ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 677 ถ้ำราชากระเรียน (3)
บทที่ 677 ถ้ำราชากระเรียน (3)
ในฤดูหนาว ต่อให้เป็นสวนดอกไม้ก็มีใบไม้และกลีบดอกหล่นเกลื่อนกลาดอยู่ไม่น้อย
หญิงรับใช้ปัดกวาดพื้นด้วยไม้กวาดอย่างช้าๆ
ลู่เซิ่งไม่ได้ไปไหนไกล เพียงแต่กลับห้องตัวเองเท่านั้น
เขาไม่ได้ไปยังห้องนอนของเยวี่ยอ๋อง ไม่ได้รีบไปเก็บข้าวของ เพียงหาเก้าอี้นั่งลง ก่อนจะเอนหลังมองดูใบไม้และต้นหญ้าที่โยกไหวตามสายลมในเรือนด้านนอก
รออยู่สักพัก ด้านนอกสวนดอกไม้ก็มีเสียงร้องดังมาเบาๆ
ลู่เซิ่งไม่ขยับเขยื้อน ยังคงพิงเก้าอี้ เขาได้ยินเสียงร้องขององครักษ์ที่ดังมาจากด้านนอกแล้วเช่นกัน
แต่เขาเชื่อว่าเสี่ยวหรงจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง
ไม่นานนักเสียงฝีเท้าเบาๆ ก็เข้ามาใกล้ด้านนอกสวนอย่างเร่งรีบ แต่ไม่นานเสียงฝีเท้าทั้งหมดก็หายไปอย่างกะทันหันตอนเข้าใกล้ประตูสวนดอกไม้
ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
หญิงรับใช้ที่ปัดกวาดพื้นมีสีหน้าเยือกเย็น ในฐานะหญิงรับใช้ประจำตำหนักอ๋อง พวกนางย่อมไม่ได้มีคุณสมบัติธรรมดาๆ หากแต่ผ่านการลอบสังหารมาแล้วหลายครั้ง
ถึงนักฆ่าที่ฝ่ามาถึงตำแหน่งนี้ได้จะมีไม่มาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี ดังนั้นนางเลยรักษาความสุขุมเอาไว้ได้
หญิงรับใช้แอบใช้หางตามองลู่เซิ่ง พอเห็นเขาผุดสีหน้าใจเย็น ไม่มีความแตกตื่นลนลานแม้แต่น้อย ในใจก็พลอยสงบนิ่งไปด้วย ปัดกวาดพื้นต่อไป
ไม่นานนักก็มีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังมาจากที่ไกลอีกรอบ
องครักษ์ที่อยู่รอบๆ เหมือนกับหายสาบสูญไป ไม่มีเสียงใดๆ แต่ตอนที่เข้าใกล้สวนดอกไม้เล็กๆ ผืนนี้ เสียงฝีเท้ากลับหายไปอย่างกะทันหันราวกับหายตัวไป
ครู่ต่อมาก็ไม่มีมือสังหารกลุ่มที่สามเข้ามาใกล้อีก
ลู่เซิ่งอมยิ้ม
‘กลัวแล้วเรอะ’ เขานึกว่าจะเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจมาก นึกไม่ถึงว่าจะมีปัญญาแค่นี้
รออยู่สักพัก ครั้นไม่มีเสียงใดส่งมาอีก ลู่เซิ่งจึงค่อยๆ ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังห้องเก็บตำรา
แกร๊ก
ประตูถูกผลักเปิด เยวี่ยอ๋องกำลังถือคีมหนีบตะขาบที่อยู่ตรงหน้าอกพร้อมกับถอนออกอย่างช้าๆ
“เหตุใดเจ้ากลับมาแล้ว!?” เขาเงยหน้าขึ้นเพราะได้ยินเสียง ครั้นเห็นลู่เซิ่งเข้ามาสีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยน
“อยู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องไปแล้ว” ลู่เซิ่งยิ้ม
