ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 673 ก้าวย่าง (1)
บทที่ 673 ก้าวย่าง (1)
เจ้าสนขาวงุนงง
มันเคยเห็นกระเรียนเซียนและเผ่าพันธุ์ที่หลากหลายบนโลกใบนี้มามากมาย แต่กระเรียนเซียนที่เติบโตได้เร็วอย่างเสี่ยวอวิ๋น เพิ่งจะเคยพบเคยเจอเป็นครั้งแรก
มันได้ยินคำพูดของลู่เซิ่งแล้ว แต่มันไม่เชื่อ ถ้าหากบอกว่าการเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวอวิ๋นเมื่อก่อนหน้านี้อยู่ในขอบเขตปกติ อย่างนั้นความสูงเกือบสิบหมี่ในภายหลังก็อยู่ในระดับภูเขาลูกย่อมๆ แล้ว
นี่เป็นขนาดร่างกายในระดับแม่ทัพปีศาจทั่วไป
เผ่าปีศาจแบ่งเป็นปีศาจน้อย ภูตปีศาจ แม่ทัพปีศาจ และราชาปีศาจ แถมทุกๆ ระดับยังมีการแยกย่อยไม่น้อย
อย่างระดับปีศาจน้อยจะแบ่งระดับพลังฝึกปรือของตัวเองออกเป็น หลังกำเนิด ก่อนกำเนิด สมบูรณ์ และจำแลงกาย
หากปีศาจน้อยคิดจะผลัดเส้นเอ็นเปลี่ยนกระดูก ถ้าไม่ใช้เวลาสามปีห้าปีก็อย่าฝันถึงเลย และเมื่อเกิดสติปัญญาหลังจากเข้าสู่ระดับภูตปีศาจ ก็จะฝึกฝนวิชาโดยไม่ต้องอาศัยการฝึกฝนตามสัญชาตญาณอย่างเดียวได้
ขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์และสายเลือด ยิ่งสายเลือดแข็งแกร่ง ขั้นตอนนี้ก็ยิ่งใช้เวลานาน
สายเลือดของเผ่ากระเรียนขาวไม่นับว่าแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่นับว่าแย่เกินไป ใช้เวลาราวๆ สองร้อยปี
สูงขึ้นไปอีกจึงเป็นระดับแม่ทัพปีศาจ
เจ้าสนขาวอยู่ในระดับภูตปีศาจ ด้วยอายุหนึ่งร้อยกว่าปีในปัจจุบันของมัน นี่ถือเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่แล้ว
แต่เจ้ากระเรียนตัวข้างๆ นี่มันอะไรกัน
เจ้าสนขาวมองดูก็รู้ว่าเสียวอวิ๋นมีอายุไม่เกินสิบปี แต่ขนาดร่างกายนี้เป็นภูตปีศาจที่มีพลังฝึกปรือมากกว่าหลายร้อยปีขึ้นไป ถึงขั้นใกล้เคียงกับระดับแม่ทัพปีศาจด้วยซ้ำ
“คำพูดของท่านเป็นจริงหรือไม่” มันละสายตากลับมามองร่างของลู่เซิ่ง
ถ้าหากสิ่งที่อีกฝ่ายบอกเป็นความจริง อย่างนั้นโอกาสของมันก็มาถึงแล้ว
“ความจริงวางอยู่ตรงหน้า เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”
ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ถ้าใช้กระเรียนเซียนมากกว่าร้อยตัวได้อย่างเหมาะสม จะได้กำไรถึงขนาดไหน
พลังยุทธ์ของสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์ของเขาในตอนนี้ล้ำลึกสุดเปรียบปาน ผู้มีพลังยุทธ์เกือบแปดร้อยปีในสำนักกระเรียนพิสุทธิ์สามารถงอนิ้วนับได้
กอปรกับการเพิ่มพลังและหล่อเลี้ยงของด้ายกระตุ้นวิญญาณ การสร้างกระเรียนปีศาจอย่างเสี่ยวอวิ๋นเป็นจำนวนมากไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
