ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 683 สะเทือนใจ (3)
บทที่ 683 สะเทือนใจ (3)
ลู่เซิ่งเข้าไปมองดูทารกใกล้ๆ
ทารกที่ผ่ายผอมและตัวเล็กร้องไห้จนหน้าดวงเล็กๆ แดงก่ำ แต่พอเขาเข้าใกล้ ทารกสงบลงอย่างรวดเร็ว แก้มที่ยับย่นเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน
“ชื่ออะไรหรือ”
“จื้อเฉวียน (สมบูรณ์) สวีจื้อเฉวียน หวังว่าวันหน้าเขาจะมีชีวิตสมบูรณ์พูนสุข” โฉมสะคราญตอบเสียงอ่อน
“เจ้าเอากังหันนี้ไป” เสี่ยวจวินที่อยู่ด้านข้างไม่ทราบควักกังหันสีฟ้าอันน้อยออกมาจากไหน ก่อนจะส่งให้เด็กทารกในอ้อมอกโฉมสะคราญ
โฉมสะคราญยิ้มพลางรับกังหันมา ลูบผมของเสี่ยวจวิน
ลู่เซิ่งเตรียมตัวเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้พู่กันแต้มสีชาดจุดหนึ่งบนหูซ้ายของทารกอย่างเป็นงานเป็นการ
“ขอให้วันหน้าเจ้ามีความสุขและสุขภาพแข็งแรง” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณท่านหมอ!” ขุนนางนอกสวียิ้มพร้อมกับทิ้งเงินก้อนใหญ่เอาไว้
วุ่นวายกันอยู่สักพัก หลังจากคนของตระกูลสวีจากไป ลู่เซิ่งก็เก็บกวาดข้าวของ เนื่องจากเห็นว่าดึกแล้ว ครั้นจัดการคนป่วยสองสามคนที่เหลือเสร็จก็ปิดประตูโรงรักษาทันที
ขณะกำลังจะดับตะเกียง กลับหันไปเห็นกังหันอันเล็กสีแดงที่วางอยู่บนโต๊ะเข้า
เขายื่นมือไปหยิบกังหันขึ้นมาเป่าเบาๆ กังหันค่อยๆ หมุนตามกระแสลม
ครุ่นคิดเล็กน้อย ลู่เซิ่งเสียบมันเข้าไปบนมุมตู้เก็บสมุนไพรที่อยู่ด้านข้างเพื่อใช้เป็นของประดับ
…
ห้าปีผ่านไปในพริบตา…
สวีจื่อจวินที่สูงเท่าครึ่งคนจูงเด็กน้อยที่เตี้ยกว่านางช่วงตัวหนึ่งวิ่งไปวิ่งมาในเรือนด้านหลังของโรงรักษา ทั้งยังถือกังหันสีฟ้าที่หมุนต้านลมไว้ด้วย
ลู่เซิ่งนั่งตรวจโรคให้คนอย่างระมัดระวังอยู่ในโรงรักษา เขาแทบจะลืมเป้าหมายทั้งหมดในตอนแรกของตนแล้ว เพียงทำตัวเป็นหมอธรรมดาๆ ช่วยชีวิตรักษาโรคอยู่ที่ตำบลแห่งนี้เท่านั้น
ไม่มีมารสวรรค์จุติ ไม่มีซื่อจื่อของฉินอ๋อง ที่นี่มีแค่หมอคนหนึ่งเท่านั้น
ลู่เซิ่งซึ่งคอยฟังเสียงตะโกนที่ดังมาจากเรือนด้านหลังตลอดเวลาส่งเทียบยาในมือให้คนไข้ มุมปากอมยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
“ขอบคุณท่านหมอลู่มาก” คนไข้ขอบอกขอบใจพร้อมกับรับเทียบยามา ก่อนจะลุกขึ้นจากไป
