซิ่งอย่างฉับพลัน ทำให้เขาต้องหยีตาเล็กน้อย
“บัดซบ! ไอ้พวกป่าเถื่อนพวกนี้มันบ้าไปแล้ว!?” เสียงหนึ่งดังมาจากเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาด
“เกิดอะไรขึ้น” มีคนถาม
“ระเบิดตัวตาย เจอมาสิบกว่ารอบแล้ว แถมพลังฝึกปรือยังสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครู่ข้าเกือบถูกลูกหลงไปด้วยแล้ว ไอ้คนพวกนี้ยอมทิ้งชีวิต บ้าไปแล้วจริงๆ!”
“ท่านไม่เป็นไรกระมัง”
“ไม่เป็นไร จัดการคนที่แข็งแกร่งที่สุดไปแล้ว ที่เหลืออยู่มีแต่ขยะ”
ลู่เซิ่งมองทิศทางการระเบิดแล้วเร่งความเร็วบินไปด้านหน้า
ครู่ต่อมาเขาก็เห็นบุรุษสตรีกลุ่มหนึ่งที่มัดผมเปียสองข้างยืนรวมกลุ่มกันอยู่กลางซากปรักหักพังสีขาวผืนใหญ่ที่อยู่ด้านล่าง กำลังตอบคำถามสมาชิกลัทธิคนหนึ่งอย่างเคารพอยู่
“อาวุธของตระกูลเวรอนถูกปลดแล้ว ทุกคนรีบมาหน่อย!” มีเสียงดังออกมาจากด้านในเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาด
ลู่เซิ่งรีบทิ้งตัวลงไป คนที่เหลือก็เหินบินมาเช่นกัน
“คนที่อยากรวยให้ตามข้ามา!” ตอนนี้หัวหน้าลัทธิเหมินฟ่าหัวเราะลั่นขณะส่งข่าวผ่านเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาด “ด้านหน้าคือนครสีชาด ขอแค่เอาชนะราชาเวรอนได้ คนอื่นๆ ก็สู้เราไม่ได้แล้ว!”
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วพร้อมกับกวาดตามองของขวัญและสมบัติที่ผู้ยอมแพ้กลุ่มนี้มอบให้
เป็นเครื่องหยกส่วนหนึ่ง ของขลังขนาดเล็กและวัตถุดิบพิเศษอีกบางส่วน แต่คลื่นระดับพลังอยู่ในระดับอสรพิษเท่านั้น
คนจากตระกูลเวรอนกลุ่มนี้โขกหัวร้องขอชีวิตอย่างบ้าคลั่งหลังส่งของขวัญให้ เหมินฟ่าไม่ได้สนใจพวกเขา หากลอยตัวขึ้นและบินไปด้านหน้าต่อ ครั้งนี้คนที่เหลือไม่ได้รีบตามไป กลับแยกย้ายกันด้วยรอยยิ้มระรื่น
ไม่นานนักก็เหลือแค่ลู่เซิ่งอยู่ที่เดิมคนเดียว
‘ถ้าหากได้ของแค่นี้ ภารกิจในครั้งนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับเรา เสียเวลาไปเปล่าๆ ’
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วพลางเหลียวมองรอบๆ ซากปรักหักพังสีขาวที่เงียบสงัด คนจากตระกูลเวรอนกลุ่มนั้นหมอบคลานอยู่บนพื้น ไม่กล้าลุกขึ้นมา
ลู่เซิ่งลูบหน้ากากและเกราะอ่อนบนตัว ชุดนี้มีความสามารถอำพรางกลิ่นอายที่แข็งแกร่งสุดขีด ตอนนี้ทั่วทั้งร่างเขามีกลิ่นอายของเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาดปกคลุมอยู่ อำพรางกลิ่นอายร่างหลักของตัวเองไว้ได้อย่างหมดจด
เขาไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะถามเสียงทุ้มว่า “แถวๆ นี้มีสถานที่ใดที่มีความเก่าแก่โบราณบ้าง เช่นพวกโบราณสถาน สถานที่ต้องห้าม หรือไม่ก็สัตว์โบราณดุร้าย”
ชายชราตระกูลเวรอนที่เป็นผู้นำเงยหน้าขึ้น รีบตอบว่า “เรียนใต้เท้า ใกล้ๆ นี้ไม่มีโบราณสถานหรือสถานที่ต้องห้าม แต่กลับมีมังกรปีศาจอยู่ตัวหนึ่งซึ่งเฝ้าเหวลึกอมตะทางใต้เอาไว้…แต่มังกรปีศาจตัวนั้นเป็นศิษย์ของทูตลัทธิไร้เทพ มีพลังร้ายกาจไม่ธรรมดา…”
“มังกรปีศาจหรือ” ลู่เซิ่งเกิดความสนใจ ตอนแรกเขานึกว่าภารกิจในครั้งนี้น่าตั้งตารอคอยอยู่บ้าง แต่พอเอาเข้าจริง สิ่งที่ได้มากลับมีแต่สมบัติระดับอสรพิษเท่านั้น ทำให้เขาเบื่อหน่ายเสียแล้ว
ยอดฝีมือขอบเขตลวงตาที่ยิ่งใหญ่อย่างเขา ออกมาทำภารกิจทั้งที จะเอาสิ่งของไปแค่นี้ได้อย่างไร
“เจ้าลองเล่ามาดูว่ามังกรปีศาจตัวนี้ร้ายกาจตรงไหน” ลัทธิไร้เทพอะไรนั้นด้อยกว่าสาวกจันทราแดงไม่น้อย ถือว่าเป็นลัทธิขนาดกลาง ไม่นับเป็นอะไร
ชายชราตระกูลเวรอนรีบเอ่ยเบาๆ “ใต้เท้ายังไม่ทราบ มังกรปีศาจตัวนั้นมีของวิเศษชิ้นหนึ่งที่ย้ายภูเขาถมทะเลและเรียกลมเรียกฝนได้ แค่ออกคำสั่งก็ทำให้ร่างกายตายวิญญาณดับสูญได้แล้ว เราเรียกกันว่าธงเก้ามังกรลี้ลับ มีผู้ที่แข็งแกร่งกว่ามังกรปีศาจตัวนั้นมากมายต้องการไปชิงสมบัติ แต่ล้วนไม่สำเร็จ กลับถูกสูบเข้าไปในธงคันนั้น แล้วกลายเป็นวิญญาณตายโหง ได้ยินมาว่าในนั้นมีพวกใต้เท้าระดับชูศัสตราอยู่ด้วย”