ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 676 ถ้ำราชากระเรียน (2)
บทที่ 676 ถ้ำราชากระเรียน (2)
ต่อมา หลงเหอจื้อปิดข่าว และกำชับให้มีแค่ระดับสูงสามคนที่ทราบเรื่องลู่เซิ่งพบวาสนาได้เท่านั้น
ปีศาจกระเรียนบอกเล่าไปในทางเดียวกัน บอกว่าเผ่าปีศาจท่องเมฆาเหน็ดเหนื่อยจนอยากหาสถานที่พักหายใจ ก่อนจะตัดสินใจเข้าร่วมสำนักกระเรียนพิสุทธิ์หลังจากลู่เซิ่งเกลี้ยกล่อม
ลู่เซิ่งรับปาก เขาทราบว่าทำเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย ถึงอย่างไรยาวิเศษระดับที่ทำให้คนข้ามขอบเขตมากมายได้ในคราวเดียวและทำให้สิ่งมีชีวิตสำเร็จเป็นปีศาจได้ทันที ก็มีแต่โอสถวิเศษมีชื่อเสียงบางส่วนในตำนานเท่านั้นถึงจะก่อให้เกิดผลลัพธ์แบบนี้ได้
เกิดว่าข่าวหลุดออกไปแล้วมียอดคนหรือจอมปีศาจที่มีพลังฝึกปรือสูงล้ำได้ยินเข้า จะต้องชักนำภัยพิบัติมาสู่ตัวเองแน่
ลู่เซิ่งมอบสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ที่ตนเรียนรู้ได้ให้โดยไม่มีค่าตอบแทน เพื่อให้พวกเจ้าสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ร่วมกันฝึกฝน โดยถือเป็นการยื่นหมูยื่นแมว
พอคนทั้งสามคนเห็น ก็พลันตกใจเหลือล้น ครั้นพบจุดสงสัยบางส่วนแล้วถามลู่เซิ่ง ก็จะได้รับคำอธิบายอย่างละเอียด
พอเป็นเช่นนี้หลายครั้ง ท่าทีที่พวกเขามีต่อลู่เซิ่งก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
บนโลกใบนี้เคยมีอัจฉริยะที่เฉลียวฉลาดโดยกำเนิดจนสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คนมาไม่น้อย บางคนก็มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา บางคนก็เป็นเซียนกลับชาติมาเกิด
ทั้งสามคนมองลู่เซิ่งเป็นคนที่มีโชคมหาศาลและพรสวรรค์ตั้งแต่กำเนิด!
ครึ่งเดือนต่อมา หลังจากผ่านการสังเกตอย่างตั้งใจของเจ้าสำนักหลงเหอจื้อ เขาก็ได้ตัดสินใจถ่ายทอดคัมภีร์แกนหลักของสำนักให้แก่ลู่เซิ่ง…คัมภีร์ปีกขาว
เขาได้ค้นพบในตอนที่สังเกตอย่างตั้งใจว่า จิตใจของลู่เซิ่งสมบูรณ์มั่นคงถึงขีดสุด แม้จะยังเหลืออารมณ์รักโลภโกรธหลงเหมือนคนธรรมดา แต่ความแน่วแน่ของจิตใจและความแข็งแกร่งของจิตเต๋ากลับหายากเป็นอย่างยิ่ง
ไม่มีจุดบกพร่องทางนิสัยที่พบเห็นได้บ่อย ต่างจากคนหนุ่มในโลกียะวิสัยที่เพิ่งมีอายุแค่สิบยี่สิบปี
บวกกับเรื่องของสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์กับปีศาจกระเรียน พวกหลงเหอจื้อจึงคิดว่า จิตใจของลู่เซิ่งที่รักษาสภาพจิตใจภายใต้พลังฝึกปรือที่เพิ่มพรวดพราดแบบนี้ได้ สามารถฝึกฝนคัมภีร์ปีกขาวได้โดยไม่มีปัญหา
ดังนั้น หลังจากการทดสอบจบลง ในที่สุดหลงเหอจื้อก็ตัดสินใจถ่ายทอดคัมภีร์ปีกขาวให้แก่ลู่เซิ่งอย่างเป็นทางการ
