ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 684 สะเทือนใจ (4)
บทที่ 684 สะเทือนใจ (4)
มีคนเตือนให้ลู่เซิ่งหาคนงานมาช่วยเหลือ แต่เขาปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม
ทุกๆ วัน ตอนเช้าตรู่ เขาจะยืนหยัดเปิดประตูในยามที่ฟ้ายังขมุกขมัว ไปจนถึงกลางดึก
บางครั้งเวลามีคนป่วยน้อย เขาจะเอากังหันลมมาเป่าเล่น รอยย่นบนใบหน้าค่อยๆ คลายออกตามรอยยิ้ม
ตอนแรกเขานึกว่าชีวิตจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่อยู่มาวันหนึ่งเขาก็ได้ยินข่าวลือว่าตระกูลจงเจอโรคระบาด
โรคระบาดร้ายแรงมาก ว่ากันว่าแพร่ระบาดมาจากสถานที่ที่เฉวียนจงรับราชการ คนของตระกูลจงที่ตายก็ตายไป ที่หนีก็หนีไป มีแต่ท่านย่าที่ไม่ทราบหายไปอยู่แห่งหนไหน
ลู่เซิ่งรีบจ่ายเงินขอให้คนขับรถเทียมวัวพาเขาไปตระกูลจง รอจนเขาไปถึง ตระกูลจงก็ว่างเปล่าไม่มีใครสักคนแล้ว
เขากลับโรงรักษาอย่างจนปัญญา จากนั้นคอยสืบข่าวของตระกูลจงไปทั่ว แต่ก็ไม่ได้ข่าวอะไรเลย
จนกระทั่งหนึ่งปีต่อมา…
เขาเห็นสวีจื่อจินที่นั่งพิงบันไดหินริมถนนในตอนที่กำลังกลับมาจากการซื้อผักในตลาด
นางสวมเสื้อนวมที่เก่ามาก ร่างกายสกปรกอย่างยิ่ง เส้นผม ใบหน้า และมือมีคราบขี้ไคลขึ้นหนา
สีหน้าเองก็ย่ำแย่มากเช่นกัน ทั้งเหลืองทั้งซีดแบบผิดปกติ
“ท่านอา…”
สวีจื่อจวินเงยหน้าเห็นลู่เซิ่งแล้วเช่นกัน
“เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่” ลู่เซิ่งรีบโยนผักทิ้ง ก่อนจะรีบจ่ายเหรียญเงินส่วนหนึ่งเพื่อขอให้คนหามนางไปถึงโรงรักษา
ร่างของสวีจื่อจวินบวมน้ำอย่างรุนแรง ไม่ทราบว่าป่วยมานานขนาดไหนแล้ว
ลู่เซิ่งขอให้คนชำระร่างกายนางจนสะอาด ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ปรุงน้ำสมุนไพรให้กับนาง แล้วป้อนให้นางดื่มทุกวัน
แต่ว่าโรคของนางเป็นเพียงแค่เรื่องรองลงไป สาเหตุที่แท้จริงคืออวัยวะภายในของนางทรุดโทรมหมดแล้ว นั่นคืออายุขัยตามธรรมชาติของอวัยวะหลังจากมาถึงเวลา
นางแก่มากแล้ว ผ่านความรุ่งโรจน์ตกต่ำมามากมาย ที่ทนมาได้ถึงวันนี้ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
ฝืนประคับประคองไปเช่นนี้สิบกว่าวัน ลมหายใจของสวีจื่อจวินก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ นางทนไม่ไหวจริงๆ แล้ว
“ท่านอา…ท่านว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่” ใต้แสงเทียนสีเหลืองมัวซัว นางห่มผ้านวมผืนหนา แต่กลับยังหนาวจนตัวสั่น
