ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 675 ถ้ำราชากระเรียน (1)
บทที่ 675 ถ้ำราชากระเรียน (1)
ครั้งนี้ลู่เซิ่งใช้เวลาสามวันไปกับการเปลี่ยนแปลงเจ้าสนขาว โดยใช้ปราณจริงแท้ของสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ที่หลอมรวมกับด้ายกระตุ้นวิญญาณ บวกกับการผ่าตัดซึ่งใช้เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณปรับปรุงในระดับอณูอย่างแม่นยำ
กระบวนการปรับปรุงเจ้าสนขาวจบลงอย่างราบรื่น หลอมรวมด้ายกระตุ้นวิญญาณไปทั้งหมดสามครั้ง ทุกครั้งมีมากกว่าสามเส้น
เลือดลมจำนวนมากห่อหุ้มเจ้าสนขาวเป็นก้อนเนื้อสีแดงกลุ่มหนึ่ง ซึ่งค่อยๆ หดตัวสลับกับพองขยายอยู่ในส่วนลึกของถ้ำ
ลู่เซิ่งยังได้ใช้เวลาว่างปรับเปลี่ยนกระเรียนขาวร่างกำยำอีกตัวในฝูงกระเรียนเป็นปีศาจกระเรียนระดับภูตปีศาจด้วย
จนถึงตอนนี้ ฝูงกระเรียนมีกระเรียนขาวระดับภูตปีศาจสามตัว เสี่ยวอวิ๋นถึงขั้นเข้าใกล้ระดับแม่ทัพปีศาจแล้ว
การที่เผ่าพันธุ์เล็กๆ ทั่วไปมีภูตปีศาจตัวหนึ่งได้ก็นับว่าแข็งแกร่งสุดเปรียบปาน
ถ้าหากไม่เจอนักพรตที่อยู่เบื่อๆ แล้วนึกอยากสังหารปีศาจกำจัดมาร เกรงว่าสามารถมีชีวิตอยู่ได้มากกว่าหลายร้อยหลายพันปีโดยไม่มีปัญหา
ไม่อย่างนั้นจอมปีศาจที่อยู่มาเป็นพันเป็นหมื่นปีพวกนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ลู่เซิ่งคาดการณ์ว่า เจ้าสำนักหลงเหอจื้อกับศิษย์น้องสองคนที่เหลือของสำนักกระเรียน มีพลังฝึกปรือเหนือกว่าระดับภูตปีศาจนิดหน่อย อาจจะไปถึงระดับแม่ทัพปีศาจแล้วก็ได้
การใช้ปีศาจกระเรียนสามตัวเป็นหลักฐานไปเกลี้ยกล่อมพวกเขาจะต้องทรงประสิทธิผลถึงขีดสุด
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบวัน หรือก็คือถึงเวลาที่นักพรตคนนั้นบอกว่าจะมาตรวจดูแล้ว
ในเวลาสองสามวันที่เหลือ ลู่เซิ่งสร้างกระเรียนปีศาจระดับภูตปีศาจสำเร็จอีกหนึ่งตัว เมื่อบวกรวมกับก่อนหน้า ก็จะมีปีศาจกระเรียนทั้งหมดสี่ตัว
เมื่ออยู่ในเขตรกร้างของป่า ก็ถือว่าเป็นขุมกำลังเผ่าปีศาจขนาดเล็กที่ไม่อ่อนแอได้แล้ว
ตอนที่นักพรตผู้ประสานงานมาถึง ก็เห็นลู่เซิ่งกำลังตรวจสุขภาพเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บภายในและโรคภัยให้แก่กระเรียนเซียนสองตัวเข้าพอดี
“ถึงเส้นตายแล้ว ดูเหมือนศิษย์น้องจะทำสำเร็จแล้ว ไม่ต้องตรวจก็ได้!” พอนักพรตเห็นฝูงกระเรียนดื่มน้ำและเดินเล่นรอบๆ ตัวลู่เซิ่งเหมือนไม่มีเรื่องราวใด ก็อุทานตกใจ
“ในเมื่อไม่มีปัญหา อย่างนั้นข้าเตรียมจะไปพบพวกอาจารย์และอาจารย์อาเสียหน่อย” ลู่เซิ่งลุกขึ้นและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องตามสบาย ข้าจะไปเปิดผนึกค่ายกลก่อน” นักพรตว่าพลางก้มคารวะ