ในเวลานี้เอง ภายใต้การเตือนของอาจารย์อาสองป๋อหรูชิงที่กลับมาจากการไปเยี่ยมเพื่อน สำนักกระเรียนพิสุทธิ์ได้เริ่มประกาศอย่างไร้ความกริ่งเกรงว่า ซื่อจื่อของเยวี่ยอ๋องเฮ่อเจินเต้าหยินหรือหวงจิ่ง เกิดมาพร้อมร่างมรรคาและพรสวรรค์
นี่เป็นการสร้างฐานชื่อเสียงให้แก่การแสดงพลังฝึกปรือในภายหลังของเขา เพื่อจะได้เผยพลังที่แท้จริงต่อจากนี้ได้อย่างสมเหตุสมผล
นี่เป็นการพยายามอำพรางร่องรอยยาวิเศษที่ว่า
ในช่วงเวลานี้ลู่เซิ่งก็ไม่ได้อยู่ว่างเช่นกัน คอยเพิ่มการยกระดับความเร็วของพลังยุทธ์ทุกๆ สองวันสามวันโดยตลอด ไม่นานเขาก็มีพลังยุทธ์ถึงหนึ่งพันห้าร้อยปี
หลังจากได้รับคัมภีร์ปีกขาว เขาก็เปลี่ยนสัจวิชาในนี้เป็นพลังยุทธ์และพลังฝึกปรืออย่างรวดเร็ว
ปราณจริงแท้ที่ได้จากการฝึกคัมภีร์ปีกขาวแน่นหนาและล้ำลึกกว่าสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ อีกทั้งในนี้ยังซ่อนแฝงพลังงานใหม่ที่ลู่เซิ่งไม่รู้จักและบรรยายไม่ได้เอาไว้สายหนึ่ง
เขาใช้เวลาสามวันเปลี่ยนพลังยุทธ์หนึ่งพันห้าร้อยปีเป็นคัมภีร์ปีกขาวทั้งหมด
พลังฝึกปรือหลังเปลี่ยนแปลงเหลืออยู่ราวหนึ่งพันปี ใช้พลังฝึกปรือไปห้าร้อยปีในการเปลี่ยนแปลง
แต่แม้จะเป็นแบบนี้ ก็แข็งแกร่งกว่าพวกหลงเหอจื้อไปไกลโขแล้ว
ความจริงคุณสมบัติเด่นส่วนใหญ่ของคัมภีร์ปีกขาวนี้ไม่แตกต่างจากสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์มากนัก มีข้อแตกต่างกันเพียงจุดเดียวเท่านั้น
นั่นก็คือยืดอายุขัยได้
หลังจากลู่เซิ่งเปลี่ยนพลังฝึกปรือแล้ว ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ความเร็วของกระบวนการเผาผลาญสารอาหารอันเป็นการทำงานของร่างกายลดลงอย่างใหญ่หลวง โดยลดลงถึงหนึ่งในหลายสิบส่วนจากของเดิม
พลังงานที่จำเป็นต้องใช้ในกิจกรรมประจำวันมีคัมภีร์ปีกขาวมอบให้เป็นหลัก
นี่ทำให้เขาเกิดความฉงน จนอยากจะหาโอกาสศึกษาว่า จุดสำคัญของคัมภีร์ปีกขาวอยู่ตรงไหนให้ละเอียดเสียหน่อย
ในตอนนี้เอง สำนักเล็กๆ อีกสำนักที่ลงนามเป็นพันธมิตรร่วมรบกับสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ ซึ่งมีชื่อว่าวังเข็มสมุทรได้ส่งศิษย์มาเชิญเจ้าสำนักหลงเหอจื้อไปเข้าร่วมงานประชุมปฐพีวิญญาณที่สองปีจะจัดขึ้นครั้งหนึ่ง
หลังจากหลงเหอจื้อกำชับลู่เซิ่งเสร็จ ก็ได้มอบวิชาสังหารเพียงวิชาเดียวในสำนักให้เขาไว้ใช้ป้องกันตัว ก่อนจะพาปีศาจกระเรียนตัวหนึ่งเหินจากไป
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการจะอวด
ความจริงงานประชุมปฐพีวิญญาณเป็นงานที่สำนักเล็กๆ ส่วนหนึ่งมาปรึกษากันเรื่องการแบ่งอาณาเขตของตัวเองเท่านั้น
ทุกคนเปรียบพลังและศักยภาพกัน ดูว่าใครแกร่งกว่า ใครอ่อนแอกว่า คนที่แข็งแกร่งขึ้นจะครอบครองภูเขาลำเนาไพรได้เพิ่มขึ้นหลายส่วน