ลู่เซิ่งคอยเติมเตาถ่านให้นางอยู่ด้านข้าง หมายจะทำให้ห้องนอนอบอุ่นขึ้นอีกเล็กน้อย
พอได้ยินนางพูด ลู่เซิ่งก็ค่อยๆ กระเถิบไปถึงหน้าเตียงคนไข้
“เพื่ออะไรอย่างนั้นหรือ ข้าเองก็ไม่รู้…” เขายิ้ม “ข้าคิดว่า ในเมื่อฟ้าให้พวกเราเกิดมาแล้ว อย่างนั้นก็จงใช้ชีวิตให้ดีเถอะ จะได้ไม่เสียทีที่เกิดมาในโลกใบนี้”
“ข้าเองก็คิดจะใช้ชีวิตให้ดีมาโดยตลอด” สวีจื่อจวินยิ้ม “แต่เหตุใดถึงลำบากนัก…”
“แต่ก็ยังดี…ยังดี…ข้าไม่ได้ติดค้างตระกูลจง ไม่ได้ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง…แต่น่าเสียดายที่ลูกเฉวียนของข้า…”
อยู่ๆ ความเจ็บปวดก็กระจายออกมาจากทรวงอกของนาง
สวีจื่อจวินกำมือของลู่เซิ่งไว้แน่น นอนหงายอยู่บนเตียง อยู่ๆ ก็เห็นกังหันลมบนตู้สมุนไพรหมุนช้าๆ น้ำตาไหลพรากอยู่ชั่วขณะ
นางพลันนึกย้อนถึงเรื่องราวมากมาย ยังจดจำตอนยังเล็กๆ ได้ นางจูงมือน้องชายวิ่งเข้าวิ่งออกโรงรักษา กังหันลมในมือหมุนอย่างน่าดูนัก
“ท่าน…อา…”
“หลับเถอะ หลับเสียเถอะ…เจ้าเหนื่อยมามากพอแล้ว” ลู่เซิ่งจับมือนางไว้แน่น ดวงตาเปียกชื้นอย่างอดไม่ได้เช่นกัน
ถูกต้อง นางไม่ได้ติดค้างใคร คนที่นางติดค้างเพียงคนเดียวมีแค่ตัวนาง
มือที่ผ่ายผอมราวกิ่งไม้ของสวีจื่อจวินสั่นไหวน้อยๆ แรงบีบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ…
อยู่ๆ ม่านตาของนางก็แตกซ่าน ร่างกายแข็งทื่อ มือพลันคลายออก ไม่มีแรงเหลืออีก
ลู่เซิ่งนั่งนิ่งอยู่ด้านข้าง พร้อมกับใช้สองมือตบมือของสวีจื่อจวิน
งานศพของสวีจื่อจวินไม่มีใครมา โรคระบาดครั้งนั้นทำให้นางสูญเสียครอบครัวทั้งหมดไป ลู่เซิ่งเพียงซื้อโลงศพไม้โลงหนึ่ง แล้วหาคนมาขุดหลุมอย่างง่ายๆ แล้วฝังนางลงไปเท่านั้น
กลับถึงโรงรักษา กังหันลมสามอันบนตู้สมุนไพรตั้งเรียงกัน กระแสลมอ่อนพัดผ่าน กังหันลมหมุนวน ลู่เซิ่งเดินไปหยิบกังหันลมลงมาทีละอันๆ ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วปักกลับไปตรงมุมหนึ่งของตู้สมุนไพรใหม่
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หิมะม้วนคลุมตำบลทั้งตำบลในคืนเดียว ปูสีเงินลงบนทุกสิ่งที่อยู่ในคลองจักษุ
“ท่านตาลู่ นั่นคืออะไรหรือเจ้าคะ” เด็กผู้หญิงที่เพิ่งอายุได้สองขวบคนหนึ่งชี้กังหันลมบนตู้สมุนไพรพลางถามด้วยเสียงอ้อแอ้
ลู่เซิ่งกำลังวินิจฉัยโรคให้แก่บิดาของนาง พอได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมา
“นั่นคือกังหันลม” เขาตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ท่านตาชอบกังหันลมมากเลยหรือเจ้าคะ” เด็กผู้หญิงถามต่อ
“ใช่แล้ว…ตาชอบมาก…” ลู่เซิ่งยิ้มตอบ
“ปิงเอ๋อร์อย่ารบกวนท่านตาสิ” บิดาผู้เข้มงวดที่อยู่ด้านข้างเอ่ยสั่งสอนเบาๆ
“เอ่อ…” เด็กผู้หญิงห่อปากไม่กล้าพูดอะไรอีก
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปหยิบกังหันลมลงมาอันหนึ่งเพื่อเอาให้ปิงเอ๋อร์ แต่เด็กหญิงคนนี้รู้ความมาก กลับส่ายหน้าไม่ยอมรับไว้
ลู่เซิ่งได้แต่วางกังหันลมกลับที่เดิมอย่างจนปัญญา
ผ่านไปอีกไม่กี่วัน เด็กหญิงคนนี้ก็มาอีกรอบ ตามผู้เป็นบิดาซึ่งมาติดตามโรค เพียงแต่ครั้งนี้ในมือนางมีกังหันลมอันใหม่อีกอัน
“ท่านตา ให้ท่านเจ้าค่ะ”
ลู่เซิ่งกำลังเตรียมอุปกรณ์การแพทย์ พอเห็นกังหันลมสีแดงในมือกลับงุนงงทันที
เขาลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ใช้ขนมเปี๊ยะไส้หวานแลกกังหันลมกับปิงเอ๋อร์ จากนั้นก็ปักกังหันลมอันใหม่ลงข้างๆ กังหันลมสามอันเมื่อก่อนหน้าอย่างระวังมือ
สายลมอ่อนพัดผ่าน กังหันลมสี่อันเรียงตามความใหม่ สีของอันแรกสุดซีดเหลืองหมดแล้ว
ลู่เซิ่งวางมือลงและมองดูแถวกังหันลม อยู่ๆ ในใจเหมือนมีอะไรบางอย่างฉีกขาดออก
เขาสงบจิตใจและรักษาโรคให้แก่บิดาของปิงเอ๋อร์จนจบ จากนั้นก็ปิดโรงรักษา ออกจากตำบลเล็กๆ ไปเพียงลำพัง
มาถึงที่อยู่เก่าของตระกูลสวี
คฤหาสน์ในตอนแรกเปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว ต้นไม้เก่าแก่ที่เคยอยู่ด้านในก็ออกหน่อใหม่แล้วเช่นกัน
ท่ามกลางหิมะ ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กทารกดังมาจากด้านในได้อย่างเลือนราง ยังมีเสียงผู้ใหญ่ร้องเพลงปลอบเบาๆ
ลู่เซิ่งยืนนิ่งอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ ขณะฟังเสียงด้านใน ในใจเหมือนกับมีบางอย่างสว่างและกระจ่างขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ทราบยืนอยู่นานเท่าไหร่ เขาพลันหัวเราะเบาๆ
เสียงหัวเราะดังและชัดขึ้นเรื่อยๆ
ผมของเขาค่อยๆ เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำ หนุ่มแน่นขึ้นเรื่อยๆ สันหลังที่งองุ้มในตอนแรกตั้งตรงอย่างรวดเร็ว
ริ้วรอยบนใบหน้าสลายไป กลับมาเยาว์วัยอีกครั้ง ดวงตาที่ขมุกขมัวกระจ่างชัดและคมกริบขึ้น แค่ไม่กี่นาทีสั้นๆ ก็กลับมาอยู่ในร่างที่แข็งแรงที่สุดตอนอายุยี่สิบกว่าปี
