ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 670 สัจวิชา (2)
บทที่ 670 สัจวิชา (2)
พอกลับถึงตำหนักอ๋อง เป็นเพราะวิชาขัดเกลาจิตง่ายดายถึงขีดสุด ด้วยจิตวิญญาณขอบเขตลวงตาของลู่เซิ่ง ใช้เวลาแค่ครึ่งวันก็ใช้ได้โดยสมบูรณ์แล้ว แถมยังไปถึงระดับสำเร็จอีกด้วย
หลังจากที่กรอกจิตใจของตัวเองเข้าสู่เนตรกำเนิดด้านหน้าอย่างช่ำชอง ผ่านไปหลายวันก็ยังคงไม่เกิดอะไรขึ้น
อู๋โยวจื่อบอกไว้ว่า หากไม่มีพลังยุทธ์ล้ำลึกระดับห้าหกสิบปี ก็อย่าหวังว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายใดๆ
ลู่เซิ่งเลยหยุดกังวล แล้วหันเหสมาธิไปที่การค้นหาวิธีที่จะช่วยพลิกสถานการณ์ด้วยสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์
คัมภีร์ปีกขาวน่าจะเป็นสัจวิชาจริงๆ แต่อย่าคิดจะเอามาได้ในระยะเวลาอันสั้น ต่อให้มีเงินเยอะอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงิน หากเป็นสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ไม่กล้าถ่ายทอด ด้วยกลัวว่าจะเกิดอันตรายถึงชีวิตของลู่เซิ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วเยวี่ยอ๋องจะมาหาถึงที่
เพียงแต่นอกจากคัมภีร์ปีกขาวแล้ว คัมภีร์รองของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ก็ยังเป็นสิ่งที่ใช้เงินซื้อได้
ลู่เซิ่งใช้เงินของตัวเองไปจนเกือบหมดแล้ว เลยได้แต่ไป ‘หยิบยืม’ ตั๋วเงินราวสองหมื่นตำลึงจากญาติทางมารดา
โดยยืมเงินจากน้องชายของหนิงเหอ น้าของเขาให้เขายืมอย่างเต็มใจ ถึงขั้นไม่ต้องการให้เขาคืนเงินยืมด้วย
ตระกูลหนิงควบคุมการค้าแป้งน้ำของราชวงศ์เอาไว้ บอกว่าร่ำรวยเกือบระดับประเทศก็ไม่ถือว่าเกินเลย แม้ตั๋วเงินสองหมื่นตำลึงจะไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ แต่ใครให้คนที่ต้องการหยิบยืมเป็นหลานของตัวเองเล่า สถานะบุตรคนเดียวของเยวี่ยฉินอ๋องทำให้ทุกอย่างต่างไปจากเดิม
อย่าว่าแต่สองหมื่นตำลึงเลย ต่อให้เป็นสิบหมื่นยี่สิบหมื่นตำลึง ตระกูลหนิงก็ยินดีสนับสนุนสุดกำลัง
หลังจากได้เงินมาแล้ว ลู่เซิ่งก็รีบไปยังสำนักกระเรียนพิสุทธิ์อีกครั้งเพื่อมอบตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงให้ จากนั้นก็ได้คัมภีร์ต้นกำเนิดวิญญาณคู่อันเป็นคัมภีร์รองมา
คัมภีร์รองนี้จะต้องใช้พลังยุทธ์ของสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์กับคัมภีร์ปีกขาวเป็นพื้นฐาน ทั้งยังต้องเลือกลูกกระเรียนตนหนึ่งเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกับตัวเอง
วิธีการฝึกฝนไม่ได้ยาก โดยจะโน้มนำให้ลูกกระเรียนฝึกฝนคัมภีร์ต้นกำเนิดวิญญาณคู่ร่วมกับตัวเอง หลังจากบรรลุถึงขอบเขตจิตร่วมแล้ว กระเรียนเซียนจะมีพละกำลังแข็งแกร่งกว่าเดิม ทั้งยังตัวใหญ่ขึ้น นอกจากนั้นจะยังครอบครองคุณลักษณะวิญญาณของคน อีกทั้งยังฉลาดมากขึ้น
ส่วนคนจะได้รับจุดเด่นของกระเรียนเซียน ร่างกายว่องไวขึ้น สายตาดีขึ้น สองแขนมีพละกำลังมากขึ้น
หลังจากสองฝ่ายปรับตัวเสร็จ ก็จะต่อสู้ร่วมกันและประสานจิตวิญญาณกันได้
หลังจากได้คัมภีร์รองมา ลู่เซิ่งก็ผิดหวังอยู่บ้าง ต่อให้เคล็ดวิชาที่ต้องอาศัยวัตถุภายนอกประเภทนี้จะมีพลังทำลายอยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้สนใจเท่าไหร่