“ข้าเชื่อว่าท่านทำให้กระเรียนเซียนตัวหนึ่งตัวใหญ่ขนาดนี้ได้ แต่ว่าพวกเรามีมากมาย ท่านคิดจะทำอย่างไร” เจ้าสนขาวมองแวบเดียวก็เดาออกทันทีว่าคนตรงหน้าต้องการสยบตนเอง จึงถือโอกาสกล่าวอย่างตรงไปตรงมาทันที
ลู่เซิ่งงุนงงเพราะนึกไม่ถึงว่าเจ้าสนขาวจะมีสติปัญญาสูงขนาดนี้
“ข้าย่อมมีวิธีของตัวเอง เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ เจ้ายินดีร่วมฝึกฝนวิญญาณคู่กับข้าหรือไม่”
คัมภีร์ต้นกำเนิดวิญญาณคู่เป็นเคล็ดวิชาหนึ่งที่มีความสำคัญมากในสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ เกิดว่าคนและกระเรียนเชื่อมจิตใจกันแล้ว อย่างนั้นไม่ว่าฝ่ายไหนจะดำเนินการบำเพ็ญ ก็จะทำให้ปราณจริงแท้ในร่างอีกฝ่ายโคจรไปด้วย
นี่เทียบเท่ากับมีเวลาบำเพ็ญเพิ่มขึ้นมาเท่าตัว และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สำนักกระเรียนพิสุทธิ์ดำรงอยู่มานาน อย่างไรคัมภีร์หลักของพวกเขาก็ย่ำแย่เกินไป
เจ้าสนขาวใคร่ครวญอย่างตั้งใจ
“หากว่าท่านทำให้กระเรียนขาวที่ข้าเลือกแข็งแกร่งและตัวใหญ่ขึ้นได้เหมือนเสียวอวิ๋น อย่างนั้นข้าจะขอนำเผ่าศิโรราบต่อท่านโดยสิ้นเชิง”
“ไม่มีปัญหา” ลู่เซิ่งยิ้ม
ผ่านไปราวสิบนาที เจ้าสนขาวก็เลือกกระเรียนขาวตัวน้อยที่ไม่สูงไม่ต่ำไม่อ้วนไม่ผอมตัวหนึ่งออกมาให้ลู่เซิ่ง
“ต้องการเวลาเท่าไหร่”
“สี่วันเหมือนกัน” ลู่เซิ่งตอบอย่างรวบรัด
เขารับกระเรียนขาวน้อยไว้ ก่อนจะหมุนตัวพาเสี่ยวอวิ๋นไปจากลำธาร
เดินออกมาไม่ไกลเท่าไหร่ ลู่เซิ่งก็เจอถ้ำทิ้งร้างแห่งหนึ่งที่หมีเคยมาใช้จำศีลบนหน้าผาที่อยู่ไม่ไกลออกไป
หากเดินเข้าไปด้านในเรื่อยๆ คล้ายกับจะทอดยาวไปถึงโพรงถ้ำใต้ดิน
เขาปล่อยกระเรียนขาวตัวน้อยลงแล้วจัดวางค่ายกลลวงตาที่เรียบง่ายไว้ในถ้ำ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตด้านในด้านนอกแยกแยะทิศทางไม่ได้ จะเข้าจะออกจะต้องได้รับการอนุญาตจากเขาก่อน
หลังจากจัดเตรียมงานเรียบร้อย ลู่เซิ่งก็ค่อยเริ่มปรับเปลี่ยนกระเรียนขาวน้อยอย่างเป็นทางการ
ความจริงกระบวนการปรับเปลี่ยนเรียบง่ายมาก สิ่งที่มีความดีความชอบในการเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวอวิ๋นคือด้ายกระตุ้นวิญญาณ
ลู่เซิ่งแบ่งด้ายกระตุ้นวิญญาณที่มีน้อยออกมาทีละนิดๆ เพื่อหลอมรวมเข้ากับคัมภีร์ต้นกำเนิดวิญญาณคู่และปราณจริงแท้ในสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ที่จะแลกเปลี่ยนกับกระเรียนขาว ให้สองวิชานี้ไหลเวียนไปมาหนึ่งคนหนึ่งกระเรียน
อันที่จริงด้ายกระตุ้นวิญญาณไม่อาจใช้ห่างตัวได้ แต่ว่าก็ยังปรับปรุงส่วนภายในผ่านการแลกเปลี่ยนปราณจริงแท้ได้อยู่
ด้ายกระตุ้นวิญญาณกับสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ที่ได้รับการปรับปรุงและเรียนรู้ทับซ้อนกัน กระเรียนขาวตัวน้อยตัวโตขึ้นด้วยความเร็วสูงราวกับเป่าลม