ส่วนคนที่อ่อนแอก็จะต้องเฉือนแบ่งเมืองส่วนหนึ่งให้
ลู่เซิ่งเพิ่งจะเข้าสำนัก ต่อให้พลังฝึกปรือสูงล้ำ แต่ก็ไม่ควรเผยโฉมเร็วเกินไป เลยไม่ได้ไปด้วย แต่ว่ากลับพาปีศาจกระเรียนไปให้คนดูได้
ปีศาจกระเรียนของสำนักเต๋านั่นไม่เรียกปีศาจ หากเรียกภูตกระเรียน
หลงเหอจื้อยังนับว่ามีหัวคิด ไม่ได้พาไปหลายตัวในครั้งเดียว หากพาไปแค่หนึ่งตัว ซึ่งแสดงพลังได้เพียงพอแล้ว
เผ่าปีศาจจำแลงกายตนหนึ่งมีความสำคัญสูงมากในการต่อสู้จริง หากสำนักหรือพรรคเล็กๆ ทั่วไปรับมือโดยไม่ระวัง ก็อาจจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงได้
ดังนั้นนำไปตนเดียวก็เพียงพอแล้ว
หลังจากหลงเหอจื้อจากไปอย่างหลงลำพอง อาจารย์อาสองคนในสำนัก คนหนึ่งลุ่มหลงในการฝึกวิชากระบี่ ส่วนอีกคนชอบไปเยี่ยมหาสหายและออกตระเวนท่องเที่ยว ล้วนเป็นคนที่ไม่สนใจงาน
ก่อนหน้านี้หลังจากหลงเหอจื้อจากไป สำนักจะตกสู่ความวุ่นวาย ไม่มีใครดูแล ศิษย์แต่ละคนทำทุกอย่างได้ตามใจ
แต่ตอนนี้ต่างออกไป เพราะลู่เซิ่งรับสถานะศิษย์สืบทอดสายตรงจากเจ้าสำนัก กอรปกับพลังต่อสู้อันกล้าแข็งของปีศาจกระเรียนหนึ่งตน ทำให้คว้าอำนาจควบคุมสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ไปโดยปริยาย
เขานับจำนวนศิษย์ทุกคนของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ก่อน
มีคนทั้งหมดสามร้อยยี่สิบห้าคน
หากตัดส่วนที่ออกไปท่องเที่ยวทิ้ง จะเหลืออยู่สองร้อยแปดสิบเอ็ดคนที่พำนักอยู่รอบๆ อาราม
ในป่าเขาน้อยใหญ่รอบๆ นี้มีอารามเล็กๆ อยู่ไม่น้อย ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยของศิษย์ของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ นอกจากนั้นยังมีศิษย์ของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์คอยดูแลป่าเขาบางส่วนที่อยู่ไกลออกไป
แม้สำนักกระเรียนพิสุทธิ์จะไม่ถนัดการฆ่าฟัน แต่ก็ยังร้ายกาจกว่าคนในยุทธภพทั่วไปอยู่ดี
กอปรกับเชี่ยวชาญการเลี้ยงฝูงกระเรียนขาว จึงไม่หวาดกลัวสัตว์ดุร้ายทั่วไป
หลังจากคำนวณเสร็จสิ้น ลู่เซิ่งก็อาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจ สะสางทุกอย่างในสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ และก่อตั้งหน่วยสอดแนมขึ้นมา ไม่อนุญาตให้ศิษย์คนใดเกียจคร้าน ทุกคนจะต้องทำงานของตัวเอง
ขณะเดียวกันลู่เซิ่งยังได้ส่งปีศาจกระเรียนไปสยบฝูงกระเรียนทั้งหมดสิบสองฝูงใต้อาณัติของสำนักด้วย
ฝูงกระเรียนทั้งหมดเพียงเคารพปีศาจกระเรียนกับเขาเป็นนายเท่านั้น ชี้ไปไหนก็ทุบตีตรงนั้น ไม่ต้องเปลืองวาจาให้มากความ