เพียงแต่นอกจากแก่นหยางกับด้ายกระตุ้นวิญญาณอันน้อยนิดในร่างแล้ว ก็ไม่มีวิธีการอะไรที่ใช้เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตัวเองอย่างรวดเร็วได้อีก
ถ้าหากเติบโตโดยใช้ระบบพลังของโลกใบนี้ได้ ก็ไม่ควรเผยสถานะความเป็นมาที่แท้จริงของตนง่ายๆ
ถึงอย่างไรเวลาของที่นี่ก็ไหลช้ามาก ที่นี่ผ่านไปสองปี ทางโลกมารสวรรค์เพิ่งผ่านไปหนึ่งวัน เขาขัดเกลาและฝึกฝนเพื่อทำความเข้าใจแก่นแห่งวัฏจักรได้อย่างเหลือเฟือ
หลังจากยืนยันแผนการต่อจากนี้แล้ว ลู่เซิ่งก็ไม่ได้ใช้ดีปบลูยกระดับวิชา หากแต่ตั้งใจฝึกฝนสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์อย่างว่าง่าย พลิกอ่านคัมภีร์เต๋าและตั้งใจอ่านตำราเป็นประจำทุกวัน
นอกจากนี้เขายังได้ใช้ด้ายกระตุ้นวิญญาณกับแก่นหยางปรับแต่งร่างกายอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไม่อาจปรับตัวเข้ากับกฎได้ จึงไม่สามารถส่งพวกมันออกมาด้านนอกร่างกายได้
แต่เป็นเพราะคัมภีร์ต้นกำเนิดวิญญาณคู่ ลูกกระเรียนตัวหนึ่งที่ลู่เซิ่งรับไว้ก็ได้รับผลกระทบจากคุณสมบัติร่างอันแข็งแกร่งของเขาทางอ้อม ไม่นานก็เติบโตจนแข็งแกร่งผิดปกติ
ไม่อยู่เหนือความคาดหมาย
ตอนที่ลู่เซิ่งขัดเกลาจิตใจ ฝึกฝนสัจวิชาอยู่ในตำหนัก ราชวงศ์ซีหยาก็ฟอนเฟะกว่าเดิม
พร้อมกับเวลาที่ผ่านไป หลายมณฑลที่ชายแดนพากันล่มสลาย ผู้คนทนความลำบากไม่ไหว จึงตั้งกองทัพชูธงลุกฮือ ไฟสงครามลุกลามไปทั่ว
เผอิญกับที่ต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ด้วย ผู้ประสบภัยพิบัติจำนวนมากถูกลัทธินอกรีตยั่วยุให้โจมตีแถบชานโจวซึ่งรุ่งเรืองที่สุดในราชวงศ์
เยวี่ยอ๋องเพิ่งกลับตำหนักได้ไม่กี่วัน ลู่เซิ่งยังไม่ทันได้สนทนากับบิดาดีๆ ก็ได้รับข่าวว่ามีพระราชโองการระหว่างทาง สั่งให้เขานำทัพไปปราบผู้ประสบภัยที่ก่อจลาจลในชานโจวต่อ
…
ตำหนักเยวี่ยอ๋อง ห้องเก็บตำรา
เยวี่ยอ๋องที่อายุเลยเลขหกแล้วนั่งอยู่บนตั่งไม้ มองดูบุตรชายเพียงคนเดียวที่โค้งตัวคารวะอยู่ด้านนอก ก่อนจะถอนใจยาวอย่างอดไม่ได้
“เหตุใดเจ้าจึงไปบำเพ็ญเต๋าซะแล้ว นักพรตเหล่านั้นจะต้องตัดขาดทางโลก ด้วยนิสัยของเจ้า ทนความเปลี่ยวเหงาไหวหรือ”
ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าสงบนิ่ง
“ความจริงนับเป็นการบำเพ็ญเต๋าไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ สำนักกระเรียนพิสุทธิ์ไม่ใช่สำนักเต๋าดั้งเดิมด้วยซ้ำ เพียงแต่อยากเพิ่มตัวเลือกก็เท่านั้น”
“โลกนี้น่ะ…ก็ได้ เจ้าตั้งใจฝึกไป ถ้าไม่ไหวก็ไปหลบที่เมืองบงกชพร้อมกับพวกน้าของเจ้า…อย่างไรก็ดีกว่ารอถูกผู้ประสบภัยโจมตีอยู่ที่นี่…” เยวี่ยอ๋องกล่าวอย่างจนปัญญา “ราชสำนักสั่งให้ข้าไปชานโจวแล้ว เจ้ากับแม่เจ้าระวังตัวไว้ด้วย เวลาเจอเรื่องอะไรให้ถามแม่ทัพอารักขาหยวน”
“พ่ะย่ะค่ะ ทราบแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
เยวี่ยอ๋องเพิ่งจะมีบุตรอย่างหวงจิ่วหลังอายุเลยเลขหกแล้ว ย่อมรักทะนุถนอมดุจสมบัติล้ำค่า คอยดูแลอยู่ในที่ลับเสียทุกเรื่อง
“แต่เสียดาย…ที่ไม่อาจอยู่กับพวกเจ้าได้…” เยวี่ยอ๋องยังพูดไม่ทันจบ ด้านนอกก็มีเสียงของข้ารับใช้ดังมา
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะราชโองการจากกรมกำกับดูแลมาถึงแล้ว! เป็นขันทีจากวังพ่ะย่ะค่ะ!”