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้…ที่แท้ก็เป็นแบบนี้!” ลู่เซิ่งหัวเราะลั่นพร้อมกับหมุนตัวจากไปยังที่ไกล ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้แม้แต่น้อย
…
ตำหนักเยวี่ยอ๋อง
เยวี่ยอ๋องค่อยๆ ดึงผ้าห่มที่คลุมบนเข่าขึ้นมาบนตัวเล็กน้อย
ผ่านมาหลายสิบปี…ราชวงศ์ซีหยาล่มสลายไปนานแล้ว ตอนนี้ขุนศึกแบ่งแยกแว่นแคว้น เนื่องจากควบคุมทหาร กอปรกับมีการสนับสนุนจากถ้ำราชากระเรียนอยู่เบื้องหลัง เยวี่ยอ๋องจึงพอจะมีที่ยืนในกลียุคนี้
แต่ก็แค่นี้เท่านั้น
หลังจากขุนศึกเทพเสียชีวิต ขุนศึกจากทั่วดินแดนก็ตั้งตนเป็นใหญ่และรบราฆ่าฟันกันไม่เลิก
เยวี่ยอ๋องอายุหนึ่งร้อยกว่าปีแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีวิชาลับของถ้ำราชากระเรียนคอยช่วยยืดอายุขัย เขาอาจจะลาโลกนี้ไปตั้งนานแล้วก็ได้
ทว่าพออายุมากขึ้น เขาก็หมดความทะเยอทะยาน เพียงเฝ้ากิจการที่เหลืออยู่ของตัวเองและใช้ชีวิตต่อไปเท่านั้น
ตอนนี้สิ่งที่เขาเป็นห่วงเพียงหนึ่งเดียวก็คือบุตรชายที่บำเพ็ญเต๋า เสี่ยวจิ่งจากไปนานหลายสิบปีจนเขาใกล้จะลืมหน้าตาไปแล้ว
“ฝ่าบาทเยวี่ยอ๋อง” เจ้าสนขาวที่ใส่ชุดสีขาวและแขนเสื้อยาวโบกพลิ้วเดินเข้ามาในเรือน
ในฐานะราชาปีศาจ มันมีปราณจริงแท้ระดับสูงที่ลู่เซิ่งเติมให้ กอปรกับคัมภีร์ฝึกฝนเต๋าระดับสูง ทำให้ปัจจุบันพลังฝึกปรือพัฒนาเพิ่มขึ้น
มองไกลๆ เหมือนกับคุณชายสูงศักดิ์ผู้หลุดพ้นทางโลก หากมองใกล้ๆ จะเห็นคิ้วตางามดุจภาพวาดและบุคลิกเย็นชา
โดยเฉพาะตะขอโค้งสีชาดจุดหนึ่งกลางหว่างคิ้วซึ่งเพิ่มเสน่ห์เข้าไปในความเย็นชา
“มาหาตาแก่อย่างข้าอีกแล้วหรือ” เยวี่ยอ๋องทราบสถานะของเจ้าสนขาวมานานแล้ว
แต่สำหรับเขา เผ่าปีศาจที่มีความรู้สึกบริสุทธิ์เหล่านี้กลับควรค่าแก่การเชื่อใจมากกว่ามนุษย์เสียอีก
ดีก็คือดี เลวก็คือเลว ปีศาจตรงไปตรงมายิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก
“ตรวจสอบเบื้องหลังคนของฉิงอ๋องได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นลัทธิไม่จีรังของสำนักเต๋า” เจ้าสนขาวเอ่ยอย่างราบเรียบ “ช่วงนี้ข้าต้องยุ่งนิดหน่อย เวลาที่มาเยี่ยมท่านน่าจะลดน้อยลงไปบ้าง”
“ไม่เป็นไร หน้าที่สำคัญกว่า ฉิงอ๋องกับพวกเราอยู่ร่วมกันไม่ได้ ต่อสู้กันมาหลายปี ตอนนี้ในที่สุดก็เผยไต๋ออกมาแล้ว” เยวี่ยอ๋องถอนใจเฮือกหนึ่ง เพียงแต่ไม่ทราบว่าลัทธิไม่จีรังนี้คือ…
“สำนักลัทธิหนึ่งของสำนักเต๋าขอรับ” เจ้าสนขาวเอ่ยเสียงขรึม