ผ่านไปแค่สองวัน กระเรียนขาวตัวน้อยโตขึ้นจนสูงถึงสองหมี่กว่าๆ แล้ว ตอนแรกมันยังเชื่อฟังลู่เซิ่งแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ตอนนี้กลับยอมรับนับถือลู่เซิ่งโดยสมบูรณ์แล้ว
สิ่งมีชีวิตเรียบง่ายแบบนี้เอง ถ้าท่านแข็งแกร่ง มันก็พร้อมจะนับถือท่าน ถ้าอ่อนแอ ก็ต้องถูกยึดครองและสะกดไว้โดยสัญชาตญาณ
หลังจากแสดงการเปลี่ยนแปลงของกระเรียนขาวน้อยให้เห็นและได้รับการยืนยันจากเจ้าสนขาวแล้ว ลู่เซิ่งก็รับช่วงควบคุมฝูงกระเรียนมากกว่าร้อยตัวต่อ
ภายใต้การข่มขวัญของเสี่ยวอวิ๋น และภายใต้การปลอบประโลมของเจ้าสนขาว ไม่นานฝูงกระเรียนก็ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ที่ลู่เซิ่งจะนำพามาให้พวกมัน
ลู่เซิ่งใช้เวลาหนึ่งวันครึ่งขอให้เจ้าสนขาวสอนภาษาสื่อสารระหวางกระเรียนเซียนให้
หลังจากพอจะพูดได้แล้ว เขาก็เริ่มเตรียมแผนการทันที
…
ด้านนอกตำหนักเยวี่ยอ๋อง
ในห้องส่วนตัวชั้นที่สามของเหลาสุราธาราแพร หยวนจีคงที่ยิ้มอย่างหนักใจนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหญิงงามที่สีหน้าไม่เป็นมิตรสองคน
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าพี่จิ่งของพวกเจ้าไปไหน ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าจะไปบำเพ็ญเต๋า จากนั้นก็เดินทางขึ้นเขา ตอนนี้อยู่ไหนกันแน่ไม่มีใครหาเจอ และไม่มีวิธีตามหาด้วย!”
หญิงสาวทั้งสองคน สวยกันคนและแบบ คนหนึ่งมีส่วนโค้งเว้าชัดเจน เอวคอดจนใช้แขนข้างเดียวโอบได้ สวมกระโปรงผ้าไหมตัวยาวสีแดงก่ำที่มีรอยยับ สองขาข้างใต้ชายกระโปรงรัดถุงน่องสีขาวราวหิมะอันเนียนละเอียด ผมสีแดงยาวถึงเอว กอปรกับต่างหูอัญมณีจันทร์เสี้ยวครู่หนึ่ง จึงให้มีความรู้สึกร้อนแรงหมดจด
อีกคนมีบุคลิกบริสุทธิ์ สวมกระโปรงยาวเสื้อขาว เนื่องจากเป็นเพราะรัดติ้วเกินไป กระโปรงยาวสีดำจึงขับให้สะโพกเรียวยาวและแน่นตึงขึ้น
นางใช้พัดทรงกลมสีขาวปิดบังปากแดงจิ้มลิ้มไว้ ผมที่เหมือนกับผ้าต่วนยาวระบ่า ดวงตาลูกท้อจ้องมองหยวนจี้คงอย่างสง่างามและสุขุม
ทั้งสองคนนี้เป็นน้องสาวแท้ๆ ของหยวนจี้คง คนที่มีรูปร่างอุดมสมบูรณ์ชื่อหยวนหลิ่วหลิ่ว คนขายาวชื่อหยวนย่วนย่วน
ชื่อของทั้งสองคนนี้ตั้งได้น่าประหลาดมาก ล้วนได้มาจากมารดาของพวกนาง
สตรีทั้งสองกับหยวนจี้คงไม่ได้เกิดมาจากมารดาคนเดียวกัน หยวนจี้คงเป็นลูกคนโต เป็นหัวหน้าของบ้าน ส่วนสตรีสองนางนี้เกิดจากอนุคนที่สามของแม่ทัพอารักขาหยวน
อนุคนนั้นมีรูปร่างหน้าตางดงามเหนือใคร แต่ชาติกำเนิดดันย่ำแย่ มาจากตระกูลฆ่าสัตว์ที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน ที่น่าโชคดีก็คือ นางแต่งงานตอนที่แม่ทัพอารักขาหยวนยังไม่ได้ลงหลักปักฐาน บิดาของหยวนจี้คงเป็นคนให้ค่ากับน้ำใจมาโดยตลอด จึงไม่ได้ละทิ้งอนุ หากพาพวกนางมาอยู่ใต้การปกครองของตำหนักเยวี่ยอ๋องเหมือนกัน แล้วกลายเป็นแม่ทัพอารักขาในอาณาเขตของตำหนักอ๋อง