เยวี่ยอ๋องหยีตา พลันรู้สึกว่าตัวเองมองบุตรชายคนเดียวไม่ออกอยู่บ้าง
“เมื่อครู่มีมือสังหารมาหลายกลุ่ม แต่ถูกองครักษ์ตำหนักอ๋องที่ยอมสู้ตายขับไล่ไปหมดแล้ว ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เซิ่งกล่าวปลอบ “ท่านพ่อดูแลอาการบาดเจ็บไปเถอะ จะว่าไปครั้งนี้ที่ข้าไปบำเพ็ญเต๋าในเขา กลับได้อ่านตำรามาบางส่วน ตำราบันทึกไว้ว่า พิษตะขาบบนตัวท่านนี้สามารถใช้วิธีในวิชากำจัดตะขาบดำขจัดออกไปได้”
“วิชาตะขาบดำหรือ บอกไว้ว่าอย่างไร” เยวี่ยอ๋องรู้สึกมากกว่าเดิมว่าบุตรชายคนนี้เริ่มไม่ธรรดาแล้ว ไม่แน่ว่าตอนที่บำเพ็ญเต๋าเมื่อก่อนหน้านี้จะมียอดคนชี้แนะให้จริงๆ
“ใช้ดอกสามผสาน เปลือกไม้ รากไม้ และหัวของคางคกเก้าตัว มาผสมเป็นของเหนียว ชักนำตะขาบออกจากร่างกาย หลังจากฆ่าตะขาบแล้ว จึงค่อยรักษาอาการบาดเจ็บบนตัวได้” ลู่เซิ่งอธิบายอย่างละเอียด
เขาเคยอ่านข้อมูลทางด้านนี้ตอนจัดการสำนักกระเรียนพิสุทธิ์จริงๆ
“…ข้าจะลองดู” เยวี่ยอ๋องเอ่ยเสียงขรึม
“อย่างนั้นข้าขอตัวก่อน” ลู่เซิ่งค่อยๆ ถอยออกจากห้องเก็บตำรา
เยวี่ยอ๋องมองส่ง จนเขาเปิดประตูออกไป ในใจอดนึกถึงผู้ตรวจการเจ็ดมณฑลเจียงหลงที่เป็นสหายสนิทไม่ได้
เจียงหลงผู้ที่เป็นเพื่อนเล่นหมากล้อมกับเขาเป็นคนที่มีอารมณ์ไม่ธรรมดา มักจะรอบรู้และเข้าใจเหตุการณ์ปัจจุบัน
นอกจากนั้นคนคนนี้เหมือนเคยพานพบประสบเหตุการณ์ลี้ลับมามากมาย บางครั้งบางคราวที่พูดเล่นกัน ทำให้เยวี่ยอ๋องได้รู้จักเรื่องราวมหัศจรรย์พันลึกมากมาย
ยังมีจวนฉิงอ๋องที่ลี้ลับมาโดยตลอดอีก ครั้งนี้ก่อนเขาออกศึก ได้ยินว่าทางฉิงอ๋องทอดถอนใจใต้ฟ้าใสว่า ลมฝนยังมาตามฤดูกาลอยู่เลย
เขาเคยพบฉิงอ๋องมาก่อน เป็นคนวัยกลางคนที่ลี้ลับเยือกเย็นมากคนหนึ่ง
บุคลิกนั้นคล้ายกับหวงจิ่งบุตรชายคนเดียวในตอนนี้อยู่บ้าง
เรียกได้ว่าตำหนักอ๋องของฉิงอ๋องเป็นสถานที่ที่ลี้ลับยากหยั่งคาดที่สุดในราชวงศ์ ที่นี่เหมือนกับวังวนยักษ์ ซึ่งยื่นหนวดนับไม่ถ้วนออกไปด้านนอกอย่างต่อเนื่อง
ไม่มีใครเคยเข้าไปในตำหนักฉิงอ๋อง ไม่มีใครเคยเห็นคนในตำหนักอ๋องนอกจากตัวฉิงอ๋องมาก่อน บางครั้งก็มีองครักษ์และข้ารับใช้ของตำหนักอ๋องเข้าออก แต่ต่างก็ปิดปากเงียบ ไม่พูดอะไรกับคนภายนอกสักคำเดียว
เวลาอยู่ในราชสำนัก ฉิงอ๋องก็จะยิ้มแย้มใจเย็นและไม่พูดไม่จา เหมือนตัวละครหลังฉาก มักทำให้คนมองข้ามการดำรงอยู่ของเขาไป
แต่ทุกครั้งที่มีขุมกำลังใดๆ ต้องการจะลงมือกับตำหนักฉิงอ๋องที่ยึดครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ ผู้ก่อการของขุมกำลังนี้มักจะหายไปอย่างอธิบายไม่ได้เสมอ
