ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 668 หลักแห่งเต๋า (2)
บทที่ 668 หลักแห่งเต๋า (2)
”อ้อ” ลู่เซิ่งรู้สึกยินดี นึกไม่ถึงว่าแค่ลองดูก็สัมผัสเส้นทางวิชาเต๋าจากเบาะแสนี้ได้แล้ว
เขารีบถามว่า “ไม่ทราบว่าอาจารย์ของท่านนักพรตอยู่ที่ใด เขาสอนหลักแห่งเต๋าให้แก่เราได้หรือไม่”
เขาถามอย่างตรงไปตรงมา ส่วนอู๋โยวจื่อรู้สึกจนปัญญา
สำนักลัทธิที่เขาเกิดมาเป็นสำนักเล็กๆ ไกลปืนเที่ยงที่มีชื่อว่าสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ ว่ากันว่าบูรพาจารย์มาจากลัทธิไม่จีรัง มีความสามารถในการเลี้ยงกระเรียนเซียน
ภายหลังเขาหนีออกมาท่ามกลางความวุ่นวายครั้งหนึ่ง และเป็นเพราะไม่เชี่ยวชาญความสามารถที่ได้เรียนมา ทั้งยังไม่มีวิชาเต๋าพื้นฐานในการหล่อเลี้ยงอายุขัย จึงลงมาใช้ชีวิตโดยอาศัยขุนนางระดับสูงและคนสูงศักดิ์อยู่หลายสิบปีอย่างไม่สนใจศักดิ์ศรี
หลังจากเขาเสียชีวิต ศิษย์สองคนของเขาก็แยกกันสร้างสำนักค้นเซียนและสำนักกลุ่มประสานขึ้น แต่ก็ทยอยตกต่ำลง
สองปีต่อมา ผู้ควบคุมสำนักรุ่นนี้ได้ทำให้ความสามารถเลี้ยงกระเรียนเป็นที่รู้จัก กอปรกับไม่รู้เขาไปหาวิชาฝึกลมหายใจเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตมาจากที่ใด ก็เลยถือโอกาสสร้างสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ขึ้น
แม้จะบอกว่าเป็นสำนัก แต่ความจริงแล้วไม่ได้รับการยอมรับจากสำนักเต๋าที่แท้จริง เป็นเพียงเส้นทางธรรมดาที่โยกไหวตามลมฝนเท่านั้น
อู๋โยวจื่อเข้าไปร่ำเรียนวิชาฝึกลมหายใจเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตพื้นฐานส่วนหนึ่งที่สำนักกระเรียนพิสุทธิ์ในสถานการณ์แบบนี้ จากนั้นก็ออกมาคุยโวหลอกลวงคน
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงก็คือ ต่อให้ใช้วิชาฝึกลมหายใจเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตเป็นแค่นิดหน่อย ก็ใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ได้อย่างราบรื่นแล้ว
อย่างเช่นท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักเยวี่ยอ๋องนี้ต้องการพบเขาเพราะสาเหตุนี้
พอได้ยินว่าลู่เซิ่งอยากจะเรียนวิชาเต๋า อู๋โยวจื่อก็หัวเราะหนักใจ
“ซื่อจื่อยังไม่ทราบ วิชาเต๋านี้ตั้งแต่ระดับเบื้องต้นถึงระดับลึกซึ้งไปจนถึงระดับสำเร็จ อย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายสิบปี สิ่งที่วิชาเต๋าฝึกฝนคือเต๋า เดินในเส้นทางธรรม อาศัยวิชามาขัดเกลาจิตใจของตัวเอง การขัดเกลาจิตใจนี้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ซื่อจื่อเองก็รู้จักมนุษย์ดี และน่าจะเคยได้ยินคำพูดที่บอกว่าภูผาธารานั้นเปลี่ยนง่ายแต่ใจคนเปลี่ยนยาก”
เขากลับอธิบายอย่างกระจ่าง
“การฝึกฝนเต๋าคือการฝึกฝนจิตใจอย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งทวนหนึ่งรอบ เหมือนฉุกใจนึกอะไรออก
“ในเมื่อซื่อจื่อมีใจเอนเอียงมาทางเต๋า ข้าก็ไม่ขอปิดบังเอาไว้” อู๋โยวจื่อกระแอม “การฝึกเต๋านี้ต้องฝึกฝนใจคนก่อน ปกติกระบวนการนี้ใช้เวลายี่สิบปี รอจิตใจคนปลอดโปร่งจนตัดขาดความรู้สึกทางโลกียะได้ จึงค่อยสัมผัสวิชาเต๋าฉบับหลักได้อย่างเป็นทางการ”