ใบหน้าของเยวี่ยอ๋องเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น
“ไม่ไปได้หรือไม่” ลู่เซิ่งโพล่งถาม ปัจจุบันเกิดความโกลาหลไปทุกหย่อมหญ้า ต่อให้ไม่ฟังราชโอการจากจักรพรรดิแล้วจะเป็นอะไร
แม้แต่ขุนพลเทพก็ยังเอาตัวไม่รอด คอยช่วยดับไฟจนเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด
“ราชโองการยังดี…แต่คนที่อยู่เบื้องหลังผู้นั้นต้องการให้ข้าไป ข้าเลยต้องไป” เยวี่ยอ๋องยื่นมือไปตบบ่าลู่เซิ่ง จากนั้นก็เดินผ่านด้านข้างเขาไป
ลู่เซิ่งรีบติดตามไป คนสองคนรวมถึงข้ารับใช้และหญิงรับใช้อีกหลายคนไปถึงประตูใหญ่เพื่อต้อนรับขันทีจากกรมกำกับดูแลด้วยกัน
ขันทีแซ่เฉิน ชื่อจงหยวน อายุราวห้าสิบกว่าปี ครั้นเห็นเยวี่ยอ๋อง เขาก็ก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง ในดวงตาสีดำฉายสีเขียวเข้มแวบหนึ่ง
“ท่านอ๋อง รับราชโองการเถอะ เรื่องราวไม่อาจชักช้า โปรดออกเดินทางทันที”
ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านหลังเยวี่ยอ๋อง ทุกคนกำลังจะคุกเข่า แต่ขันทีโบกมือบอกให้ไม่ต้องคุกเข่ากราบกราน
ลู่เซิ่งอาศัยจังหวะตอนเยวี่ยอ๋องอ่านราชโองกางมองดูขันทีผู้นี้
จิตวิญญาณในขอบเขตลวงตาของเขาสัมผัสได้อย่างสบายๆ ว่า ในตัวของคนผู้นี้มีพลังงานลึกลับแข็งแกร่งบางอย่างซุกซ่อนอยู่
เปลือกนอกมองดูเหมือนคนธรรมดา แต่ภายใน…กลับแข็งแกร่งมาก!