รอจนอาจารย์อาสองกับอาจารย์อาสามที่จะออกด่านทุกๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่งออกมาเห็นสำนักที่เป็นระเบียบเรียบร้อย พลันอ้าปากตาค้าง ดังนั้นเลยคร้านจะสนใจหน้าที่ยิ่งกว่าเดิม มอบอำนาจทั้งหมดให้ลู่เซิ่ง ส่วนตัวเองกักตนฝึกฝนอย่างเซียนบำเพ็ญต่อไป
คัมภีร์ปีกขาวมีความเร็วในการคืนปราณมากกว่าสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์เยอะมาก ลู่เซิ่งจึงใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้หลอมรวมด้ายกระตุ้นวิญญาณอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มคัดเลือกกระเรียนที่กำยำและมีสติปัญญาในฝูงกระเรียนมาทำการแปลงเป็นปีศาจอย่างใหญ่โต
ปราณจริงแท้ที่ผสมกับด้ายกระตุ้นวิญญาณถูกใช้ในการแปลงกระเรียนขาวเป็นปีศาจในฐานะพลังงานเท่านั้น ความจริงขอแค่มีพลังงานมากพอ การแปลงเป็นปีศาจกับการจำแลงกายของกระเรียนขาวก็จะไม่มีข้อจำกัดพิเศษอะไร
ความยากหลักของการแปลงสัตว์ธรรมดาเป็นปีศาจคือการสั่งสมพลังงานที่ยาวนานเกินไป แต่เป็นเพราะสัตว์ได้แต่อาศัยสัญชาติญาณดูดซับพลังจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เท่านั้น จึงมีประสิทธิภาพต่ำสุดขีด
ลู่เซิ่งเลือกกระเรียนขาวทั้งหมดสิบสองตัวมาเป็นกลุ่มนำขบวนของการแปลงปีศาจก่อน
เขาตั้งชื่อถ้ำที่เจ้าสนขาวกำลังฟักตัวลอกคราบว่าถ้ำราชากระเรียน กระเรียนขาวสิบสองตัวควบคุมกระเรียนขาวหลายร้อยตัวในบริเวณรอบๆ ภูตกระเรียนสองตัวในตอนแรกก็อยู่ในนี้เช่นกัน
หลังจัดการทุกอย่างจบ พลังฝึกปรือของลู่เซิ่งก็เพิ่มขึ้นเป็นสามพันปี เขาค่อยมอบภารกิจในสำนักให้เสี่ยวเจินกระเรียนปีศาจจัดการดูแล ส่วนตัวเองออกจากอารามเพื่อกลับตำหนักอ๋อง
ปัจจุบันสถานการณ์ในใต้หล้าเปลี่ยนแปลงไปมา จะต้องรักษาการแลกเปลี่ยนข่าวสารกับโลกภายนอกไว้ตลอดเวลา
…
ลมฤดูสารทเย็นฉ่ำ ใบไม้ร่วงโปรยปราย
ลู่เซิ่งที่สวมชุดคลุมผ้าแพรเร่งฝีเท้าก้าวย่างอย่างมั่นคงกลางป่าเขาที่เกลื่อนไปด้วยใบไม้ร่วง
ใบไม้หนาข้างใต้เท้าเป็นสีเหลืองแห้งและอ่อนนุ่ม เหมือนกับปูพรมไว้ชั้นหนึ่ง
เขาที่มีพลังฝึกปรือสามพันปีใช้ปราณจริงแท้ที่ล้ำลึกสุดเปรียบปานลอยตัวขึ้นฟ้าและควบคุมกระแสอากาศรอบๆ ตัวได้อย่างผ่อนคลาย
ในสถานการณ์ที่อยู่คนเดียว เขาสามารถกลับไปถึงใกล้ๆ ตำหนักเยวี่ยอ๋องโดยใช้เวลาแค่ครึ่งวันได้
ปราณจริงแท้ของที่นี่เหมือนกับเป็นกลิ่นอายชนิดหนึ่งที่หลอมรวมเข้ากับทุกสสารบนโลกได้ หากเกาะอยู่กลางอากาศ ก็จะรวมตัวกลายเป็นเมฆ ทำให้ตนเองเดินทางโดยใช้ลมได้
เพียงแต่ถ้าสสารที่หลอมรวมแตกต่าง ความเร็วในการผลาญปราณจริงแท้ก็จะแตกต่างตามไปด้วย
มุ่งหน้าไปตามป่าเขาได้ระยะหนึ่ง ครั้นเขามองไปด้านหน้า ก็เห็นเค้าโครงกำแพงสูงของสวนดอกไม้หลังตำหนักเยวี่ยอ๋องได้รำไร
ฝีเท้าพลันผ่อนคลายกว่าเดิมหลายส่วน
จากนั้นก็เดินเข้าไปอีกราวหลายร้อยหมี่
“ผู้ใด!?”