“ตกลง ขอบคุณมากขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า ก่อนจะมองส่งนักพรตจากไป
รอจนไม่เห็นเงาคนแล้ว เขาค่อยหมุนตัวไปมองกระเรียนปีศาจสี่ตัวที่เดินออกมาจากในฝูงกระเรียน
“เสี่ยวเจิน เสี่ยวอวิ๋น เสี่ยวอวี่ เสี่ยวหรง ครั้งนี้ฝากพวกเจ้าด้วย”
“ท่านพ่อไม่ต้องห่วง พวกเราจะพยายามอย่างสุดกำลัง!” กระเรียนปีศาจสี่ตัวสูงสองหมี่กว่าๆ ต่างใช้พลังปีศาจหดร่างของตัวเองลง
เปลือกนอกดูไม่ต่างจากกระเรียนเซียนทั่วไป แต่ความจริงพวกมันสามารถคืนกลับสู่ร่างมโหฬารในตอนแรกผ่านการปล่อยพลังปีศาจได้ตลอดเวลา
“เสี่ยวอวิ๋นอยู่นี่คอยดูแลฝูง ส่วนอีกสามตัวตามข้ามา” ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย แล้วทิ้งกระเรียนปีศาจไว้ตัวหนึ่ง จากนั้นก็พากระเรียนปีศาจสามตัวมุ่งหน้าไปยังอารามอย่างรวดเร็ว
…
หน้าอารามสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ นักพรตวัยเยาว์หาวในขณะที่นั่งบนม้านั่งตัวน้อยเพื่อเฝ้าประตูใหญ่
ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า เส้นแสงยังคงอบอุ่นจนทำให้คนที่โดนแสงส่องใส่อดสัปหงกไม่ได้
ขณะที่นักพรตน้อยกำลังจะหลับ อยู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าอันชัดเจนดังมาจากที่ไกลเบาๆ
นักพรตน้อยเงยหน้าขึ้นมอง
เพียงมองแค่แวบเดียว เขาพลันลืมตาโตและอ้าปากเล็กน้อยด้วยสีหน้าตะลึงงัน
ใต้อาทิตย์อัสดง บุรุษร่างกำยำคนหนึ่งพาชายฉกรรจ์สูงใหญ่ที่มีศีรษะเป็นกระเรียนเซียนสามคนเดินมาทางอารามทีละก้าวๆ
“นั่น…นั่นมัน…!” แม้นักพรตน้อยจะไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง แต่ตำนานก็ได้เล่าไว้ว่า สัตว์ประหลาดที่มีหัวเป็นสัตว์แต่ตัวเป็นคนจะต้องเป็นภูตปีศาจจำแลงกายในตำนานอย่างแน่นอน!
“ปี…ปีๆๆๆๆๆ…!” นักพรตน้อยลุกขึ้นตะโกนขณะที่ลิ้นพันกัน
โครม!
ยังไม่รอให้เขาได้สติ นักพรตน้อยอีกคนที่อยู่อีกฝั่งของประตูก็หมุนตัวหนีไปแล้ว
“เจ้าสำนัก! เจ้าสำนัก!” นักพรตน้อยอีกคนพุ่งเข้าไปพร้อมกับร้องโวยวาย
หลงเหอจื้อกำลังถือพู่กันฝึกเขียนอักษรอย่างตั้งใจ อยู่ๆ ได้ยินเสียงร้องจากด้านนอก ทำให้มือสั่นจนหมึกหยดใหญ่กระจายลงใส่กระดาษขาว
“เอะอะโวยวายอะไรกัน!?” หลงเหอจื้อลุกขึ้นตวาดอย่างหงุดหงิด
นักพรตน้อยคนหนึ่งรีบเคาะประตูเข้ามา
“นายผู้เฒ่าเจ้าสำนัก ศิษย์พี่เฮ่อเจินที่เพิ่งเข้าสำนักกลับมาแล้ว…เขา…เขา…”
“เขาอะไร พูดสิ” หลงเหอจื้อวางพู่กันลงอย่างรำคาญ
นักพรตน้อยติดอ่าง พูดไม่เข้าใจ
“เขาพา…เขาได้พา… มาแล้ว!”