เพียงแค่เพ่งจิตที่สายตาแล้วกวาดมองขันทีผู้นี้เล็กน้อย ลู่เซิ่งก็สัมผัสได้ทันทีว่ามีพลังคลุมเครือที่ไม่ชัดเจนสายหนึ่งซ่อนอยู่ในร่างอีกฝ่าย
พลังสายนี้แข็งแกร่งมาก อย่างน้อยถ้าฝึกฝนด้วยสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์ในตอนนี้ ต่อให้เขามีสักสองสามร้อยคนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายอยู่ดี
ถ้าหากวัดที่ระดับพลังเพียงอย่างเดียว เมื่อเปรียบเทียบกันดู จะเทียบเท่ากับระดับทวิลักษณ์ในโลกมารสวรรค์
ทว่าระดับทวิลักษณ์มีพลังคืนชีพอมตะที่แข็งแกร่ง แต่ไม่ทราบว่าพลังในร่างขันทีผู้นี้เป็นประเภทใด
ลู่เซิ่งจิตใจสั่นไหว เขาในตอนนี้ใช้พลังของร่างหลักไม่ได้ แถมร่างกายในตอนนี้ก็เป็นแค่ผู้ใหญ่ธรรมดาเท่านั้น
บางทีจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งอาจจะช่วยเขาควบคุมร่างกายให้แสดงพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าคนธรรมดากับระดับลักษณ์นั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่สามารถชดเชยได้เลย
สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าก็คือเรื่องอื่น ขันทีธรรมดาๆ คนหนึ่งถึงกับมีพลังระดับทวิลักษณ์ อย่างนั้นมหาราชครูหยางที่ควบคุมราชสำนักและราษฎรในตำหนักประทับ ยังมีฮองเฮาหลินที่ทำให้กฎราชสำนักวุ่นวายมีพลังแข็งแกร่งกว่าหรือไม่
และเทพที่ราชวงศ์บูชาหรือเซียนที่ลี้ลับเหล่านั้น มีพลังแข็งแกร่งถึงระดับไหนกันแน่
ลู่เซิ่งไตร่ตรองเรื่องราวมากมายในตอนที่เยวี่ยอ๋องรับโองการ
แต่เปลือกนอกไม่แสดงอะไรให้เห็น
“กระหม่อมน้อมรับพระมหากรุณาธิคุณ”
เยวี่ยอ๋องใช้สองมือรองรับราชโองการไว้แล้วลุกขึ้น
“ท่านอ๋อง การศึกเร่งด่วน ได้โปรดรีบดำเนินการเถอะ” ขันทียิ้มพร้อมกับเร่งรัด
“โปรดแจ้งต่อมหาราชครูว่า อ๋องน้อยจะให้ทหารม้าออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ทันที!” เยวี่ยอ๋องกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ประเทศและเจ้าแผ่นดินพึ่งพาการสนับสนุนจากรัฐบุรุษอย่างท่านอ๋องนี่เอง ข้าน้อยไม่รบกวนท่านแล้ว ขอกลับวังก่อน”
“ท่านขันทีระวังตัวด้วย”
ขบวนส่งราชโองการค่อยๆ หมุนตัวจากไป
เยวี่ยอ๋องที่กำราชโองการไว้สั่งให้คนปิดประตูเรือน
“จิ่งเอ๋อร์ หลังจากข้าไปถ้ามีเรื่องใหญ่อะไรให้ไปถามลุงหยวนของเจ้า ส่วนเรื่องเล็กให้ตัดสินใจเอง ถ้ามีเหตุเปลี่ยนแปลง ให้ปกป้องชีวิตของตัวเองไว้ก่อนโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด ได้ยินแล้วหรือยัง!”
“ลูกทราบแล้ว…” ลู่เซิ่งนึกเฉลียวใจ จึงถามว่า “เมื่อครู่ได้ยินท่านพ่อพูดถึงราชครูหยาง…”
“ขันทีผู้นั้นเป็นทูตของราชครูหยาง เขาออกหน้าให้ข้าเร่งออกเดินทางให้เร็วที่สุด ราชโองการนี้ไม่ต้องรับก็ได้ แต่คำสั่งของราชครูหยางไม่อาจไม่ทำ ต่อจากนี้ถ้าเจ้าเจอคนที่เกี่ยวข้องกับราชครูหยาง จะต้องระวังตัวเอาไว้ ห้ามล่วงเกินเด็ดขาด จงอย่าลืม!” เยวี่ยอ๋องกำชับอย่างละเอียด
“ลูกทราบแล้ว”
“ดีแล้ว เจ้าไปทำธุระเจ้าต่อเถอะ” เยวี่ยอ๋องโบกมืออย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ก่อนจะกลับไปยังห้องเก็บตำรา
ลู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไร หากหันไปมองทิศทางที่ขันทีคนนั้นจากไป
‘โลกใบนี้มีความลับมากมายจริงๆ…ระดับพลังไม่แน่ว่าจะต่ำกว่าโลกมารสวรรค์ จะต้องระวังตัวหน่อยแล้ว! คิดจะพลิกสถานการณ์ของอาณาจักร ดูเหมือนต้องวางแผนระยะยาว…’
เขานึกในใจ หลังจากยืนอยู่สักพัก จึงค่อยหมุนตัวไปยังตำหนักแยกของตน
หลังเข้าไปในตำหนัก หญิงรับใช้ด้านนอกก็หยุดนิ่ง นี่เป็นอาณาเขตที่ลู่เซิ่งห้ามไม่ให้คนอื่นๆ เข้าไป
เขาพลิกมือปิดประตูตำหนัก แล้วหมุนตัวเดินเข้าห้องนอน
กระเรียนขาวตัวน้อยที่สูงเท่าครึ่งคนตัวหนึ่งยืนก้มหัวดื่มน้ำอยู่ตรงมุมกำแพง พอเห็นลู่เซิ่งเข้ามา กระเรียนขาวก็เข้ามาคลอเคลียกับขากางเกงของเขาอย่างสนิทสนม
‘เวลาไม่รอแล้ว…’ ตอนแรกลู่เซิ่งอยากจะตั้งใจฝึกสัจวิชาให้ดี แต่สภาพการณ์ในตอนนี้ไม่อนุญาตให้เขาพัฒนาอย่างช้าๆ จริงๆ
อาณาจักรพร้อมจะล่มสลายได้ทุกเวลา ถ้าถึงเวลานั้นยังปกป้องครอบครัวของร่างจุติไม่ได้ คงจะอับอายขายขี้หน้าแล้ว
‘ดูเหมือน…ต้องโกงสักหน่อยแล้ว…’ เขาถอนใจเฮือกหนึ่ง
จากนั้นก็เดินไปปิดม่านข้างเตียง ก่อนจะหยิบดาบสั้นที่ยาวเท่าครึ่งคนเล่มหนึ่งออกมาจากบนผนังด้านใน
ฉึก!