ในป่ามีเสียงตะโกนดังมาอย่างฉับพลัน ประกายโลหะแวบผ่านจุดที่มืดมิด แสดงให้เห็นว่ามีมือธนูกำลังเล็งมาทางด้านนี้
“ข้าเอง” ลู่เซิ่งชูป้ายคำสั่งไม้แผ่นหนึ่งขึ้นโบกไปมา
ป้ายคำสั่งนั้นมีความพิสดาร สร้างขึ้นโดยเอาไม้ที่มีสีแตกต่างกันสามชนิดมาบดอัดกัน วงกลมขนาดใหญ่ที่เหมือนกับดวงอาทิตย์ตรงกลางเห็นได้อย่างชัดเจน
พอเห็นป้ายคำสั่ง องครักษ์ตำหนักอ๋องในที่ลับก็รีบกดหัวธนูลง
พอลู่เซิ่งเดินไปด้านหน้าอีกหลายสิบเก้า ก็มีองครักษ์เข้ามาต้อนรับทันที
“คารวะซื่อจื่อ ท่านอ๋องกลับมาแล้ว พอได้ยินว่าท่านกลับมาก็สั่งให้ท่านรีบไปพบทันที!”
องครักษ์ผู้นี้คาดผ้าไว้บนตาข้างที่บอด บนตัวปรากฏไอสังหารเข้มข้น แสดงให้เห็นว่าเพิ่งกลับมาจากสนามรบ ยังไม่กลับสู่สภาพปกติดี
“ทราบแล้ว” ลู่เซิ่งเพิ่งจะจากไปไม่เกินเดือนครึ่ง นึกไม่ถึงว่าเยวี่ยอ๋องจะกลับมาแล้ว
เขาเข้าไปจากประตูสวนดอกไม้ ตัดทะลุคฤหาสน์ด้านใน ไม่สนใจข้ารับใช้และหญิงรับใช้ที่โค้งตัวถามไถ่ ก่อนจะมาถึงด้านหน้าห้องเก็บตำราของเยวี่ยอ๋องทันที
ก๊อกๆ
เขางอนิ้วเคาะประตู
“เข้ามา” เสียงของเยวี่ยอ๋องแฝงความเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง “เข้ามาแล้วรีบปิดประตู”
ลู่เซิ่งพลันเคร่งเครียด ก่อนจะผลักประตูเข้าไป
ด้านในห้องเก็บตำราไม่มีหญิงรับใช้ เยวี่ยอ๋องนั่งอยู่หน้าโต๊ะตำราเพียงลำพัง เขาเปลือยร่างท่อนบน เตาถ่านที่คุกรุ่นวางอยู่บนโต๊ะ ยังมีคีม มีด และตัวหนีบอยู่ด้วย
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือตะขาบขนาดยักษ์สีดำตัวหนึ่งที่คลานอยู่ตรงกลางหน้าอกเยวี่ยอ๋อง
ตะขาบตัวนี้ใหญ่เท่าสองฝ่ามือ ขาที่ถี่ยิบแข็งแกร่งน่ากลัว ควันดำหลายสายลอยออกมาจากปากอย่างเลือนราง
“นี่มัน!?” ลู่เซิ่งสีหน้าหนักอึ้ง เขายังไม่ได้เริ่มแผนการ บิดาของร่างต้นร่างนี้ก็เจอปัญหาแบบนี้เข้าแล้ว
“อาหงของเจ้าตายแล้ว เขาช่วยรับการโจมตีแทนข้า นี่เป็นฝีมือที่ความสามารถของอีกฝ่ายทิ้งไว้บนตัวข้า” เยวี่ยอ๋องกล่าวด้วยสีหน้าจนใจ
“ฝีมือใครหรือ” ลู่เซิ่งถามเสียงทุ้ม
เยวี่ยอ๋องผุดสีหน้าบูดบึ้ง ริมฝีปากสั่นไหว สุดท้ายก็ไม่ได้บอกอะไร
“ครั้งนี้ที่ข้ากลับมาก็เพื่อจะมอบหมายเรื่องสองสามเรื่องกับเจ้า” เขาตาเป็นประกาย อ่านอารมณ์จากสีหน้าไม่ออก
“เรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องแรก เจ้าจงรับปากข้าว่าจะส่งมารดาเจ้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลหนิง อีกเดี๋ยวค่อยไปส่ง”