ลู่เซิ่งมองท้องฟ้า แล้วลุกขึ้นไปเรียกเด็กๆ กลับบ้าน
…
“ท่านอาลู่ ไม่ได้มาหาท่านนานแล้ว น่าจะหลายเดือนแล้วกระมัง”
ท่ามกลางแสงอาทิตย์งดงาม เด็กสาวที่ดูดีคนหนึ่งกางร่มเดินเข้าโรงรักษามาพร้อมกับข้ารับใช้สองคน
ลู่เซิ่งเงยหน้ามอง
“จื่อจวินเหรอ” ในน้ำเสียงของเขาแฝงความประหลาดใจยินดี
พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกแปดปี
ในแปดปีนี้ สวีจื่อจวินเติบโตจากเด็กผู้หญิงจนถึงวัยที่ควรออกเรือนแล้ว
“ท่านอา เกรงว่าต่อจากนี้จื่อจวินจะมาเยี่ยมท่านบ่อยๆ ไม่ได้แล้ว ท่านจะต้องถนอมร่างกายด้วยนะ” สวีจื่อจวินกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์
“เป็นตระกูลจงนอกเมืองหรือ” ลู่เซิ่งได้ยินข่าวมาเช่นกัน “ข้าเห็นเด็กน้อยนั่นโตมา นิสัยซื่อสัตย์ พวกเจ้าจะต้องมีความสุขแน่” เขายิ้มและส่งของขวัญที่เตรียมไว้แล้วให้ไป
“นี่เป็นของตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ที่เจ้าอุตส่าห์เรียกข้าว่าอามาหลายปี รับไว้เถอะ”
สวีจื่อจวินรับของขวัญมา นำกล่องใบเล็กๆ ออกมาจากมือข้ารับใช้เช่นกัน
“นี่คือของขวัญที่จื่อจวินมอบให้ท่านอา หลายปีมานี้ ขอบคุณท่านที่คอยดูแลนะเจ้าคะ…” พูดถึงตรงนี้ ขอบตานางก็แดงเล็กน้อย
ลู่เซิ่งตอนนี้ดูเหมือนคนอายุสี่สิบปีแล้ว แก่อยู่บ้าง หางตามีรอยย่นเล็กน้อย ไม่ได้หล่อเหลาสดใสเหมือนตอนยังหนุ่มอีกแล้ว
“วางใจเถอะ ที่นี่อยู่ไม่ไกล ถ้าอยากมาก็พาเด็กน้อยนั่นมานั่งเล่นที่นี่ก็ได้” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างอ่อนโยน
หลังรับกล่องของขวัญของสวีจื่อจวินมา ลู่เซิ่งก็ปลอบนางอีกหลายประโยค สองคนคุยกันสักพัก จากนั้นสวีจื่อจวินต้องลุกขึ้นจากไป นางเป็นสาวแล้ว ทั้งยังจะออกเรือนไปเป็นภรรยาให้คนอื่น ไม่อาจอยู่ในชายคาของบุรุษได้นานๆ
มองตามจนสวีจื่อจวินจากไปแล้ว ลู่เซิ่งก็นั่งลงใหม่พร้อมกับถอนใจเฮือกหนึ่ง
ตอนนี้เด็กน้อยที่ตนเห็นตั้งแต่อ้อนแต่ออกถึงวัยที่ควรออกเรือนแล้ว
เคร้งๆๆ!
อยู่ๆ ก็มีเสียงเคาะฆ้องดังมาจากนอกประตู และยังมีคนตะโกนด้วย
เขาเร่งฝีเท้าออกจากโรงรักษา เห็นคนจำนวนมากมุงอยู่รอบถนนอย่างคึกคัก เหมือนกับมีคนเป็นขุนนางผ่านมา กำลังจะเดินทางไกล
“นายผู้เฒ่าตระกูลสวีสุดยอดจริงๆ! ตำบลเล็กๆ ของพวกเรามีนายผู้เฒ่าตรวจการกับเขาบ้างแล้ว!”