ดาบถูกปักลึกลงไปในโต๊ะไม้และปักคาอยู่อย่างนั้น
‘สัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์…ขอดูหน่อยเถอะว่ามีประโยชน์อะไรกันแน่’
ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะยื่นมือไปกดบนตัวดาบเบาๆ
ซู่…เงาแสงที่ยากบรรยายจุดหนึ่งกระจายออกมาจากบนตัวดาบอย่างบิดเบี้ยว
ในขณะเดียวกัน ด้านในห้องนอนพลันเกิดระลอกคลื่นโปรงแสงกระเพื่อมขึ้น
ระลอกคลื่นค่อยๆ กระจายออกไปรอบด้าน โดยมีตัวดาบเป็นศูนย์กลาง
เวลาผ่านไปทีละนิด ความเร็วในการขยายตัวของระลอกคลื่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ลู่เซิ่งค่อยๆ หลับตาลง
ในตอนที่ระลอกคลื่นใกล้จะแตะโดนปลายจมูกของเขา เขาก็ยื่นมือไปแตะด้านหน้าอย่างฉับพลัน
ห้องสั่นไหวน้อยๆ ระลอกคลื่นสลายหายไป ค่ายกลลวงตาป้องกันพื้นฐานทำงาน ผ่านไปนานถึงเพียงนี้ เขาไม่ใช่ว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
‘ดีปบลู’
อินเตอร์เฟซสีฟ้าเด้งขึ้นมาด้านหน้าลู่เซิ่งอย่างฉับพลัน
เขามองข้ามกรอบวิชามากมายด้านบนสุดของอินเตอร์เฟซ แล้วหยุดมองบนกรอบใหม่สุดทันที
[สัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์: สำเร็จ พลังยุทธ์: 1 ปี (คุณสมบัติพิเศษ: น้ำหนักลดลง ความเร็วเพิ่มขึ้น สายตาดีขึ้น]
‘ขอดูหน่อยเถอะว่าสุดท้ายเนตรกำเนิดนี้จะมีประโยชน์อะไร’ ลู่เซิ่งกวาดตามองพลังอาวรณ์ที่เหลืออยู่แวบหนึ่ง เหลือไม่เยอะแล้ว จะต้องใช้ไปกับคมดาบ
ครั้นกดปุ่มปรับเปลี่ยน อินเตอร์เฟซก็สั่นไหวน้อยๆ
‘เรียนรู้สัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์’
พลังอาวรณ์ค่อยๆ ไหลเวียนพร้อมกับพรั่งพรูกระจัดกระจายไปทั่วร่างลู่เซิ่ง
เมื่อใช้ความรู้ด้านมรรคายุทธ์และประสบการณ์ของลู่เซิ่งในตอนนี้เป็นคลังข้อมูล การเรียนรู้สัจวิชาพื้นฐานของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์จึงง่ายดายเหลือแสน
เพียงแค่ไม่กี่อึดใจสั้นๆ กรอบก็ชัดเจนขึ้น ดีปบลูเรียนรู้ทิศทางการพัฒนาที่เหมาะสมที่สุดออกมาจากสัจวิชานี้โดยอัตโนมัติ
และถ้าหากวิชาได้รับการปรับปรุงจนเรียนรู้ไม่ได้อีก ค่อยยกระดับพลังยุทธ์โดยตรงแทน