“เรื่องที่สอง ในห้องนอนข้ามีตู้โลหะใบหนึ่ง กุญแจอยู่ในช่องลับด้านหลังภาพแขวนบนผนังกำแพง เจ้ารู้ว่าจะเปิดได้อย่างไร เอาของในกล่องไปจากตำหนักอ๋องซะ บำเพ็ญเต๋าก็ดีเหมือนกัน จะไปไหนก็ได้ จงไปจากที่นี่เสียแล้วอย่ากลับมาอีก”
“เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เซิ่งสีหน้าแปรเปลี่ยนพลางถามเสียงขรึม
“ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก ไม่ต้องคิดมาก เจ้าออกไปหลบซ่อนก่อน ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง” เยวี่ยอ๋องพยายามแสดงสีหน้าเรียบเฉย ถ้าหากเป็นหวงจิ่งก่อนหน้านี้ จะต้องหลอกได้ง่ายๆ แน่นอน แต่ไม่ใช่กับลู่เซิ่งในตอนนี้
เขามองแวบเดียวก็รู้ว่าเยวี่ยอ๋องพยายามทำตัวเยือกเย็น
นิ่งไปเล็กน้อย ลู่เซิ่งก็ยิ้ม
“พ่ะย่ะค่ะ อีกเดี๋ยวข้าจะไป”
“จงจำไว้ว่าอย่ากลับมาเร็ว” เยวี่ยอ๋องเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เอาล่ะ ตอนนี้จงไปเอาของเสีย อย่าโอ้เอ้ ได้แล้วก็จงไปทันที” เขาสัมผัสได้ว่าคนผู้นั้นกำลังจะมาแล้ว
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ลู่เซิ่งลุกขึ้นแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้อง ก่อนจะไปยังที่พักของตัวเอง
เยวี่ยอ๋องเจอปัญหาเข้าพอดี หากคิดจะพลิกสถานการณ์ใหญ่ ตอนนี้เขาควรจะเริ่มเผยเขี้ยวเล็บส่วนหนึ่งได้แล้ว
“เสี่ยวหรง” เขาเรียกเบาๆ
“ท่านพ่อ” เงาสายหนึ่งโผล่ขึ้นมาในเงามืดด้านข้างลู่เซิ่งดุจสายฟ้าฟาด เสียงกลับเป็นเสียงสตรีที่อ่อนโยน
“เตรียมตัวลงมือแล้วหรือยัง” ลู่เซิ่งถามอย่างสบายๆ
“เจ้าค่ะ”
ลู่เซิ่งยิ้ม เขายังไม่ได้เตรียมการใหญ่ให้ดี สถานะเยวี่ยอ๋องซื่อจื่อจะให้หายไปง่ายๆ ไม่ได้หรอก
เยวี่ยอ๋องจะตายไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกของร่างต้น หรือเพราะเงื่อนไขในตอนนี้ เขาก็ตายไม่ได้
ผู้ใดอยากฆ่าเยวี่ยอ๋อง เขาจะฆ่ามันทิ้งก่อน!
ในฐานะบุตรชายคนเดียวของหนึ่งในสามฉินอ๋องผู้เป็นเสาค้ำราชวงศ์ ไม่ว่าจะไปที่ใด สถานะนี้ล้วนได้รับผลประโยชน์มหาศาล
ตำหนักเยวี่ยอ๋องในตอนแรกเป็นแค่พื้นที่สำคัญในโลกคนธรรมดาเท่านั้น สำหรับคนในแวดวงการบำเพ็ญเพียรแล้ว มันเต็มไปด้วยรูโหว่เหมือนกับตะแกรง
ทว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เขาจะเปลี่ยนตำหนักเยวี่ยอ๋องให้เป็นบึงมังกรรังพยัคฆ์ทีละก้าวๆ
ตำหนักเยวี่ยอ๋อง ถ้ำราชากระเรียน สถานที่สองแห่งจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป