ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 682 สะเทือนใจ (2)
บทที่ 682 สะเทือนใจ (2)
ลู่เซิ่งยืนขึ้นแล้วลงจากเหลาสุราหลังจากดื่มไปกาหนึ่ง แล้วเดินอยู่ด้านในตัวตำบลอย่างช้าๆ
เขาเตือนตำหนักฉิงอ๋องไปเรียบร้อยแล้ว ถือว่าบรรลุเป้าหมาย เดิมทีเขาไม่อยากจะเปิดศึกเต็มกำลังกับฉิงอ๋องในเวลานี้
เขาต้องการยืดเวลาต่อไปเรื่อยๆ เพื่อสั่งสมพลัง จึงให้เสี่ยวเจินไปแสดงพลังเพื่อป้องกันไม่ให้ฉิงอ๋องลอบลงมืออีกในช่วงเวลานี้เท่านั้น
‘ดูเหมือนทางตำหนักฉิงอ๋องจะมีดีอยู่บ้าง’ ลู่เซิ่งเดินไปตามชายคา บางครั้งมีฝนสาดมาจากด้านข้าง แต่เขาไม่สนใจ
ตรงตรอกด้านหน้า หญิงสาวที่มัดผมหางม้าคนหนึ่งกำลังลากน้องชายมานั่งลงเพื่อจัดเสื้อให้อย่างระมัดระวัง
ด้านในร้านค้าเทียนไขทางขวามือ พนักงานใช้มีดปาดเทียนไขหลายแท่งจนกลมมน จากนั้นก็ใช้กระดาษชนิดพิเศษขัดจนเรียบ
มีเสียงไอของคนแก่ดังออกมาเบาๆ จากที่อยู่อาศัยไม่ไกลออกไป
หญิงสาวแต่งตัวสดใสสองคนที่ถือกระเป๋าสำหรับซื้อเสื้อผ้า เดินเฉียดร่างลู่เซิ่งไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
รถม้าที่เก่าอยู่บ้างคันหนึ่งขับมาจากอีกฝั่งของถนน มองเห็นผ่านผ้าม่านได้อย่างเลือนรางว่า มีบัณฑิตคนหนึ่งกำลังคุยกับโฉมสะคราญที่ท้องโตคนหนึ่งอย่างอบอุ่น
ลู่เซิ่งหยีตาพร้อมกับเดินไปด้านหน้า คิดจะออกจากเมืองแล้วกลับตำหนักอ๋องทันที
อยู่ๆ ก็มีเสียงโหยไห้ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
คนแก่ในที่อยู่อาศัยกระอักกระไอหนักไม่ถึงเจ็ดแปดครั้ง จากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรอีก
เสียงร้องไห้ของเหล่าคนหนุ่มสาวดังขึ้น แทรกด้วยเสียงสะอึ้นของเด็ก
‘นี่มัน…!?’ ลู่เซิ่งพลันชะงักฝีเท้า เขาสัมผัสได้ถึงวิญญาณของคนแก่ที่กำลังสลายอย่างรวดเร็วทะลุที่อยู่อาศัย
ในยามกลางวันแสกๆ วิญญาณที่ไม่มีความยึดติด สลายไปอย่างรวดเร็วหลังเพิ่งจะออกจากร่าง
วิญญาณของคนแก่หายไปในไม่กี่อึดใจ
ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขาย่อมเคยพบเห็นเรื่องราวแบบนี้มามากมาย คนที่อยู่ในต้าอินเหมือนตกนรกทั้งเป็น เพราะมักเกิดเรื่องราวจากเป็นจากตายแบบนี้อยู่เสมอ
ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน
จิตวิญญาณของเขาสัมผัสวิญญาณของคนแก่ที่สลายหายไปได้อย่างชัดเจน
ทว่าพริบตาเดียว แทบจะเป็นพริบตาเดียวที่วิญญาณคนแก่หายไป
คลื่นวิญญาณดวงใหม่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในท้องของหญิงตั้งครรภ์ท้องโตที่อยู่ในรถม้าด้านข้าง
ลู่เซิ่งหยุดนิ่งอยู่กับที่ มองดูที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นสถานที่ที่คนแก่ลาโลกไป จากนั้นก็มองส่งรถม้าที่ค่อยๆ จากไปไกล
เขาจุติไปยังโลกใบใหม่ๆ มานับครั้งไม่ถ้วน และเคยผ่านความเป็นความตายมาก่อน แต่กลับไม่ได้ชัดเจนและสั่นสะเทือนเท่าตอนนี้
เงียบงันสักพัก เขาก็เร่งความเร็วเดินไปยังที่อยู่ของคนแก่ แล้วมองผ่านหน้าต่างเข้าไปด้านใน
ลูกหลานหลายคนคุกเข่าร่ำไห้อยู่หน้าเตียงคนแก่ ร้องไห้ปานใจจะขาดจริงๆ
ลู่เซิ่งชมดูอยู่สักพัก ก่อนจะหมุนตัวจากมาทันที
…
เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย เวลาหนึ่งปีผ่านไปในพริบตา
ถ้ำราชากระเรียนขยับขยายอย่างบ้าคลั่ง ยึดครองอาณาเขตมากกว่าพันลี้รอบๆ โดยใช้เวลาแค่หนึ่งปี สำนักและพรรคเล็กๆ ทั้งหมด รวมถึงปีศาจน้อยที่เร่ร่อนหลายกลุ่ม ที่ถูกสยบก็ถูกสยบ ที่ถูกขับไล่ก็ถูกขับไล่ ที่ถูกสังหารก็ถูกสังหาร
วัตถุโบราณสำหรับบูชาจำนวนมากรวมกันอยู่ในถ้ำราชากระเรียน ลู่เซิ่งกลับไม่ได้ตั้งหลักอยู่ในถ้ำ
และเขาก็ไม่ได้กลับตำหนักอ๋องเช่นกัน เพียงแค่เสริมพลังให้แก่กระเรียนปีศาจสิบสองตน ยกระดับกระเรียนปีศาจทั้งหมดไปถึงระดับเดียวกับเสี่ยวเจินโดยใช้ปราณจริงแท้ชนิดใหม่ พร้อมกับเติมปราณจริงแท้ชนิดใหม่เข้าไปให้เจ้าสนขาวที่กำลังฟักตัวอยู่ด้วย
หลังจากเตรียมงานต่างๆ เสร็จ เขาก็ออกจากสำนักกระเรียนพิสุทธิ์และตำหนักอ๋อง ออกเดินทางโดยทิ้งจดหมายไว้สองฉบับ
หลังจากวันที่เกิดความสะเทือนใจในตำบลเล็กๆ เขาก็บรรลุอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่าวาสนาของตนมาถึงแล้ว
ดังนั้นจึงละทิ้งภารกิจทั้งหมด แล้วเดินทางไปทั่วทุกแห่งหน
เมื่อมีการสนับสนุนจากถ้ำราชากระเรียน ตำหนักเยวี่ยอ๋องก็ปลอดภัยชั่วคราว เวลาเจออุปสรรคอะไร ถ้ำราชากระเรียนก็จะส่งกระเรียนปีศาจไปลงมือ ต่างจัดการได้อย่างหมดจด
เหล่ากระเรียนปีศาจในระดับแม่ทัพปีศาจแพร่พลังปีศาจของตนใส่กระเรียนขาวธรรมดาๆ เพื่อทำให้พวกมันกลายเป็นพรายอย่างรวดเร็ว
เมื่อพรายมีจำนวนเพิ่มขึ้น และต่างก็ใช้ชื่อของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ ขุมกำลังของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์จึงขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนกับก้อนหิมะกลิ้ง
ผู้คนเริ่มหวาดเกรงขุมกำลังของตำหนักเยวี่ยอ๋อง แม่ทัพปีศาจที่หลินฮองเฮาส่งมา เดินอยู่ใกล้ๆ ตำหนักอ๋องแค่รอบหนึ่ง แต่ดันได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับไป จากนั้นก็ไม่มีใครกล้ามากระตุกหนวดเสืออีก
เยวี่ยอ๋องค่อยๆ มีตำแหน่งเพิ่มขึ้นในท้องพระโรง จนกลายเป็นฟานอ๋อง[1]ที่ไม่มีใครกล้ายุ่งเหมือนกับฉิงอ๋อง
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้คนไม่เข้าใจคือ ก่อนหน้านี้ฉิงอ๋องกับเยวี่ยอ๋องยังสนิทสนมกลมเกลียวกันดี แต่หลังจากยอ๋องแข็งแกร่งขึ้น ตำหนักอ๋องทั้งสองแห่งก็กลายเป็นน้ำกับไฟ ฉินอ๋องทั้งสองแก่งแย่งชิงดีกันชนิดไม่มีใครยอมใคร
ลู่เซิ่งไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ด้วยตั้งใจจะคว้าจับความเข้าใจเล็กน้อยนั้นไว้ให้ได้ หลังออกจากอาณาเขตของตำหนักเยวี่ยอ๋องแล้ว เขาก็เดินทางไปยังเมืองต่างๆ อย่างไร้จุดหมาย
เขาไม่ได้ไปรวบรวมพลังอาวรณ์ แต่เพียงคอยสังเกตความสุขความทุกข์และการพัดพรากแยกจากของคนรอบตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนเท่านั้น
จิตวิญญาณขอบเขตลวงก้มมองดูการเกิด แก่ เจ็บ ตายของสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบๆ จากที่สูง
ทว่าไม่รู้เพราะอะไร ลู่เซิ่งยังคงรู้สึกว่าตนขาดของที่สำคัญมากไปอย่างหนึ่ง
พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสามปี
ถ้ำราชากระเรียนแข็งแกร่งมากขึ้น เป็นเหตุให้สำนักกระเรียนพิสุทธิ์ยิ่งใหญ่ไร้ผู้ใดเทียบเคียง
เยวี่ยอ๋องนำทัพใหญ่ไปปราบชนต่างเผ่าสองครั้ง ทุกๆ ครั้งที่ใกล้พ่ายแพ้ ถ้ำราชากระเรียนจะลงมือจนเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้
ขุนพลของทัพศัตรูตายลงอย่างน่าประหลาด ถึงขั้นที่แม่ทัพระดับสูงทั้งหมดในทัพถูกลอบสังหารอย่างต่อเนื่องจนกองทัพพ่ายไปเองโดยยังไม่ทันได้สู้
ซีหยา สารทฤดู ปีที่ 8442
ขุนศึกเทพ เยวี่ยอ๋อง และหลิงอ๋องรับสมัครกองทัพในประเทศภายใต้อาณัติ รับชนต่างเผ่าเข้ากองทัพจนมีขนาดเจ็ดสิบหมื่น หากประกาศว่าเป็นทัพใหญ่จำนวนแปดสิบหมื่น จากนั้นก็เปิดศึกซึ่งหน้ากับทัพคุณธรรมสามเหมยที่ใหญ่ที่สุดบนทุ่งราบใบไม้เหลือง
ทัพคุณธรรมสามเหมยมีขนาดสามสิบหมื่นแต่ประกาศว่ามีขนาดห้าสิบหมื่น ในนี้มียอดมนุษย์อยู่เป็นจำนวนมาก เข่นฆ่ากับทัพใหญ่ประจำราชสำนักเป็นเวลาสี่เดือนกว่าๆ เกิดการต่อสู้ขนาดเล็กน้อยใหญ่สิบกว่าครั้ง
สุดท้ายทัพคุณธรรมก็พ่ายแพ้ แต่ว่าทัพราชสำนักเสียหายอย่างสาหัสเช่นกัน ทัพใหญ่เจ็ดสิบหมื่นเหลืออยู่แค่สามสิบหมื่น แทบจะล่มสลาย
สำนักตำหนักม่วงที่อยู่เบื้องหลังขุนศึกเทพ เขาเชือกนิลที่อยู่เบื้องหลังหลิงอ๋อง รวมถึงถ้ำราชากระเรียนที่อยู่ด้านหลังตำหนักเยวี่ยอ๋อง สามขุมกำลังใหญ่กลายเป็นผู้กำหนดชะตาราชวงศ์
ว่ากันว่าประมุขถ้ำที่ร่ำลือกันมานานของถ้ำราชากระเรียนปรากฏตัวในศึกใหญ่เช่นกัน เหมือนว่าจะเป็นจอมปีศาจที่บรรลุถึงระดับราชาปีศาจแล้ว
จอมปีศาจบอกว่าตัวเองชื่อสนขาว แม่ทัพปีศาจสิบสองตนใต้การปกครองมีพลังเหี้ยมหาญ
พึงทราบว่าการที่ขุมกำลังเผ่าปีศาจธรรมดามีระดับภูตปีศาจได้ก็ถือเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งแล้ว หากมีแม่ทัพปีศาจตนหนึ่ง ก็สามารถยึดครองภูเขาและตั้งตัวเป็นใหญ่ได้
แต่ราชาปีศาจตนหนึ่งน่ะหรือ
นี่คือจอมราชันที่สามารถนำพาภัยพิบัติมาให้ประเทศชาติได้
ราชาปีศาจทุกตนมีอิทธิฤทธิ์พรสวรรค์ร้ายกาจของตัวเอง ต่อให้จะเป็นนักพรตจากสำนักเต๋าที่มีพลังฝึกปรือสูงกว่าพวกมันหนึ่งระดับ แต่ก็ไม่อยากไปหาเรื่องราชาปีศาจพวกนี้เข้า
เกิดว่าเจออิทธิฤทธิ์ของเผ่าปีศาจที่ไม่สมเหตุสมผลซึ่งทำลายจิตวิญญาณของท่านได้ตรงๆ โดยไม่สนใจว่าท่านมีพลังฝึกปรือเท่าไหร่เข้า เช่นนั้นก็ไม่ทราบว่าจะไปร้องไห้กับใครแล้ว
บางทีอาจจะมีแค่สำนักวสันต์สารทกับลัทธิไม่จีรังในเรื่องเล่าเท่านั้นถึงจะมีพลังระดับนี้ได้
หลังศึกใหญ่จบลง อำนาจของราชวงศ์ซีหยาก็ตกลงอย่างใหญ่หลวง แต่ยังดีที่ประคับประคองต่อไปได้ สามารถสะกดการก่อกบฏจากทุกที่ได้ชั่วคราว อาณาจักรกลับมาสงบสุขอีกครั้ง
กระนั้นทุกคนต่างดูออกว่า ราชวงศ์ซีหยาในเวลานี้เป็นอาทิตย์ใกล้สิ้นแสงแล้ว ถ้าหากเกิดความปั่นป่วนอีกเล็กน้อย ก็จะไม่มีแรงพลิกฟื้นเหลืออยู่อีกอย่างแท้จริง
…
สิบปีต่อมา…
ทะเลตะวันตก ตำบลเสาค้ำ
สิบปีก่อนอยู่ๆ ก็มีหมอสมุนไพรพเนจรคนหนึ่งมาถึงตำบล ตัวหมอสมุนไพรได้ช่วยเหลือลูกคนเล็กของขุนนางนอกสวีในตัวตำบลระหว่างผ่านทาง จึงได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากขุนนางนอกสวี และเปิดโรงรักษาขนาดเล็กขึ้นในตำบล
หมอสมุนไพรที่ดูมีอายุอยู่ในช่วงต้นยี่สิบผู้นั้นบอกว่าตัวเองแซ่ลู่ แม้จะยังอายุไม่มาก แต่ขอแค่เป็นคนที่ไปให้เขาตรวจโรคเขาล้วนปฏิบัติด้วยท่าทีเป็นมิตรทั้งยังละเอียดเป็นพิเศษ
แต่ว่าก็เหมือนกับที่ทุกคนคิด หมอสมุนไพรลู่ผู้นี้มีวิชาแพทย์ธรรมดา แม้จะไม่มีปัญหากับโรคเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าเป็นโรคร้ายแรง เขาจะส่งต่อไปยังโรงรักษาแห่งอื่น ไม่กล้าลงมือเอง
เป็นเพราะเขาเก็บค่ารักษาถูก ทุกคนเลยยอมไปหาเขา
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบปี ใบหน้าของหมอสมุนไพรลู่เริ่มปรากฏเค้าอิดโรย พวกคนแก่ที่มักจะไปหาเขาเริ่มเดินไม่ไหวบ้างแล้ว
แต่ว่าหมอสมุนไพรลู่ผู้นี้ยังคงต้อนรับผู้ป่วยทุกคนอย่างตั้งใจในโรงรักษาแห่งนี้เหมือนเดิม
“ท่านอาลู่ๆ! รีบมาดูกังหันในมือข้าเร็ว!”
เด็กผู้หญิงมัดผมหางม้าสองข้างวิ่งเข้ามาในโรงรักษา นางเพิ่งสามขวบ เป็นบุตรีคนเล็กของขุนนางนอกสวี ชื่อว่าสวีจื่อจวิน
สวีจื่อจวินมีนิสัยซุกซนน่ารักและชอบเอาอกเอาใจคนโดยธรรมชาติ แต่นางกลับชอบมาเล่นที่โรงรักษาของลู่เซิ่งเป็นพิเศษ
ความจริงไม่ใช่แค่นางเท่านั้น มีเด็กจำนวนไม่น้อยในตัวตำบลชอบมาเที่ยวเล่นที่นี่เช่นกัน
สาเหตุเป็นเพราะลู่เซิ่งวางรูปสลักหินขนาดต่างๆ ไว้ในเรือนด้านหลังเป็นจำนวนมาก รูปเหล่านี้บ้างก็เป็นคน บ้างก็เป็นสัตว์ มีทวิชาติจตุบาท มีแมลงและมัจฉา มีเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง
ลู่เซิ่งเพียงแต่ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นอุปกรณ์สำหรับบันทึกจุดลมปราณและเส้นลมปราณในด้านการแพทย์ของตัวเองเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะทำให้เด็กๆ มากมายชอบใจ
ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวเห็นสวีจื่อจวินที่สวมชุดนวมตัวหนาแล้วเช่นกัน
“เหตุใดวันนี้มาเช้านักเล่าเสี่ยวจวิน” เขายื่นมือไปลูบศีรษะของสวีจื่อจวิน
“ข้าทำเองกับมือเลยนะ” สวีจื่อจิ่นตอบเสียงอ้อแอ้ จากนั้นนางก็มองกังหันกระดาษสีแดงในมือพร้อมกับยื่นให้ลู่เซิ่ง
“เอาให้ท่านอาเจ้าค่ะ”
“ให้อา ให้อาจริงๆ หรือ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างแปลกใจ การที่เด็กที่ยังอายุน้อยแบบนี้ใจกว้างได้ขนาดนี้ถือว่าหายากแล้ว
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวจินพยักหน้าอย่างจริงจัง “วันนี้ข้าไม่ใช่คนที่เด็กที่สุดแล้วนะ ท่านแม่เกิดน้องชายให้ข้าแล้ว”
“จริงหรือ” ลู่เซิ่งประหลาดใจ ขุนนางนอกสวีลูกดกจริงๆ
“อีกเดี๋ยวพวกเขาจะอุ้มมาให้ท่านอาดูแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวจวินพยักหน้า
ลู่เซิ่งยังคิดจะถาม แต่ก็เงยหน้าขึ้นเห็นรถเทียมวัวคันหนึ่งค่อยๆ จอดลงหน้าประตูพอดี
บุรุษวัยกลางคนสวมอาภรณ์แดงคนหนึ่งประคองโฉมสะคราญร่างสะโอดสะโองเอาไว้ โฉมสะคราญอุ้มทารกน้อยที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานเอาไว้ในอ้อมอก
เสียงร้องของทารกเพิ่มชีวิตชีวาให้แก่โรงรักษาหลายส่วน
“ท่านหมอลู่รีบมาดูเร็ว ฮ่าๆๆๆ! ตระกูลสวีของข้าได้ลูกชายเพิ่มแล้ว ท่านช่วยแต้มยันต์วิญญาณจากวิชาธูปควันของท่านให้ที” บุรุษคือคนใจบุญที่มีชื่อเสียงในตัวตำบล สวีชางขุนนางนอกสวี
ลู่เซิ่งรีบลุกไปต้อนรับ
การแต้มยันต์วิญญาณเป็นประเพณีท้องถิ่นของที่นี่ ทารกที่เพิ่งคลอดจะมีหมอสมุนไพรที่ได้รับความเชื่อใจแต้มชาดให้บนหู เพื่อขอให้โชคดีมีสุขตามประเพณี
………………………………………
[1] ฟานอ๋อง หมายถึง อ๋องที่ปกครองดินแดนแห่งหนึ่งใต้อาณัติของฮ่องเต้ เป็นขุนนางระดับสูงสุดที่ไม่ได้ประกาศแยกตัวไปปกครองตัวเองเท่านั้น