“หลิ่วหลิ่ว ย่วนย่วน ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าพี่จิ่งของพวกเจ้าไปอยู่ไหน ถ้าอยากจะตามหา เจ้าลองไปถามคุณชายใหญ่ตระกูลหนิงเอาเองเถอะ เขาจะต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ ว่ากันว่าสำนักที่ซื่อจื่อเข้าร่วมมีความสัมพันธ์กับนักพรตคนหนึ่งในบ้านพวกเขา”
หยวนจี้คงโยนความรับผิดชอบออกไปทันที ถ้าหากโดนน้องสาวสองคนตามจิกเรื่องนี้จริงๆ อย่างนั้นวันเวลาต่อจากนี้ไปก็อย่าได้อยู่เป็นสุขเลย
“ท่านพูดความจริงหรือ!?” หยวนหลิ่วหลิ่วลุกพรวด หน้าอกหน้าใจอันใหญ่โตส่ายไปมา หยวนจี้คงเห็นดังนั้นก็รีบเบือนสายตาหนี
“ใครจะกล้าหลอกพวกเจ้า” หยวนจี้คงกล่าวอย่างจนปัญญา น้องสาวสองคนนี้จะทำตัวสงบเสงี่ยมต่อหน้าเด็กน้อยหวงจิ่ง แต่ยามอยู่ด้านนอกคือร่างทรงจอมมารโดยแท้
“ถ้ากล้าหลอกข้า ข้าจะไปฟ้องท่านพ่อ บอกว่าท่านขืนใจน้องสาวแท้ๆ!” หยวนหลิ่วหลิ่วหัวเราะเย็นชาพลางกอดอก
นางพาดขาคู่งามที่รัดถุงน่องบางสีขาวบริสุทธิ์ขึ้นบนโต๊ะ อาณาเขตน่าหลงใหลถูกกระโปรงยาวสีดำอำพรางไว้จนเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวสูญหาย ทำให้หยวนจี้คงไม่กล้ามองดู
“นายหญิงทั้งสอง ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาไปไหน!” หยวนจี้คงร้องอุทธรณ์
น้องสาวแท้ๆ สองคนนี้รักชอบหวงจิ่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว แถมยังสืบทอดนิสัยขี้ฉุนเฉียวมาจากมารดาของพวกนางด้วย
เวลาอยู่ต่อหน้าหวงจิ่งหรือผู้อาวุโสจะทำตัวสงบเงียบน่ารักเหมือนนกน้อยแอบอิงคน แต่ถ้าอยู่กับคนอื่นๆ ก็จะทำตัวร้ายกาจอำมหิตและน่ากลัวเหมือนเสือทันที
“ข้าจะยอมเชื่อท่านสักครั้ง!” หยวนหลิ่วหลิ่วแค่นเสียง “อีกประเดี๋ยวถ้าพวกเราหาเบาะแสจากตระกูลหนิงไม่เจอ จะมาคิดบัญชีกับท่านอีกรอบ!” นางผลักเก้าอี้ออก ก่อนจะสาวเท้าเดินไปยังนอกประตู
“พี่ใหญ่ ไม่ใช่พวกน้องไม่เชื่อพี่นะ แต่พี่จิ่งหายตัวไปตั้งนาน พวกเรากลัวว่าเกิดเขาถูกปีศาจจิ้งจอกลักพาตัวไปจะแย่เอา” หยวนย่วนย่วนที่ยังอยู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ย่วนย่วน ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วยนะ แต่ข้าพี่ใหญ่ไม่รู้จริงๆ!” หยวนจี้คงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา หากว่ากันจริงๆ คนที่เขากลัวยิ่งกว่ากลับเป็นน้องเล็กที่สุขุมบริสุทธิ์ตรงหน้าผู้นี้
น้องสาวสองคนนี้ยืนกรานจะแต่งกับหวงจิ่งให้ได้ เพื่อจะไปเป็นชายาในอนาคตอะไรนั่น