“วิชาเต๋าฉบับหลักหรือ”
“ถูกต้อง วิชาเต๋าแบ่งเป็นคัมภีร์หลักกับคัมภีร์รอง คัมภีร์หลักคือสร้างกายควบคุมชีวิต บ่งชี้ถึงหลักการดั้งเดิมของมหามรรคา หากฝึกฝนจะทำให้เติบโตได้ ส่วนคัมภีร์รองคือวิชาต่อสู้หลีกเลี่ยงภัย ฝึกไว้ปกป้องตัว เพื่อให้หลุดพ้นจากกรรมของภัยพิบัติ” แม้อู๋โยวจื่อจะไม่ได้มีพลังฝึกปรือดีเด่น แต่กลับเข้าใจเคล็ดลับเป็นอย่างดี
“เช่นนั้นสิ่งที่ท่านนักพรตฝึกฝนคือสิ่งใดหรือ”
“คัมภีร์ปีกขาว ข้าน้อยฝึกฝนคัมภีร์ปีกขาวของสำนัก ฝึกมาได้สี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ขอบเขตยังคง…” อู๋โยวจื่อส่ายหน้า เอ่ยอย่างจนปัญญา
“ท่านนักพรตกลับเป็นคนซื่อสัตย์นัก” ลู่เซิ่งยิ้ม
อู๋โยวจื่อไม่กล้าโกหก หลายปีมานี้ประวัติของตนถูกคนสืบจนพรุนหมดแล้ว ถ้าเป็นคนอื่นยังใช้ฝีปากอันร้ายกาจได้ แต่เจอกับองค์รัชทายาแห่งตำหนักเยวี่ยอ๋องเข้า เกิดถูกจับได้ อย่างนั้นก็เป็นโทษประหารอย่างแท้จริง
“ต่อหน้าซื่อจื่อ ข้าไม่กล้ากล่าวเหลวไหลหรอก”
ลู่เซิ่งไตร่ตรองเล็กน้อย เขาเข้าใจคร่าวๆ เช่นกันว่า หากดูตามความลี้ลับแข็งแกร่งของสำนักเต๋าบนโลกใบนี้ การที่อู๋โยวจื่อยินยอมโค้งตัวคุกเข่าต่อมนุษย์ธรรมดา แสดงให้เห็นว่าพลังของสำนักเบื้องหลังเขานั้นน่าสงสัยอยู่
“เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ข้าสนใจทางเต๋า ท่านนักพรตติดต่อกับสำนักได้หรือไม่”
“ซื่อจื่อเอ่ยจริงหรือ พึงทราบว่าหากจิตใจไม่สมบูรณ์ การฝึกฝนคัมภีร์หลักก็เป็นการหาที่ตายเปล่าๆ”
อู๋โยวจื่องุนงง เขาได้อธิบายชัดแจ้งแล้ว พอเข้าสำนักก็จำเป็นต้องขัดเกลานิสัยเป็นเวลายี่สิบปี ถ้าหากผ่านด่านไม่ได้ ทุกอย่างก็ไม่ต้องพูดถึง
แม้สำนักที่เขาอยู่จะอ่อนแอถึงขีดสุด ทว่าอย่างไรก็ยังมีวิชาหล่อเลี้ยงชีวิตที่พอจะนับเป็นคัมภีร์หลักได้อยู่
ตามกฎและความปลอดภัย ถ้าหากซื่อจื่อยินยอมฝึกเต๋าจริงๆ อย่างนั้นแม้สำนักเบื้องหลังของเขาจะไม่ให้ขัดเกลาถึงยี่สิบปีจริงๆ แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสิบปีแปดปี อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่แค่กฎ แต่ยังเกี่ยวข้องกับชีวิต
“แน่นอนว่าเอาจริง ท่านนักพรตไปจัดการได้เต็มที่ ขอแค่สำเร็จ จะตบรางวัลเป็นแท่งเงินพันตำลึง!” ลู่เซิ่งพยักหน้า เมื่อคืนเขาคำนวณความเร็วของเวลาในโลกใบนี้คร่าวๆ แล้ว แตกต่างกับโลกมารสวรรค์ราวหกร้อยกว่าเท่า
หมายความว่า หกร้อยกว่าวันของที่นี่เทียบเท่ากับหนึ่งวันของทางนั้น
หนึ่งวันเทียบเท่ากับเกือบสองปี เขาสามารถวางหมากอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาแก่นแห่งวัฏจักรได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องรีบร้อน
ถึงเขาจะรู้สึกได้ว่าความเร็วของเวลานี้จะผิดปกติอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม แต่ตอนนี้จะมัวมาเรื่องมากไม่ได้แล้ว
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ขอให้ซื่อจื่อได้โปรดรอข่าวจากทางข้า” อู๋โยวจื่อหายใจแรงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะบอกลาอย่างรวดเร็ว
แท่งเงินพันตำลึงเชียวนะ!