หลงเหอจื้อเอือมระอา เด็กน้อยนี่ใช้เวลานานสองนานก็ยังพูดไม่เข้าใจ เขาเลยดึงชุดนักพรตลง แล้วสาวเท้าออกจากห้องเก็บตำรา
เพิ่งจะเดินถึงประตูเรือน พอมองออกไปเท่านั้น หลงเหอจื้อก็หน้าซีด
เขาชะงักฝีเท้าแล้วหมุนตัวกลับมาปิดประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบเปลี่ยนเป็นชุดนักพรต จากนั้นก็สั่นกระดิ่งเตือนภัย
เต๊งๆๆๆ!
ไม่นานนักอารามทั้งอารามก็ตื่นตัว นักพรตทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กทั้งคนชราพากันถือดาบ หอก และกระบองพุ่งมาถึงประตูใหญ่เหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ
ส่วนเจ้าสำนักหลงเหอจื้อซึ่งถือที่ปัดฝุ่นด้ามสำริดและสวมชุดนักพรตยันต์แปดทิศสีทองม่วง โถมออกมาใหม่ด้วยสภาวะดุร้าย
อาจารย์อาสามเจิ้งชิงเจี้ยนถือกระบี่คู่ติดตามอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ขบวนคนกระโจนไปถึงหน้าประตูใหญ่
“ผู้มาเป็นใคร!” หลงเหอจื้อตวาด
คนที่อยู่ไกลออกไปเห็นปีศาจกระเรียนร่างกำยำที่มีหัวเป็นกระเรียนตัวเป็นมนุษย์สามตัวที่ยืนอยู่ด้านหลังเฮ่อเจินเต้าหยินแล้วเช่นกัน
ก่อนหน้านี้หลงเหอจื้อมองไม่ชัด แต่ตอนนี้พอเดินเข้าใกล้จึงค่อยเห็นว่า นี่เป็นปีศาจกระเรียนขาวสามตัวที่จำแลงกายมาจริงๆ
สามตัวเรอะ!?
หลงเหอจื้อหวาดกลัว ดูจากพลังฝึกปรือแล้ว ตัวเขารับมือปีศาจกระเรียนจำแลงกายสองตัวในนั้นได้ แต่ถ้าสู้จริงก็บอกได้ยากแล้ว
โดยเฉพาะถึงแม้เผ่าปีศาจจะมีจุดอ่อนไม่น้อย แต่เกิดจำแลงกาย จุดอ่อนของพวกมันก็จะได้รับการชดเชย ส่วนจุดแข็งของตัวเองก็จะแกร่งขึ้นอย่างใหญ่หลวงด้วย
เผ่าปีศาจที่จำแลงกายมักจะเปลี่ยนความสามารถที่ตัวเองเชี่ยวชาญที่สุดเป็นวิชาปีศาจที่ช่ำชองที่สุด
และวิชาปีศาจแบบนี้ก็สามารถใช้จริงได้อย่างทรงประสิทธิภาพเสียด้วย
ดังนั้นหากสู้กันจริงๆ จะตัดสินผลแพ้ชนะโดยอาศัยแค่พลังฝึกปรือไม่ได้
หลงเหอจื้อกวาดตามองศิษย์น้องเจิ้งชิงเจี้ยนที่อยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง ตอนนี้ได้แต่หวังให้ศิษย์น้องรับมือปีศาจกระเรียนตัวหนึ่งในนี้ได้ ไม่อย่างนั้น…
เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าในรัศมีพันลี้นี้มีเผ่าปีศาจขนาดเล็กไม่กี่เผ่าเท่านั้น มีภูตปีศาจได้สักตัวก็ถือว่าเก่งแล้ว
แต่ว่าขณะนี้ ภูตปีศาจสามตัวยืนอยู่หน้าประตู…เหตุใดจึงไม่ได้ข่าวอะไรเลย
ลู่เซิ่งเหลียวมองรอบๆ ก่อนจะยิ้มอย่างกระดากใจ