แต่คิดดูให้ละเอียด สถานะ ชาติกำเนิด รวมถึงคุณสมบัติและบุคลิกของพวกนางล้วนไม่เหมาะกับมาตรฐานชายาของเยวี่ยฉินอ๋องเลย
หยวนจี้คงปวดหัวมาโดยตลอด
หวงจิ่งมาเป็นแขกที่บ้านเขาหลายครั้ง ขณะกำลังจะค้างคืน ก็จะพบว่าในห้องนอนมีน้องแท้ๆ ของหยวนจี้คงทั้งสองคนเปลือยกายรออยู่
นี่น่าตกใจแทบตายจริงๆ
ถึงแม้หวงจิ่งจะไม่ได้กลัวนารี แต่ว่าพี่น้องสองคนอย่างหยวนหลิ่วหลิ่วกับหยวนย่วนย่วนไม่ใช่เด็กสาวธรรมดา เพราะพวกนางเป็นแก้วตาดวงใจของแม่ทัพอารักขาหยวน
ถ้าหากติดกับ ต่อให้ไม่อยากแต่งก็ต้องแต่ง
เป็นเหตุให้สุดท้ายหวงจิ่งไม่กล้าแม้แต่จะเข้าบ้านของเขา ทั้งคู่จึงได้แต่สร้างรหัสลับขึ้นเพื่อติดต่อกันภายนอก
“แต่อยู่ดีๆ พี่จิ่งจะไปฝึกบำเพ็ญเต๋าเพื่ออะไร นักพรตและยอดคนในตำนานล้วนลี้ลับพิสดาร เดี๋ยวโผล่มาเดี๋ยวหายตัว ถ้าหากไปแล้วไม่กลับมาล่ะก็…” หยวนย่วนย่วนขมวดคิ้วดำอย่างกังวลเล็กน้อย
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าว่าไม่เกินสองเดือนเด็กน้อยหวงจิ่งจะต้องรับรสชาติจืดชืดไม่ไหวจนหนีกลับตำหนักอ๋องแน่” หยวนจี้คงเค้นยิ้มพลางกล่าวปลอบ
“หวังว่าจะเป็นแบบนั้น” หยวนย่วนย่วนลุกขึ้นเตรียมจะออกไป
“จริงสิย่วนย่วน” อยู่ๆ หยวนจี้คงก็เรียกนาง “ครั้งก่อนท่านพ่อเรียกเจ้าไป จะให้เจ้าช่วยงานอะไรอีกแล้วหรือ”
หยวนย่วนย่วนนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า
“ยังดี เพียงแต่ให้ข้าช่วยฝึกองครักษ์หญิงเท่านั้น”
หยวนจี้คงอ้าปากอยากพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
เขาไม่ได้กลัวน้องสาวแท้ๆ สองคนนี้เพราะพวกนางร้ายกาจอำมหิตเท่านั้น สิ่งสำคัญยิ่งกว่าก็คือ สองคนนี้เป็นแม่ทัพหญิงในกองทัพตัวจริงเสียงจริง!
หยวนหลิ่วหลิ่วที่อายุมากกว่าเชี่ยวชาญการใช้หอกสั้นหอกยาว ไม่ว่าจะเป็นความสามารถสู้รบทางราบหรือความสามารถสู้รบทางอาชา ล้วนเป็นแม่ทัพเก่งกาจอันดับหนึ่งอันดับสอง แม้จะดูอ่อนแอ แต่พอลงมือจริงๆ แม้แต่บิดาของเขาก็ยังเสียเปรียบด้านพละกำลัง
ส่วนหยวนย่วนย่วนที่อายุน้อยกว่าใช้กระบองแบ่งวารีคู่หนึ่ง ท่าร่างคล่องแคล่วปราดเปรียว และรวดเร็วจนน่าตกใจ เคยลอบสังหารขุนศึกและขุนนางฝ่ายบุ๋นที่หมายหัวบิดาของตนมาแล้วหลายราย
คนนอกไม่ทราบ แต่หยวนจี้คงกลับรู้ดีว่า สามปีก่อนหยวนย่วนย่วนใช้เงินออมของตัวเองรับสมัครบุคคลมีความสามารถและสร้างองค์กรมือสังหารเร้นลับขึ้นมา
นางเป็นคนบ่มเพาะสมาชิกด้วยตัวเอง นักฆ่าที่องค์กรนี้บ่มเพาะได้เข้าร่วมศึกใหญ่ที่เยวี่ยอ๋องเป็นผู้นำมาแล้วหลายครั้ง หนำซ้ำยังเกิดประโยชน์สำคัญอีกด้วย
“ท่านไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นหรอก ช่วยข้าหาพี่จิ่งกลับมาจึงเป็นเรื่องสำคัญ!” หยวนย่วนย่วนผลักประตูเดินเอื่อยๆ ออกไป ไม่นานก็หายไปจากทางเดินด้านหน้าประตู