“แข็งแกร่งมากหรือ” เยวี่ยอ๋องงงงวย
“แข็งแกร่งมากพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าสนขาวตอบอย่างราบเรียบ “แต่พวกเขายังไม่ได้หมายหัวพวกเรา ตำหนักเยวี่ยอ๋องของพวกเราก็ดี ตำหนักฉิงอ๋องก็ดี ล้วนเป็นเพียงเรื่องขี้ประติ๋วสำหรับพวกเขาเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ดี…เช่นนั้นก็ดี…” เยวี่ยอ๋องโล่งใจเล็กน้อย
เจ้าสนขาวมองท่าทางโล่งใจของเยวี่ยอ๋อง สุดท้ายก็ไม่ได้เล่าเรื่องที่ลัทธิไม่จีรังส่งคนมาลงมือ
“อีกเดี๋ยวที่นี่จะเริ่มหนาวแล้ว อากาศไม่ค่อยดีนัก ข้าได้ซ่อมแซมคฤหาสน์แห่งหนึ่งทางใต้ไว้แล้ว เยวี่ยอ๋องท่านย้ายไปพักผ่อนที่นั่นดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” มันส่งเสียงเสนอ
“ก็ดีเหมือนกัน อย่างไรข้าอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์” เยวี่ยอ๋องยิ้มอย่างจนปัญญา “เพียงแต่ไม่ทราบว่าตอนนี้จิ่งเอ๋อร์อยู่ที่ไหน…” เขานึกถึงบุตรชายเพียงคนเดียวที่จากไปตามลำพังในปีนั้นขึ้นมา
“ฝ่าบาทย่อมปลอดภัยไร้เรื่องราว เรื่องนี้พวกเราล้วนสัมผัสได้” เจ้าสนขาวตอบ
“อย่างนั้นก็ดี…” เยวี่ยอ๋องไม่กล้าคิดมาก คนข้างกายจากไปทีละคนๆ ตอนนี้เหลือแค่เขา ยังมีหยวนหลิ่วหลิ่วกับหยวนย่วนย่วนที่คอยดูแล
เจ้าสนขาวเงียบงันไม่ได้พูดอะไร เพียงค้อมตัวน้อยๆ ก่อนจะหมุนตัวจากไป
สำหรับมันแล้ว ลู่เซิ่งเป็นคนให้ชีวิตใหม่แก่มัน ดังนั้นบิดาหรือครอบครัวของลู่เซิ่งย่อมเป็นสิ่งที่มันต้องปกป้อง
หลายปีมานี้มันคอยปกป้องตำหนักเยวี่ยอ๋องอย่างแน่วแน่มาโดยตลอด
ตอนแรกมันคิดจะรักษาชีวิตแบบนี้ไปตราบนานเท่านาน แต่เมื่อห้าปีก่อน หลังจากลัทธิไม่จีรังลงมือจริงๆ ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป
มันพยายามไม่ให้ตำหนักเยวี่ยอ๋องและถ้ำราชากระเรียนเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างสองสำนักเต๋า ทว่าลูกหลงจากการต่อสู้ของขุมกำลังมหึมาทั้งสองก็ไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักเยวี่ยอ๋องจะรับได้เช่นกัน
ประคับประคองมาหลายปี การต่อสู้ระหว่างสำนักวสันต์สารทและลัทธิไม่จีรังยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ไปถึงขั้นที่มันไม่อาจสัมผัสได้อีกแล้ว
ก่อนหน้านี้พักหนึ่ง คำสั่งจุติครั้งที่สี่ของลัทธิไม่จีรังก็ได้ส่งมาถึง
ครั้งนี้ไม่ว่าจะใช้วิธีการอะไร ก็คงจะถ่วงเวลาต่อไปไม่ได้อีกแล้ว