“ขออภัยด้วยขอรับ อาจารย์ สามคนนี้ไม่ใช่ศัตรู ศิษย์มีธุระต้องการคุยกับอาจารย์ ไม่ทราบขอเข้าไปคุยใกล้ๆ ได้หรือไม่”
แค่มองจากการจัดกลุ่ม ลู่เซิ่งก็ทราบแล้วว่าคนกลุ่มนี้เข้าใจผิด แต่เขาจะเผยความสามารถด้านการสร้างเผ่าปีศาจไม่ได้เช่นกัน เลยบอกตรงๆ ไม่ได้
หลงเหอจื้อมองลู่เซิ่งอย่างละเอียด ครู่ต่อมาจึงค่อยโบกมือให้คนอื่นปล่อยให้ผ่านไป
ลู่เซิ่งให้ปีศาจกระเรียนสามตัวหยุดอยู่ด้านนอก ส่วนตนกับอาจารย์เข้าไปคุยกันในห้องเก็บตำรา
ปีศาจกระเรียนสามตัวยืนอยู่นอกประตูอย่างมีระเบียบ น่าเกรงขามราวกับทวารบาล
ตอนนี้มีคนไม่น้อยจำได้แล้วว่าลู่เซิ่งเป็นใคร เป็นเฮ่อเจินศิษย์สืบทอดสายตรงที่พวกเจ้าสำนักเพิ่งรับเข้ามา หรือก็คือซื่อจื่อแห่งตำหนักเยวี่ยอ๋องที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งนั่นเอง
พอทุกคนเห็นปีศาจกระเรียนสามตัวนี้ติดตามลู่เซิ่งอย่างเชื่อฟัง แถมตอนนี้ยังเฝ้าอยู่หน้าประตูไม่อนุญาตให้ใครเข้าออก ในใจต่างแตกตื่นสงสัยไม่คลาย
หลังจากทั้งสองเข้าไปในห้องเก็บตำราแล้วก็ปิดประตู
หลงเหอจื้อมองลู่เซิ่ง
“ไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง ปีศาจกระเรียนสามตัวนั่นมาที่นี่มีแผนการอะไรกันแน่ เจ้าทราบหรือไม่”
ลู่เซิ่งหัวเราะ
“เรียนท่านอาจารย์ ศิษย์เป็นคนเลี้ยงปีศาจกระเรียนสามตัวนี้เอง”
“อย่าล้อเล่นนะ! ตอนนี้เป็นเวลาคับขัน ไม่ใช่เวลามัวมาล้อเล่น” หลงเหอจื้อกล่าวอย่างจริงจัง
“อาจารย์ ศิษย์เกิดความเข้าใจขึ้นอย่างกะทันหัน ได้แบ่งปราณออกมาในตอนฝึกฝนสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์ กลับนึกไม่ถึงว่าจะสร้างสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์แบบใหม่ที่ดีกว่าเดิมขึ้นมาได้!” ลู่เซิ่งเริ่มแต่งเรื่อง
เริ่มตั้งแต่เขาเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา แล้วแบ่งปราณจากสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์ จากนั้นปราณจริงแท้ที่ฝึกฝนได้จากสัจวิชาหลังจากแบ่งปราณถูกปรับปรุงจนสมบูรณ์และบริสุทธิ์กว่าเดิมได้อย่างไร
จนกระทั่งถึงเขาได้กินสมุนไพรโอสถรูปร่างประหลาดต้นหนึ่งใต้ทะเลสาบตอนที่กำลังเล่นน้ำ เป็นเหตุให้ปราณจริงแท้ของตัวเองทวีจำนวนขึ้นเหมือนเป่าลม
ถัดมาเขาได้ใช้ปราณจริงแท้ฝึกฝนคัมภีร์ต้นกำเนิดวิญญาณคู่ สร้างสัมผัสวิญญาณคู่กับกระเรียนเซียนหลายตน จากนั้นก็ทำให้กระเรียนเซียนเกิดการกลายพันธุ์จนปัจจุบันกลายเป็นปีศาจกระเรียนจำแลงกายได้อย่างไร!