“ผู้ตรวจการเป็นขุนนางใหญ่ที่ดูแลแผงร้านค้าของตำบลสามตำบลใกล้ๆ พวกเรา! ต่อจากนี้ตำแหน่งของตระกูลสวีจะต้องรุ่งเรืองอย่างแน่นอน”
“นั่นน่ะสิ”
ขณะฟังเสียงสนทนากระซิบกระซาบจากรอบๆ ลู่เซิ่งก็มองตามจนคนกลุ่มนั้นจากไป ก่อนจะหมุนตัวกลับโรงรักษา
จากนั้นเขานั่งลง เปิดกล่องของขวัญนั้นเบาๆ
กล่องของขวัญมีสองชั้น ชั้นแรกคือหญ้าหอยครามสีแดงเข้ม สมุนไพรราคาแพงและมีชื่อเสียงชนิดนี้เป็นสมุนไพรที่เขาเคยพูดถึงอยู่บ่อยๆ นึกไม่ถึงว่าจื่อจวินจะจดจำมาโดยตลอด
เขายิ้มเล็กน้อย แล้วเปิดชั้นที่สองอย่างระมัดระวัง
กังหันเล็กสีแดงใหม่เอี่ยมอันหนึ่งนอนสงบอยู่ด้านใน รอบๆ กังหันใช้แท่งไม้เล็กๆ ตรึงเอาไว้ งานทำมือประณีตถึงขีดสุด
ลู่เซิ่งอดหัวเราะอย่างประหลาดใจไม่ได้ เป่าครั้งหนึ่งพร้อมกับมองกังหันหมุนด้วยความเร็วสูง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเอามันไปเสียบไว้ตรงมุมหนึ่งของตู้สมุนไพร เรียงไว้ข้างกังหันที่ได้รับตอนเสี่ยวจื่อจวินยังเด็ก
ลมอ่อนๆ พัดเข้ามา กังหันสองอันหนึ่งช้าหนึ่งเร็ว หนึ่งเก่าหนึ่งใหม่
…
ครืน
ฟ้าผ่า ฟ้าแลบ ฝนเทกระหน่ำ
ลู่เซิ่งเพิ่งจะปิดประตูโรงรักษา อยู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูเร่งร้อนดังมา
โครมๆๆ!
“ใครกัน” ลู่เซิ่งงุนงง ก่อนจะรีบหมุนตัวเดินกลับถึงหน้าประตู
“ข้าเอง! ท่านอา ข้าจื่อจวิน!” เสียงสตรีที่คุ้นเคยดังเข้ามาอย่างน่าเวทนา
ลู่เซิ่งงงัน ทุบเอวทุบหลังที่ปวดอยู่บ้างของตัวเอง แล้วรีบเปิดประตูไม้ใหม่
สวีจื่อจวินเดินเข้ามาด้วยสีหน้าซีดเผือด เพิ่งจะเข้ามา น้ำตาก็ไหลพรากไม่หยุด จากนั้นล้มลงกับพื้นพร้อมกับร่ำไห้
“ท่านอา…สามีข้า…สามีข้าเขา…” สวีจื่อจวินหน้าเปียกชุ่มโชก แยกไม่ออกว่าเป็นน้ำตาหรือว่าน้ำฝน
ครืน
เสียงสายฟ้าฟาดดังมา
ลู่เซิ่งรีบเข้าไปประคองนาง ข้ารับใช้ของจวนสวียังยืนอยู่นอกประตู ไม่ได้เข้ามาด้วย
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ท่านอา…สามีข้า…เขา…เขาเคยบอกว่า…จะเดินไปพร้อมกันกับข้า…เขาบอกแบบนั้น…” สวีจื่อจวินสะอื้นจนพูดไม่ชัด
สามีของสวีจื่อจวิน เด็กอ้วนที่ซื่อสัตย์คนนั้น เจอคนชั่วช้าในตอนที่ออกตรวจตราในที่ว่าการ ร่างโดนแทงหลายแผล ตายโดยที่รักษาไม่ได้
ลู่เซิ่งไม่รู้จะตอบอะไรดี ได้แต่ปล่อยให้สวีจื่อจวินร่ำไห้อย่างเจ็บปวดอยู่ตรงนี้เพื่อระบายอารมณ์ที่อดกลั้นมาเนิ่นนาน