แท่งเงินสิบตำลึงทำให้ครอบครัวสามคนใช้ชีวิตโดยไม่ต้องห่วงเรื่องกับข้าวสามมื้อได้ทั้งปี ส่วนแท่งเงินพันตำลึง…เพียงพอให้เขามุมานะรับใช้ตระกูลหนิงเป็นเวลาสองปีกว่าๆ แล้ว
แม้อู๋โยวจื่อจะได้ชื่อว่าเป็นศิษย์หนีสำนัก แต่นี่เป็นแค่การหลีกเลี่ยงกฎการลงทัณฑ์ของสำนักเต๋าเท่านั้น
ที่จริงตอนนี้เขาส่งทรัพย์สมบัติจำนวนมากเข้าสำนักของตนเองเป็นประจำทุกปีด้วยสถานะศิษย์หนีสำนักนี่เอง
สำนักกระเรียนพิสุทธิ์มีวิชาเต๋าต้อยต่ำ ไม่อาจกินลมกินน้ำค้างได้ ต้องการเพลิดเพลินกับอาหารมากมาย ย่อมได้แต่อาศัยผลประโยชน์จากโลกมนุษย์
หลังจากได้แท่งเงินพันตำลึง ไม่เพียงภารกิจในปีนี้ของเขาจะสำเร็จลงครึ่งเล็กๆ อย่างรวดเร็วเท่านั้น เด็กสาวที่ตนคิดไถ่ตัวมาโดยตลอดคนนั้นก็ซื้อมาได้อย่างราบรื่นเช่นกัน
อู๋โยวจื่อเร่งรีบออกจากตำหนักอ๋องด้วยจิตใจที่รุ่มร้อนราวเพลิง
ที่จริงแล้วมีคนในโลกโลกียะที่ต้องการสัมผัสวิชาเต๋าอยู่ไม่น้อย แต่ทุกรายทนได้ไม่กี่ปีก็ยอมแพ้โดยสิ้นเชิง ล้มเหลวในกระบวนการขัดเกลาจิตใจ
ส่วนซื่อจื่อจะคิดฝึกฝนเต๋าจริงๆ หรือไม่ เขาไม่สนใจ จะฝึกสำเร็จหรือไม่ก็ไม่สำคัญเช่นกัน
สิ่งสำคัญก็คือ สามารถทำตัวเป็นจิ้งจอกยืมบารมีเสือ หรืออาศัยหนังเสือมาข่มขู่เอาทรัพย์สมบัติในกระบวนการบำเพ็ญเต๋าของซื่อจื่อได้อย่างเต็มที่ นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญ
ความจริงมีคำพูดส่วนหนึ่งที่เขาไม่ได้บอก สำนักกระเรียนพิสุทธิ์ที่เขาอยู่มีความหมายตามชื่อของมันจริงๆ
สำนักนี้มีคัมภีร์หลักต้อยต่ำ ส่วนคัมภีร์รองคือการเลี้ยงกระเรียนเซียนเพื่อใช้เป็นวิหควิเศษคุ้มครองสำนัก ไม่มีวิชาฆ่าฟันสักวิชาเดียว
พูดถึงที่สุดคือ เป็นคนเลี้ยงสัตว์ที่ใช้กระเรียนเซียน แต่กระเรียนเซียนมีประโยชน์อะไร เมื่อไม่มีคัมภีร์หลักเป็นรากฐาน กระเรียนเซียนที่เพาะเลี้ยงออกมาก็แค่ฉลาดกว่าและมีขนสวยกว่ากระเรียนเซียนทั่วไปเล็กน้อยเท่านั้น
สำนักอื่นๆ ในหมู่สำนักเต๋าถึงขั้นไม่ยอมรับด้วยซ้ำว่าสิ่งที่สำนักกระเรียนพิสุทธิ์เลี้ยงออกมาเป็นกระเรียนเซียน
‘สนใจทำไม โลกใบนี้ หากหลอกใครได้ก็ถือเป็นคุณความดีอย่างหนึ่ง!’ หลังจากอู๋โยวจื่อออกจากตำหนักอ๋องก็รีบไปยังเหลาสุราแห่งหนึ่งที่อยู่ริมถนน
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม เขาก็เดินเอื่อยๆ ออกมา แล้วขึ้นเกี้ยวกลับไปยังคฤหาสน์ของตัวเอง
พิราบส่งข่าวสีขาวหลายตัวบินออกมาจากเหลาสุรา ก่อนจะหายไปที่เส้นขอบฟ้าในพริบตา
…
ลู่เซิ่งได้รับข้อมูลการบำเพ็ญเต๋าจากอู๋โยวจื่อแล้ว ต่อจากนี้คือการรอคอยอย่างช้าๆ
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
เขาให้ข้ารับใช้ในตำหนักอ๋องไปสืบข่าวทางเจ้าหน้าที่จัดการเอกสารในตำหนักทุกวัน
เจ้าหน้าที่จัดการเอกสารในตำหนักอ๋องเป็นองค์ประกอบหลักที่ใช้ควบคุมข้อมูลลับซึ่งเยวี่ยฉินอ๋องเลือกใช้ ข้อมูลข่าวสารมากมายที่พวกเขารู้เป็นสิ่งที่ทันเวลาที่สุด หากอยากจะทำความเข้าใจโลกใบนี้ จะต้องเริ่มจากข้อมูลก่อน
ลู่เซิ่งรอคอยข่าวจากอู๋โยวจื่อไปพลาง ศึกษาข้อมูลไปพลาง ทั้งยังส่งคนไปหาโอกาสที่อาจได้สัมผัสกับวิชาเต๋าเพิ่มเติมได้พร้อมๆ กัน
แต่ว่าวิชาเต๋าไม่ใช่สิ่งที่ฝึกฝนได้ง่ายจริงๆ เวลาสิบกว่าวันผ่านไปโดยไม่ได้รับอะไร นอกจากสำนักกระเรียนพิสุทธิ์แล้ว ก็ไม่มีช่องทางใดที่ใช้สัมผัสกับวิชาเต๋าได้อีก
เวลาสิบกว่าวันที่ผ่านมา ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าแก่นหยางในร่างกายผ่อนคลายกว่าเดิมเล็กน้อย แม้แต่ด้ายกระตุ้นวิญญาณก็มีการเคลื่อนไหวนิดหน่อยด้วย
เขามีความรู้ต่อกฎพื้นฐานของโลกใบนี้เพิ่มขึ้นเช่นกัน เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะฟื้นพลังของร่างเดิมกลับมาได้โดยสมบูรณ์แล้ว
ลู่เซิ่งเลื่อนการไปเที่ยวเล่นกับพวกหยวนจี้คงออกไปเพื่อรอข่าวจากสำนักกระเรียนพิสุทธิ์
เพียงแต่ข่าวจากสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ยังมาไม่ถึง ข่าวการออกศึกของเยวี่ยฉินอ๋องก็ส่งกลับมาก่อน
เยวี่ยฉินอ๋องนำทัพไปสยบชนเผ่าทางตะวันตก ครั้งนี้ยังคงได้รับชัยชนะ แต่เทียบกับการกำชัยอย่างสบายในคราวก่อน การออกศึกครั้งนี้กลับกินแรงเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะสามขุนพลใหญ่ใต้การบังคับบัญชาของเขายันไว้สุดกำลัง ครั้งนี้เยวี่ยฉินอ๋องไม่แน่ว่าอาจจะได้รับความเสียหาย
‘อาณาจักรใกล้ล่มสลายแล้ว ถ้าอยากจะช่วยขุมกำลังยิ่งใหญ่ระดับนี้ให้รอด จะยากลำบากถึงขั้นไหนกัน…’ ลู่เซิ่งค่อยๆ พับกระดาษน้ำมันรายงานข่าว แล้วทิ้งลงกระถางไฟ
‘ที่จริงคนที่ทำศึกเก่งสุดในราชวงศ์ซีหยายังคงเป็นขุนพลเทพจูเฉิงกั๋ว เยวี่ยฉินอ๋องกับแม่ทัพคนอื่นๆ ได้แต่นับเป็นขุนพลระดับสองเท่านั้น เพียงแต่หากดูจากข่าว จูเฉิงกั๋วก็ใกล้จะต้านทานไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ตอนนี้ทางตะวันตก เหนือ และตะวันออกปั่นป่วน โดนกระหนาบโจมตีไม่หยุด ทั้งยังเก็บภาษีแพงมาก ระบบราชการเพียงแต่รู้จักแต่ดื่มสุราเสพสุขเท่านั้น’
ลู่เซิ่งเข้าใจดีว่า แม้สถานะของตนจะสูงส่ง แต่ก็ถูกมัดติดอยู่กับราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่นี้
ต่อให้ไม่พิจารณาถึงปัญหาด้านความปรารถนาผลกรรม หากราชวงศ์ล่มสลายจริงๆ เขาที่เป็นบุตรเพียงคนเดียวของขุนพลดูแลเสบียงแห่งราชวงศ์ก็ถูกกำหนดจุดจบที่ต้องกายตายวิญญาณสลายไว้แล้ว
‘ลองสัมผัสกับวิชาเต๋าในตำนานนี้ดูก่อน ถ้าไม่ไหว ค่อยเดินบนมรรคายุทธ์เพียงอย่างเดียว’ เพียงแต่ลู่เซิ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า หากคิดจะเรียนรู้ยกระดับมรรคายุทธ์ของโลกใบนี้ถึงขั้นเทพเซียน จะต้องใช้พลังอาวรณ์มากขนาดไหน
ขณะกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ก็มีข้ารับใช้คนหนึ่งพุ่งเข้ามาจากนอกตำหนัก
“หมีกงคารวะซื่อจื่อ!”
“มีจดหมายส่งมาแล้วหรือ” ลู่เซิ่งรอจนทนไม่ไหวมาหลายวันแล้ว ทั้งๆ ที่ฝึกฝนวิชาที่ตนเองเชี่ยวชาญได้ แต่ติดที่ไม่ใช่ระบบหลัก จึงต้องอดกลั้นมาโดยตลอด
“ไม่ใช่ขอรับ แต่ชนเผ่าจวี้ชาทางใต้ของอาณาจักรก่อกบฏ! แม่ทัพขายชาติหวังทงควบคุมทหารยี่สิบหมื่น ตั้งตัวเป็นอ๋อง!” หมี่กงที่เป็นผู้รับใช้เป็นคนที่รับผิดชอบไปสืบสถานการณ์ทางเจ้าหน้าที่ ตอนนี้พอได้รับข่าวนี้ เริ่มแรกลู่เซิ่งงุนงง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ถึงแม้เพิ่งจะมาถึงโลกนี้ได้ไม่นานและถึงแม้หวงจิ่งจะเป็นซื่อจื่อตระกูลสูงศักดิ์ที่ไม่เรียนหนังสือ แต่ก็ยังมีคุณสมบัติของซื่อจื่อระดับพื้นฐานอยู่ เขาจึงรู้ว่าการก่อกบฏของเผ่าจวี้ชาทางใต้หมายถึงอะไร
ดินแดนที่อยู่ติดกับจวี้ชาก็คืออวิ๋นตูซึ่งเป็นยุ้งฉางของอาณาจักร เป้าหมายการโจมตีแรกหลังจากจวี้ชาก่อกบฏจะต้องเป็นอวิ๋นตูแน่
เมื่ออาณาจักรทั้งอาณาจักรไม่มียุ้งฉาง ไม่จำเป็นต้องพูดถึงผลร้ายที่จะตามมาก็สามารถเข้าใจได้
‘ครั้งนี้จบสิ้นแล้วจริงๆ…’ ลู่เซิ่งทะลึ่งตัวขึ้น เขาพอจะคำนวณออกคร่าวๆ จากความทรงจำของหวงจิ่งและข้อมูลสภาพการณ์ที่รวบรวมมาในช่วงเวลานี้ออกแล้วว่า อีกไม่เกินสองปี ถ้าอาณาจักรซีหยาแก้ไขปัญหาเรื่องยุ้งฉางไม่ได้ บ้านเมืองจะล้มชนิดฟ้าถล่มดินทลายอย่างแน่นอน
บทสรุปเพียงหนึ่งเดียวของราชบุตรฉินอ๋องอย่างเขาซึ่งเป็นตัวแทนชนชั้นปกครองดั้งเดิมก็คือถูกปลดและสังหาร
ไม่มีทางเดินที่สองเหลือให้เดินอีกแล้ว
‘มิน่า…มิน่าหวงจิ่งจึงอึดอัดคับข้องใจจนเราฉวยโอกาสยึดร่างได้’ ลู่เซิ่งรู้สึกกระวนกระวาย
‘สถานการณ์แบบนี้ ขุนพลระดับเยวี่ยฉินอ๋องช่วยดับไฟไปทั่ว เหน็ดเหนื่อยแทบตาย แต่ก็ต้านทานสถานการณ์ใหญ่ได้ยาก ต้องรีบเร่งมือแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นเรา ก็ไม่แน่ว่าจะทำทุกอย่างได้ราบรื่นตลอดรอดฝั่ง’