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง สี่ครั้ง พอเกิดขึ้นหลายครั้งเข้า ทุกคนก็หวาดกลัวแล้ว
ว่ากันว่าแม้แต่องครักษ์โลหิตที่องค์จักรพรรดิส่งไปก็ยังเสียท่าในตำหนักฉิงอ๋องไม่น้อย
ดังนั้นราชสำนักหรือแม้แต่องค์จักรพรรดิจึงเกรงอกเกรงใจฉิงอ๋อง
พอเยวี่ยอ๋องใคร่ครวญถึงตรงนี้ ก็ถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง รู้สึกจนปัญญาแต่ยังมีความหวังอยู่บ้าง
ถ้าหากว่าตนมีขุมกำลังและศักยภาพเท่าฉิงอ๋อง สถานการณ์ในตอนนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้
เขาใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นสั่นกระดิ่งเพื่อเรียกหญิงรับใช้เข้ามา เตรียมจะทดลองวิธีที่บุตรชายบอก
…
หลังจากลู่เซิ่งออกจากห้องเก็บตำรา ก็เรียกหญิงรับใช้มา เพื่อสั่งให้ไปเรียกตัวอันเถิงฮุยผู้เป็นหัวหน้าองครักษ์มา
อันเถิงฮุยปฏิบัติภารกิจอย่างมุมานะอยู่ในตำหนัก ยิ่งชราจิตใจยิ่งกล้าแกร่ง ใช้วิชาหอกได้อย่างล้ำเลิศและมีอานุภาพน่าตกตะลึง เคยสร้างผลการรบอันเจิดจรัสโดยสังหารทหารม้าสิบสามนายติดต่อกันด้วยตัวคนเดียวในสนามรบ
และนั่นเป็นการต่อสู้ระหว่างทหารราบกับทหารม้า!
ตอนนี้อันเถิงฮุยรับหน้าที่เป็นองครักษ์ใหญ่ในตำหนักอ๋องมาได้สิบกว่าปีแล้ว บิดามารดา ลูกชาย และหลานในบ้านต่างทำหน้าที่ในตำหนักอ๋อง กล่าวได้ว่ามีความภักดีซื่อสัตย์อย่างแน่นอน
ไม่นานนัก ลู่เซิ่งก็เจออันเถิงฮุยผู้มีผมหงอกขาวแต่ร่างกายยังกำยำในศาลาเล็กๆ ของสวนดอกไม้
“ข้าน้อยขอคารวะซื่อจื่อ ไม่ทราบซื่อจื่อมีคำสั่งใดหรือ” อันเถิงฮุยคุกเข่าข้างหนึ่งทำความเคารพ
“ท่านอาอันเกรงใจแล้ว ไม่ทราบว่าเมื่อครู่ท่านได้ยินเสียงร้องมาจากด้านนอกหรือไม่” ลู่เซิ่งพิจารณาอันเถิงฮุยผู้นี้อย่างตั้งใจ
คนผู้นี้มีใบหน้าสี่เหลี่ยมที่หนักแน่น ดูเหมือนเคร่งขรึมตลอดเวลา ไม่ชอบกล่าววาจาล้อเล่น ทั้งๆ ที่อายุเลยเลขหกแล้ว แต่ก็ยังคงกำยำสูงใหญ่อย่างผิดปกติอยู่
“หรือซื่อจือจะหมายถึงเมื่อครู่มีมือสังหารหรือ!?” อันเถิงฮุยพลันตกใจ รีบลุกขึ้นพร้อมกับกดด้ามดาบไว้
“หรือว่าท่านอาอันจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยหรือ” ลู่เซิ่งคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ข้าน้อยไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” อันเถิงฮุยส่ายหน้าน้อยๆ
“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ดี ท่านไปพักผ่อนก่อนเถอะ” ลู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงออกคำสั่งสบายๆ เท่านั้น
“พ่ะย่ะค่ะ” อันเถิงฮุยพยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังประตูสวนดอกไม้
หลังจากเดินออกจากสวนดอกไม้ เขาค่อยหันไปมองศาลา
“เอ๋?” อันเถิงฮุยพลันร้องเอ๋ ตอนนี้ศาลาว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยของซื่อจื่อและองครักษ์เหลืออยู่เลย
ยังไม่รอให้เขาได้สติ เงาสีขาวสายหนึ่งก็แวบผ่านด้านหลังไป
อันเถิงฮุยนัยน์ตาแข็งทื่อ ร่างกายชะงักในทันที ก่อนจะล้มหงายหลังไปอย่างตกตะลึง
“ข้า…ข้า…” เขาเพียงมองเห็นเงาสีขาวแวบผ่านด้านหน้าตนเองเป็นครั้งสุดท้าย
“ข้าชิงหลิงจื่อตายลงที่นี่…ได้อย่าง…” ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็หมดลมหายใจแล้ว
ไม่นานนัก อันเถิงฮุยก็ลืมตาขึ้นมาใหม่
‘เอ๋? ข้าอยู่ไหนเนี่ย’ เขาลูบท้ายทอยที่ปวดตึง ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้น
อยู่ๆ ห้วงสมองของเขาก็เกิดเสียงระเบิด ภาพเหตุการณ์ที่ตนถูกควบคุมเมื่อก่อนหน้านี้เล่นย้อนกลับในสมองอย่างรวดเร็ว
อันเถิงฮุยหน้าซีดขาว เหลียวมองดูรอบๆ พอพบว่าไม่มีใคร ก็รีบออกจากที่นี้ทันที
เขาที่มีประสบการณ์มากทราบว่า ตนได้ถูกม้วนเข้าไปในการต่อสู้ที่ลี้ลับเหล่านั้นแล้ว
ปฏิบัติการลอบสังหารดำเนินอยู่สามวัน
มือสังหารที่เสี่ยวหรงฆ่าตายในเวลาสามวันมีอย่างน้อยหลายสิบคน ในนี้มีภูตผีสองตนที่เหมือนกับวิญญาณอยู่ด้วย
เหมือนอีกฝ่ายจะรู้แล้วว่าเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่มีความหมาย รังแต่จะทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้น วันที่สี่จึงไม่มีมือสังหารมาโจมตีอีก ทุกอย่างกลับเป็นปกติ
รออีกสองสามวัน อาการบาดเจ็บของเยวี่ยอ๋องได้รับการรักษาจากวิธีของลู่เซิ่ง พอตะขาบตัวนั้นโดนล่อออกจากร่างก็ไม่ต่างจากตะขาบธรรมดา เพียงเหยียบทีเดียวก็ตายแล้ว
เยวี่ยอ๋องเพียงพักฟื้นอีกสองสามวันก็ออกเดินทางไปรับคำสั่งที่เมืองหลวง
ลู่เซิ่งเรียกหนึ่งในกระเรียนปีศาจสิบสองตนมาคุ้มครองเยวี่ยอ๋องจนไปถึงเมืองหลวง
หลังจากกระเรียนปีศาจกลายเป็นปีศาจ ก็แสดงจุดเด่นดั้งเดิมของกระเรียนขาวออกมาได้อย่างหมดจด พวกมันมีท่าร่างว่องไวจนถึงขั้นภูตพราย สามารถบินวนรอบคนคนหนึ่งได้หลายสิบรอบในชั่วอึดใจ
ความเร็วนี้สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้ได้เห็น
นอกจากตัวมันที่มีความสามารถในการบินแล้ว จะงอยปากที่เติมพลังปีศาจเข้าไปยิ่งเป็นอาวุธวิเศษตามธรรมชาติ จึงสามารถลอบสังหารได้อย่างราบรื่น
กระเรียนปีศาจจำแลงกายตนหนึ่งเทียบได้กับกลุ่มลอบสังหารลึกลับร้อยคน
การที่ลู่เซิ่งให้กระเรียนปีศาจตัวหนึ่งคอยคุ้มครอง เพราะต้องการจะหยั่งเชิงระดับพลังของเมืองหลวงเช่นกัน
…
เมืองหลวง ณ ท้องพระโรง
เยวี่ยอ๋องยืนอยู่ในแถวขุนนางใหญ่ซึ่งอยู่สองฟากข้าง ก้มหน้าไม่พูดไม่จา
ขุนศึกเทพกำลังอ่านรายงานผลการรบที่เพิ่งส่งมาเสียงดัง
ท้องพระโรงที่เป็นสีทองผสมสีเขียวอันรุ่งโรจน์ดูน่าเคร่งขรึม
“ฝ่าบาทเยวี่ยอ๋อง ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ตำหนักเยวี่ยอ๋องเผชิญมือสังหาร ไม่ทราบว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง มีตรงไหนที่ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่” ขณะกำลังตั้งใจฟังรายงานการรบ เยวี่ยอ๋องพลันได้ยินเสียงพูดกระซิบดังมาจากด้านหลัง
“ยังดีๆ…ทั้งหมดอาศัยองครักษ์ในตำหนักโจมตีมือสังหารจนล่าถอย ทุกอย่างไร้อุปสรรค” เยวี่ยอ๋องยิ้มพร้อมกับตอบเบาๆ
“องครักษ์ของตำหนักเยวี่ยอ๋องช่างสุดยอดยิ่ง ก่อนหน้านี้ตำหนักซันอ๋องของข้าก็เผชิญมือสังหารเช่นกัน เสียองครักษ์ไปสิบกว่าคน ถึงค่อยจับตัวมือสังหารไว้ได้”
เยวี่ยอ๋องไม่แสดงสีหน้า ตั้งใจฟังรายละเอียดของซันอ๋องต่อไป
ขุนนางใหญ่หลายคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างนักสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวทางด้านนี้แล้วเหมือนกัน
“เหอะ มือสังหารดอกเหมยสิบสามคน สามีภรรยาจอมยุทธ์ ยังมีหลวงจีนสิบรูปจากวัดซ่อนปฐพี ยอดฝีมือทั้งหมดสามกลุ่มหายสาบสูญหลังจากเข้าไปในตำหนักเยวี่ยอ๋อง เยวี่ยอ๋องผู้นี้ลงมือแต่ยังทำท่าทางไม่รู้เรื่อง เสแสร้งให้ใครดูกัน” ขุนนางชราคนหนึ่งกระซิบประชด
“แม้แต่วัดซ่อนปฐพีก็ส่งคนไปด้วยหรือ” ขุนนางใหญ่อีกคนกล่าวอย่างตกใจ
“นี่ย่อมแน่นอน ว่ากันว่ามีหลวงจีนชั้นสูงลงมือใช้วิชาพิษดำตะขาบโลหิต สุดท้ายกลับไม่ได้ผล” ขุนนางชราส่ายหน้า
“ไม่เคยได้ยินว่าตำหนักเยวี่ยอ๋องมียอดฝีมือนี่นา”
“เรื่องนี้ผู้ใดบอกได้ ไม่แน่ว่าจะเป็นคนที่เพิ่งรับมาใหม่ก็ได้”
“ทัพคุณธรรมสามเหมยลอบสังหารขุนนางสำคัญมาแล้วมากมาย แต่กลับล้มเลวเมื่อลงมือกับเยวี่ยอ๋อง ต่อจากนี้จะต้องมีแผนการอีกแน่ คอยดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ ไปเถอะ”
ปัจจุบันนอกจากขุนศึกเทพแล้ว ยังมีสามฉินอ๋องผู้คุมทหารปกป้องประเทศ เยวี่ยอ๋องเป็นหนึ่งในนี้ ทั้งยังได้รับความเชื่อใจจากองค์จักรพรรดิอย่างล้ำลึก
ถ้าพวกเยวี่ยอ๋องไม่ตาย สถานการณ์ใหญ่ก็จะไม่พังทลาย ขุนศึกเทพยังประคับประคองราชวงศ์ต่อไปได้