หลายปีก่อน นายผู้เฒ่าของตระกูลสวีลาโลกไปแล้ว ตอนนี้สามีของสวีจื่อจวินยังมาจากไปด้วย เสาค้ำยันที่มีหน้าที่ในที่ว่าการสองคนของบ้านล้มลง สถานการณ์ที่ตระกูลสวีเผชิญยากลำบากถึงขีดสุดทันที
สวีจื่อจวินมาเร็วและจากไปเร็ว หลังจากร้องไห้อยู่สักพัก ก็รีบร้อนพาคนจากไป
ตอนนี้ตระกูลสวีและตระกูลจงเหลือนางคนเดียวที่คอยประคับประคอง นางจะล้มลงไม่ได้ ที่มาร้องไห้ที่นี่เป็นเพียงความอ่อนแอครั้งสุดท้ายเท่านั้น
ท่ามกลางสายฝนและเสียงอัสนีบาต ลู่เซิ่งมองตามจนเงาร่างของสวีจื่อจวินหายเข้าไปในความมืด เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งก่อนจะหมุนตัวไปปิดประตู
…
วันเวลาไวเหมือนติดปีก ไม่นานก็ผ่านไปอีกยี่สิบปี
ก๊อกๆๆ
ประตูไม้บานเก่าถูกเคาะเบาๆ
ลู่เซิ่งค่อยๆ ดึงประตูไม้ออก เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยซึ่งแฝงความชรา
“เจ้าคือ…จื่อจวินหรือ” เขาตาพร่ามัวอยู่บ้าง ผมหงอกเองก็ขึ้นเต็มหัวแล้ว หลังงองุ้มอย่างช้าๆ นึกไม่ออกอยู่ชั่วขณะว่าสตรีตรงหน้าคือใคร
“ท่านอา…” พอสวีจื่อจวินเห็นสภาพของลู่เซิ่งในตอนนี้ ก็สะอื้นไห้อย่างอดไม่ได้ ดวงตาชุ่มโชกเล็กน้อย
“รีบเข้ามาเถอะ เร็วหน่อยๆ ด้านนอกหนาว” ลู่เซิ่งเห็นว่าด้านหลังสวีจื่อจวินยังมีชายหนุ่มหญิงสาวอีกคู่หนึ่งอยู่ด้วย ทั้งสองหน้าเปื้อนยิ้ม ใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นมีเค้าโครงของสวีจื่อจวินในวัยสาวเล็กน้อย
ทั้งสามเข้าไปในโรงรักษา ลู่เซิ่งคิดจะยกชาให้พวกเขาคนละจอก แต่ชายหนุ่มผู้นั้นรีบลุกขึ้นทำแทน
ท่ามกลางไอกรุ่นของชา สวีจื่อจวินคลายไม้เท้าในมือ ค่อยๆ นั่งลงโดยมีหญิงสาวคนนั้นประคอง
ขณะมองดูลู่เซิ่งที่แก่หง่อมและผมหงอกขึ้นเต็มศีรษะ นางก็ถอนใจยาวๆ
“ท่านอา นับตั้งแต่ย้ายไปจากที่นี่ ก็ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว…ท่านยังอยู่ที่นี่มาโดยตลอด…”
“ใช่แล้ว…ข้าอยู่มาตลอด” ลู่เซิ่งยิ้มๆ พร้อมกับพิจารณาพวกชายหนุ่มอย่างละเอียด
“พวกเขาคือ…?”
“เขาคือจงเฉวียน บุตรชายของข้า ผ่านมาหลายปี ในที่สุดก็เลี้ยงเขาจนโต ถึงวัยที่ควรสร้างตัวได้แล้ว” สีหน้าของสวีจื่อจวินดั่งปลดภาระหนักอึ้ง
“ข้าไม่ได้ติดค้างตระกูลจง ตลอดชั่วชีวิตสวีจื่อจินไม่เคยติดค้างผู้ใด!”
