ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 669 สัจวิชา (1)
บทที่ 669 สัจวิชา (1)
ลู่เซิ่งนั่งลงใหม่ เพียงรู้สึกว่าอาณาจักรนี้ใกล้จะช่วยไม่ได้อีกแล้ว
เหมือนกับชายชราที่เกิดมามีโรคเรื้อรังและถูกชายฉกรรจ์หลายคนถือลูกตุ้มรุมฟาดใส่
ต่อให้ไม่ตายก็เหลือแค่ลมหายใจรวยริน
“ตอนนี้ขุนพลเทพจูเฉิงกั๋วอยู่ที่ใด” เขาสูดหายใจลึกและถามอีกรอบ
“ปัจจุบันขุนพลเทพยังสะกดเผ่าเจาอี๋อยู่ทางเหนือขอรับ เมื่อครู่เพิ่งส่งข่าวดีมาว่าอ๋องเผ่าเจาอี๋ตายในการรบ” หมี่กวงส่ายหน้าน้อยๆ “แต่หากคิดจะกลับมา เกรงว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบวัน”
นี่ยังเป็นในสถานการณ์ที่ขุนพลเทพโดยสารรถที่ออกแบบเป็นพิเศษด้วย
“ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็มียอดคนรับไว้ อย่าเพิ่งไปสนใจ แล้วทางอาจารย์อู๋โยวจื่อมีข่าวหรือยัง” ลู่เซิ่งสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมายังหัวข้อสำคัญอย่างรวดเร็ว
“ข้าน้อยเห็นอู๋โยวจื่อใช้พิราบส่งจดหมายกลับไปแล้ว แต่มีปฏิกิริยาอย่างไร ข้าน้อยเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน” หมี่กงส่ายหน้าน้อยๆ
เมื่อไม่มีข่าวคราว ลู่เซิ่งก็ได้แต่รอ เขาโบกมือให้หมี่กงออกไป ส่วนตัวเองนั่งลงอีกครั้ง
เวลาไม่คอยคน จะโทษที่เขาร้อนรนแบบนี้ก็ไม่ได้ ผลกรรมในครั้งนี้คือการช่วยทั้งอาณาจักร สภาพการณ์ยิ่งใหญ่เกินไป ต่อให้จะเป็นลู่เซิ่งก็ไม่กล้าบอกว่ามีความมั่นใจ
เมืองที่ตำหนักเยวี่ยฉินอ๋องตั้งอยู่คือเมืองระดับกลางที่มีชื่อว่าเลือกพสุธา รอบๆ เมืองเลือกพสุธามีป้อมปราการตั้งอยู่หกแห่ง ต่างก็ซ่องสุมกองกำลังไว้
หลายวันต่อจากนั้น ลู่เซิ่งตระเวนตรวจสอบกองทัพในป้อมปราการ แต่ก็ไม่เจอความพิเศษจากที่ตรงไหน ไม่ต่างอะไรกับทหารทั่วไป
แต่ยังดีที่อู๋โยวจื่อกลับมาอย่างรวดเร็ว
ทว่าเขาไม่ได้มาคนเดียว หากพาชายชราสวมชุดคลุมสีฟ้าและมีรูปร่างผอมสูงคนหนึ่งกลับมาด้วย
เมื่อชายชรามาถึง ก็มองดูลู่เซิ่งอยู่สามวัน จากนั้นก็หมุนตัวจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ลู่เซิ่งไม่เข้าใจเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ต่อจากนั้นไม่นานก็ได้รับใบรับรองการเป็นศิษย์ของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ที่อู๋โยวจื่อส่งมา เชื้อเชิญให้เขาไปเยี่ยมเยือนสำนักกระเรียนพิสุทธิ์
ลู่เซิ่งตอบรับอย่างยินดี
…
เขาเถาคราม ซุ้มประตูบนภูเขาของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์
อารามสีเขียวหลายหลังเชื่อมติดกัน กลายเป็นซุ้มประตูบนภูเขาของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์
ด้านในอารามตรงกลาง เวลานี้หลงเหอจื้อผู้เป็นเจ้าสำนักรุ่นปัจจุบันกำลังนั่งอยู่ข้างกระดานหมากล้อมด้วยสีหน้าจนปัญญา ถือหมากเอาไว้แต่ไม่ยอมวางลง กำลังมองดูศิษย์น้องสองคนที่ผลุนผลันเข้ามา
“เรื่องใหญ่ระดับนี้ เหตุใดศิษย์พี่เจ้าสำนักไม่บอกกับเราก่อน แต่กลับมาอธิบายเอาตอนนี้” นักพรตสตรีผุดสีหน้าบูดบึ้ง “ซื่อจื่อตำหนักอ๋องคนหนึ่ง ถึงจะยอมให้เขาฝึกฝน แต่จะมีประโยชน์อะไร”
“ศิษย์น้องกล่าวผิดแล้ว หลายปีมานี้ที่สำนักกระเรียนพิสุทธิ์พัฒนาได้ดี ถ้าไม่ใช่เพราะอาศัยศิษย์ธรรมดาจากโลกภายนอกส่งทรัพยากรมากมายกลับมา คงทนมาถึงตอนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ” เจ้าสำนักหลงเหอจื้อส่ายหน้า
“แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลให้ท่านทำลายกฎของบรรพบุรุษนะ” นักพรตอีกคนเอ่ยด้วยสายตาเย็นชา
“ที่จริงมันไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่พวกเจ้าคิดหรอก สำนักเต๋าไม่ได้สนใจสำนักเล็กๆ อย่างพวกเราอยู่แล้ว เกิดจัดการทดสอบอะไรเข้าแล้วทำให้ซื่อจื่อผู้นั่นกลัว อย่างนั้นก็จะได้ไม่คุ้มเสียแทน!” หลงเหอจื้อเอ่ยอย่างแน่วแน่
“แต่ท่านควรจะมีศักดิ์ศรีสักหน่อยกระมัง จะให้สถานะศิษย์กันง่ายๆ แบบนี้ หรือท่านจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาแก่เขาจริงๆ”
ศิษย์น้องเจ้าสำนักโมโห
“ย่อมต้องถ่ายทอด แต่ว่าจะต้องรอให้เขาขัดเกลาจิตใจจนหมดจดก่อน” เจ้าสำนักพยักหน้า “จะว่าไป คัมภีร์หลักและคัมภีร์รองของพวกเราล้วนเกิดขึ้นมาเพื่อเลี้ยงกระเรียน ต่อให้มอบให้แก่คนธรรมดา ก็ยังไม่แน่ว่าจะมีใครสนใจ ส่วนซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋อง…อย่างมากสุดก็กระตือรือร้นสักพักเท่านั้น ผ่านไปคงเบื่อไปเอง”
“แต่ว่า…”
“มาแล้ว!” อยู่ๆ เจ้าสำนักหลงเหอจื้อก็ลุกขึ้นพร้อมกับโยนหมากในมือทิ้ง เขาจัดแจงเสื้อผ้าและกวน ก่อนจะสาวเท้าออกไปนอกประตู
จากนั้นอ้อมผ่านเตาธูปของลานเรือนมาถึงหน้าประตูใหญ่
มีเด็กสองคนพาคนสองคนเข้ามาแล้ว
คนหนึ่งคืออู๋โยวจื่อ ทุกคนต่างก็รู้จักดี ส่วนอีกคนเป็นคนหนุ่มท่าทางมีสง่าราศี
ทั้งสองคนสวมชุดนักพรตสีเทา ครั้นอู๋โยวจื่อเห็นเจ้าสำนัก ก็พลันฉุดลากให้อีกคนรีบเข้ามาคำนับ
“ศิษย์อู๋โยว คารวะเจ้าสำนัก”
“ข้าน้อยหวงจิ่ง ได้ยินมาว่าสำนักกระเรียนพิสุทธิ์มีเซียน จึงมาขอร่ำเรียนมรรคาเต๋า” ลู่เซิ่งเดินขึ้นมาประสานมือและกล่าวเสียงดัง
เขาที่ยืนอยู่หน้าซุ้มประตูบนภูเขาพิจารณาผู้มาทั้งสามขณะพูด
ก่อนหน้านี้ได้ยินอู๋โยวจื่อบอกว่า สายที่นับเป็นสายดั้งเดิมในสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ได้มีแค่สามสายเท่านั้นได้แก่ สายเจ้าสำนัก สายอาจารย์อาสองป๋อหรูชิง สายอาจารย์อาสามจ้งชิงเจี้ยน
เขาอู๋โยวจื่อเรียนรู้จากจ้งชิงเจี้ยน แต่เป็นเพราะจิตใจไม่สมบูรณ์พอ ทำให้แม้จะฝึกฝนคัมภีร์ปีกขาวมาหลายปี แต่ก็ได้แต่ย่ำอยู่ที่เดิมเท่านั้น
พอลู่เซิ่งเข้ามา ก็จดจำยอดฝีมือทั้งสามคนของสำนักเล็กๆ สำนักนี้ได้ทันที
เจ้าสำนักหลงเหอจื้อเป็นชายชราเครายาวหัวล้าน ใบหน้าอมทุกข์
อาจารย์อาสองกลับงดงามราวบุปผา แต่ริมฝีปากบาง หางตาชี้เอียงขึ้น ให้ความรู้สึกเข้มงวดเข้าถึงยาก
ส่วนอาจารย์อาสามจ้งชิงเจี้ยนกลับมีใบหน้าอ่อนโยน ตอนนี้กำลังลูบหนวดเคราพลางพิจารณาตนอย่างยิ้มแย้ม
“เยวี่ยฉินอ๋องซื่อจื่อถ่อมตนจริงๆ คนภายนอกไหนเลยคู่ควรกับคำว่าขอคำสั่งสอนของซื่อจื่อ ถ้าหากไม่รังเกียจ ซื่อจื่อกราบเป็นศิษย์ของข้าก็ได้นะ” สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ ผู้ที่เอ่ยเป็นคนแรกกลับเป็นอาจารย์อาสามจ้งชิงเจี้ยน
ลู่เซิ่งมองดูเจ้าสำนักหลงเหอจื้อ
“ไม่เหมาะสม ปกติศิษย์น้องยังต้องเลี้ยงดูกระเรียนเซียน ให้ข้าถ่ายทอดวิชาเต๋าแก่ซื่อจื่อดีกว่า” หลงเหอจื้อเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“นี่จะได้อย่างไร ศิษย์พี่งานรัดตัว การฝึกฝนวิชาเต๋าต้องใช้ความพยายามและเวลาไม่น้อย คัมภีร์ปีกขาวอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ ถ้าหากส่งผลกระทบต่อการเลื่อนระดับล่ะก็…” จ้งชิงเจี้ยนส่ายหน้า
“พวกท่านไม่ต้องเถียงกัน อยู่กับข้าเหมาะสมที่สุด ข้าเอาใจใส่ศิษย์ดีที่สุด บวกกับข้าเคยรับศิษย์คล้ายๆ กันมาก่อนส่วนหนึ่ง จึงมีประสบการณ์อยู่บ้าง…” ป๋อหรูชิงสอดปากเข้ามา
แต่อู่โยวจื่อได้เล่าเรื่องแบบนี้ให้ลู่เซิ่งฟังระหว่างทางแล้ว
สำนักกระเรียนพิสุทธิ์ไม่เหมือนกับสำนักเต๋าเท่าไหร่เมื่อเทียบกับสำนักลัทธิอื่นๆ แต่เหมือนกับทำการค้ามากกว่า หากว่าใครกลายเป็นอาจารย์ของเยวี่ยฉินอ๋องซื่อจื่อได้ ภายหลังเยวี่ยฉินอ๋องจะต้องมีการตอบแทนอยางต่อเนื่องแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นในด้านการฝึกฝนหรือด้านการใช้ชีวิตก็ล้วนสะดวกสบายเหลือแสน
ถึงอาจารย์อาสองกับอาจารย์อาสามจะไม่เห็นด้วยกับการวู่วามรับศิษย์ ด้วยเกรงว่าจะทำลายชื่อเสียงของสำนัก แต่พอถึงเวลาสำคัญที่จะต้องรับศิษย์จริงๆ อย่างไรก็ต้องลงมือก่อน
หลังจากทั้งสามคนต่อรองกันสักพัก ในที่สุดตามวัยวุฒิ หลงเหอจื้อผู้เป็นเจ้าสำนักก็ได้สิทธิ์ให้ลู่เซิ่งกราบเป็นอาจารย์ก่อน
ทั้งสามคนสั่งให้เด็กรับใช้กับนักพรตคนอื่นๆ เตรียมสิ่งของที่จำเป็นสำหรับพิธีกราบอาจารย์หน้าเตาธูปในลานเรือนอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้เอง พลันมีเสียงกระเรียนเซียนร้องดังมาจากกลางอากาศ
กระเรียนขาวฝูงหนึ่งค่อยๆ กระพือปีกบินผ่านท้องฟ้าเหนืออารามไปอย่างเชื่องช้า บวกกับมีหมอกขาวที่วนเวียนอยู่กลางภูเขา ทำให้ดูน่าเกรงขามกว่าเดิม
หลงเหอจื้อได้ยินคำขอของลู่เซิ่งที่บอกว่าอยากจะเห็นวิชาเต๋าที่แท้จริงตั้งแต่แรกแล้ว ในฐานะผู้ที่มีพลังฝึกปรือสูงสุดในหมู่ยอดฝีมือทั้งสาม แม้ว่าคัมภีร์ปีกขาวจะไม่ได้มีวิชาเต๋า แต่ก็ยังใช้วิชาเต๋าธรรมดาๆ ได้สองสามอย่าง
พอเห็นกระเรียนขาวบินฉวัดเฉวียน เขาพลันยกที่ปัดฝุ่นขึ้นและกล่าวเสียงกระจ่าง
“วันนี้จะมีศิษย์ใหม่เข้าสำนัก เยวี่ยเหอ ยังไม่รีบลงมาพบศิษย์น้องอีก”
ลู่เซิ่งงุนงง เหลียวมองซ้ายขวา นอกจากนักพรตและเด็กรับใช้ธรรมดาที่สวมชุดนักพรตสีเทาส่วนหนึ่งที่อยู่รอบๆ แล้ว ก็ไม่มีใครคนไหนเข้ามาอีก
ขณะเขากำลังสงสัย อยู่ๆ บนท้องฟ้าก็มีเสียงร้องแกว๊กดังกระจ่าง เงาสีขาวสายหนึ่งโฉบลงมาแล้วทิ้งตัวลงด้านหน้าทุกคนอย่างแผ่วพลิ้ว
เป็นกระเรียนสีขาวตัวใหญ่ที่สูงถึงสองหมี่
กระเรียนขาวตัวนี้มีสองตาปราดเปรียว ยืนอยู่กับที่เหมือนมนุษย์ ไม่ใช่เพียงแค่เป็นนกธรรมดา มันค่อยๆ ก้าวสองขาที่เรียวยาวและตั้งตรงออกมาบนแผ่นหินหลายก้าว จากนั้นหมุนศีรษะไปใช้จะงอยยาวดึงขนเส้นหนึ่งใต้สีข้างออกมาแล้วส่งไปด้านหน้าลู่เซิ่ง
“จงรับไว้ นี่คือของขวัญพบหน้าที่เยวี่ยเหอมอบให้เจ้า” หลงเหอจื้อเอ่ยอย่างราบเรียบ
ลู่เซิ่งมองไปที่ขน จากนั้นก็มองกระเรียนขาว ยื่นมือไปจับขนไว้อย่างจริงจัง แล้วค่อยพนมมือคำนับกระเรียนขาว
“ขอบคุณศิษย์พี่”
“เจ้าควรเรียกว่าศิษย์พี่หญิง” หลงเหอจื้อแก้ให้
“ขอรับ ขอขอบคุณศิษย์พี่หญิงเยวี่ยเหอ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ขนสีขาวของเยวี่ยเหอมีผลทำให้จิตใจปลอดโปร่ง เจ้าสามารถใช้มันสงบจิตใจได้ตอนอ่านคัมภีร์ ฝึกวรยุทธ์ หรือบำเพ็ญคัมภีร์หลัก” อาจารย์อาสามจ้งชิงเจี้ยนเตือน
ลู่เซิ่งพยักหน้าพร้อมกับขอบคุณอาจารย์อาสาม
สำนักกระเรียนพิสุทธิ์มีผู้นำแค่สามคนและศิษย์อย่างเป็นทางการสิบห้าคน ส่วนใหญ่ไม่อยู่บนภูเขาลูกนี้ หากแยกย้ายเร้นกายฝึกฝนอยู่บนภูเขาแต่ละลูก
การฝึกฝนก็คือการเลี้ยงฝูงกระเรียนขาว
ต่อจากนั้นค่อยจัดพิธีรับศิษย์อยางเป็นทางการ โดยประทับตราประทับสำนักเต๋าของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ลงบนแขน บ่งบอกว่านับแต่นี้ลู่เซิ่งได้กลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์แล้ว
หลังจากเข้าสู่สำนักอย่างสมบูรณ์ หลงเหอจื้อค่อยให้ลู่เซิ่งกลับไปขัดเกลาจิตเต๋าเพื่อให้ดูเป็นการเป็นงานเสียหน่อย
เพียงแต่หลังจากลู่เซิ่งส่งเงินให้ห้าพันตำลึง จิตเต๋าของเขาก็สมบูรณ์ขึ้นไม่น้อย
ดังนั้นจึงได้รับการถ่ายทอดวิชากระเรียนพิสุทธิ์อันเป็นพื้นฐานสุดในหมู่สัจวิชาของสำนัก
วิชาหลักวิชานี้มีเพียงสามระดับ ไม่มีการแบ่งขอบเขต และไม่มีการแบ่งสูงต่ำ
ระดับสามระดับนี้พอจะฝืนแบ่งออกได้เป็นแค่เบื้องต้น ครอบครอง และสำเร็จเท่านั้น
ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวของสัจวิชาในสำนักก็คือ สัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์เหมือนกับวิชาฝึกฝนภายในวิชาหนึ่ง ยิ่งใครมีพลังยุทธ์ล้ำลึก คนผู้นั้นก็จะยิ่งมีขอบเขตสูง
หลังจากลู่เซิ่งได้รับการถ่ายทอดสัจวิชา ก็ได้รับการกำชับว่าให้ตั้งใจฝึก การฝึกฝนสัจวิชานี้ในขณะที่ขัดเกลาจิตเต๋าจะทำให้คนสมองปลอดโปร่ง ร่างเบาเหมือนนางแอ่น และแผ่วพลิ้วเหมือนกระเรียนขาว ทั้งยังต้านทานความเจ็บป่วยส่วนใหญ่ได้
เป็นเพราะวิชานี้เรียบง่ายสุดขีด ต้องอดทนฝึกฝนแรมเดือนแรมปีจึงจะสัมฤทธิ์ผล ดังนั้นหลังจากลู่เซิ่งได้วิชามา ก็พักอยู่ที่อารามหลายวัน จากนั้นก็กลับตำหนักอ๋องพร้อมอู๋โยวจื่อ
ส่วนคัมภีร์ปีกขาวอันเป็นแกนหลักของสำนัก นั่นเป็นสัจวิชาสูงส่งที่จะได้รับการถ่ายทอดก็ต่อเมื่อจิตเต๋าสมบูรณ์แล้ว
เป็นหนึ่งในคัมภีร์สำนักเต๋า เลยมอบให้ง่ายๆ ไม่ได้
ระหว่างทางขากลับ อู๋โยวจื่อสอนลู่เซิ่งอย่างตั้งใจว่า ถ้าไปฝึกฝนคัมภีร์สำนักเต๋าของจริงเข้าก่อนที่จิตจะถูกขัดเกลาจนสมบูรณ์ ก็เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่จะเกิดอันตรายถึงชีวิต
ลู่เซิ่งเองก็ไม่ได้ทำตัวดื้อด้าน การได้สัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์มาในครั้งนี้ถือว่าน่าพอใจแล้ว
เขามองทิศทางของพลังในสำนักเต๋าบนโลกใบนี้จากสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์ออกคร่าวๆ แล้ว
สิ่งที่โลกใบนี้เน้นคือการรวมฟ้าและคนให้เป็นหนึ่ง โดยหลอมรวมตัวเองเข้ากับธรรมชาติ แล้วอาศัยพลังของจักรวาลฟ้าดินดูดซับส่วนที่มีประโยชน์ต่อตัวเอง รวมถึงขจัดส่วนที่มีผลเสียในตัวออกไป ดั่งคำว่าปล่อยสิ่งเก่าดูดซับสิ่งใหม่ กำจัดสิ่งเก่าต้อนรับสิ่งใหม่
จากนั้นค่อยบรรลุถึงขอบเขตอยู่ร่วมกับฟ้าดินในตอนสุดท้าย
สิ่งที่สัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์นี้เน้นคือตั้งจิตสงบลมหายใจ เพื่อสำรวจอวัยวะหนึ่งที่มีชื่อว่าเนตรกำเนิดของตัวเอง
ตัวสัจวิชาบอกไว้ว่าการมองดูนี้มีชื่อว่าการกรอกจิต โดยกรอกจิตของตัวเองเข้าไปในเนตรกำเนิดนี้
สิ่งที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือ เนตรกำเนิดนี้ไม่ได้อยู่ข้างในตัว แต่ห้อยลงมาอยู่ตรงจุดซ้อนเกี่ยวระหว่างใต้คางกับทรวงอก
เนตรกำเนิดอยู่กลางความว่างเปล่านอกร่าง
วิชาที่ลู่เซิ่งเคยสัมผัสมาก่อนถ้าไม่ใช่ส่งผลต่อกายเนื้อของตัวเอง ก็เป็นการสังเกตจิตใจและรวบรวมความตั้งใจ เพิ่งจะเคยเจอวิชาที่อยู่ตรงตำแหน่งนอกร่างกายเป็นครั้งแรก