หลงจื้อเหอฟังเรื่องไร้สาระนี้จนอ้าปากตาค้าง
โลกนี้ขาดแคลนกิจกรรมบันเทิง ลู่เซิ่งจึงยัดโครงเรื่องในนิยายเข้าไปมากมาย แต่งเรื่องจนเหมือนกับเรื่องจริง รายละเอียดไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะคิดขึ้นมาได้โดยใช้เวลาไม่นาน
นี่ทำให้หลงเหอจื้อต้องเชื่อในรายละเอียด
‘ในใต้หล้ามียาวิเศษระดับนี้ด้วยหรือ!?’ ดวงตาของหลงเหอจื้อฉายความร้อนเร่าแวบหนึ่ง แต่พอนึกได้ว่ายาวิเศษถูกศิษย์กินไปแล้ว เขาก็พลันท้อแท้ทันที
“หมายความว่าปีศาจกระเรียนสามตัวนั้นเป็นสหายของเจ้าหรือ ฟังคำสั่งเจ้าโดยสิ้นเชิงหรือไม่” หลงเหอจื้อเสียงสั่นเล็กน้อย
นี่คือปีศาจกระเรียนสามตัวเชียวนะ!
เกิดว่ามีปีศาจกระเรียนสามตัวเข้าร่วมสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ เช่นนั้นก็เทียบได้กับมีพลังเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเท่าตัว การรวบรวมสมุนไพรและทรัพยากรในบริเวณรอบๆ ต่อจากนี้จะไม่ตึงมือตึงเท้าเหมือนก่อนหน้านี้อีก
“ไม่ใช่ขอรับ ความจริงมีสี่ตัว ยังมีปีศาจกระเรียนอีกตัว ศิษย์ให้มันเฝ้าฝูงกระเรียนเอาไว้” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“สี่ตัว…” หลงเหอจื้อสูดลมหายใจเย็น
เพิ่งจะผ่านไปกี่วันเอง แค่ไม่กี่วัน ศิษย์ที่เพิ่งรับมาใหม่ผู้นี้ถึงกับมีโชควาสนายิ่งใหญ่ปานนี้ ไม่เอ่ยถึงว่าปรับปรุงสัจวิชาให้ดีขึ้น ยังมีปีศาจกระเรียนเป็นพวกถึงสี่ตัวเชียวหรือ
นี่ไม่แตกต่างอะไรกับเทพนิยายเลย
ทว่าเรื่องจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า หลงเหอจื้อจึงต้องเชื่อ
เขาให้ลู่เซิ่งพาออกไปตรวจสอบปีศาจกระเรียนที่มาพร้อมกัน ไม่นานนักก็ยืนยันสถานะของทั้งสามตัวนี้ได้ พวกมันล้วนเป็นกระเรียนขาวที่หลงเหอจื้อเคยเห็นในอารามทั้งสิ้น
ตอนนี้ถึงกับก้าวข้ามขอบเขตหลายขอบเขต แล้วเข้าสู่ระดับเผ่าปีศาจจำแลงกายโดยตรง
หลังจากเจิ้งชิงเจี้ยนได้รับรู้แล้ว เขาก็ตกตะลึงพึงเพริดเช่นกัน ครั้นตรวจสอบพร้อมกับศิษย์พี่ ก็รู้สึกยินดีระคนอิจฉา ดีใจแทนสำนักของตัวเองที่มีพลังเพิ่มขึ้น
ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่า แม้หลงเหอจื้อกับเจิ้งชิงเจี้ยนจะอิจฉายาวิเศษของเขาถึงขีดสุด แต่ไม่มีความริษยาเจือปนอยู่ พึงทราบว่าหลังจากรับประทานยาวิเศษมากมาย จะไม่สามารถย่อยได้โดยสมบูรณ์ในระยะเวลาอันสั้น
ถ้าหากเจอคนที่มีใจคอโหดเหี้ยมลอบโจมตีกะทันหัน จับคนไปหลอมเป็นโอสถมนุษย์ ก็จะได้รับคุณสมบัติยาวิเศษส่วนใหญ่ไป
แต่ว่าหลงเหอจื้อกับเจิ้งชิงเจี้ยนกลับมีดวงตากระจ่างใส ไม่มีความคิดชั่วร้ายใดๆ แม้แต่น้อย
ทำให้เขาวางใจอยู่บ้าง