นางเอ่ยด้วยความจริงจัง
ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ พลางมองสวีจื่อจวิน นางแก่แล้ว จอนสองข้างเริ่มมีผมหงอกขึ้นแล้ว หางตาเองก็มีรอยย่นเช่นกัน
“อีกคนหนึ่งเป็นภรรยาที่เสี่ยวเฉวียนจะแต่งด้วยในวันพรุ่งนี้”
หนุ่มสาวสองคนรีบลุกขึ้นทักทายท่านอาอย่างขัดเขินเล็กน้อย
ลู่เซิ่งยิ้มรับ รีบหยิบเหรียญเงินสองแท่งออกมาจากในลิ้นชักด้านข้างเพื่อเป็นของขวัญพบหน้า
ทั้งสองปฏิเสธ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับไว้
สวีจื่อจวินก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงนั่งเฉยๆ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มปลาบปลื้ม ในรอยยิ้มมีหลายสิ่งหลายอย่าง แต่มีความเหนื่อยล้าอยู่เยอะที่สุด
“กังหันนี้…ท่านยังเก็บไว้อีกหรือ” อยู่ๆ สวีจื่อจวินก็เห็นกังหันสองอันที่เสียบอยู่บนตู้สมุนไพรผ่านหางตา กังหันสีแดงสองอันไม่มีสีสันสดใสเหมือนในอดีตแล้ว แต่ยังนับว่าอยู่ในสภาพดี ยังคงหมุนช้าๆ ตามลม
“ใช่แล้ว…ไม่ได้ไปแตะต้องเลย ปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้นมาตลอด” ลู่เซิ่งส่งเงินให้ไม่ได้ ก็เลยนั่งลงถอนใจก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
สวีจื่อจวินมองกังหัน มองไปมองมาอยู่ๆ ก็หัวเราะ
“ไม่ได้ทำกังหันมานานแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะไปทำอันใหม่ให้ท่าน”
“ไม่ต้องหรอก สองอันก็ดีมากแล้ว” ลู่เซิ่งโบกมือ
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เพียงแต่ไม่ทราบว่ามือข้าจะยังทำได้อยู่หรือไม่…” สวีจื่อจวินสะท้อนใจอยู่บ้าง
“ท่านแม่ ท่านยังมีลูกอยู่นะ” จงเฉวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มขึ้นด้านข้าง
“ใช่แล้ว ยังมีพวกเจ้าอยู่ด้วย” สวีจื่อจวินยิ้มพลางพยักหน้าเช่นกัน
ทั้งสองคุยกันนานมาก จนกระทั่งดึกดื่น สวีจื่อจวินจึงค่อยนั่งเกี้ยวจากไปพร้อมกับบุตรชายและลูกสะใภ้
ลู่เซิ่งคิดจะออกไปส่ง แต่เพราะพวกเขาเกลี้ยกล่อม จึงยืนอยู่ที่ประตูพร้อมกับมองพวกเขาจากไปไกล
ผ่านไปได้ไม่กี่วัน คนของตระกูลจงก็ส่งกังหันลมสีดำอันใหม่เอี่ยมมาอีกอัน
เพียงแต่แม้กังหันลมนี้จะหมุนได้ กระนั้นโครงสร้างกลับมีส่วนผิดอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งที่ได้รับกังหันลมไม่พูดไม่จาเป็นเวลานาน
…
พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสามสิบปี
คนในตำบลไปแล้วมาใหม่ บ้านเก่าถูกสร้างใหม่ ร้านค้าเล็กๆ ที่อยู่อีกฝั่งเปลี่ยนเถ้าแก่ไปแล้วหลายคน
โรงรักษาทรุดโทรมกว่าเดิม ลู่เซิ่งหาคนมาซ่อมแซมหลายครั้ง แต่เนื่องจากโครงหลักซ่อมไม่ได้แล้ว จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
เขาแก่ตัวลงเรื่อยๆ ผมหงอกขาว หลังงองุ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ดวงตาขมุกขมัว