ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 691 ตี้วา (1)
บทที่ 691 ตี้วา (1)
พลังอาวรณ์จำนวนมากทะลักเข้าร่างหลักของลู่เซิ่งเหมือนคลื่นสมุทร
ลู่เซิ่งรู้สึกเหมือนถูกค้อนฟาดใส่ หายใจลำบากขึ้นเล็กน้อย
พลังอาวรณ์ที่ต่อเนื่องไม่ขาดสายมาเร็วและไปเร็ว
รอจนเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ ลู่เซิ่งก็ต้องตกตะลึงไปกับจำนวนของพลังอาวรณ์ที่ทะลักเข้ามาในครั้งนี้
หน้าอินเตอร์เฟซดีปบลูระบุไว้อย่างชัดเจนว่า พลังอาวรณ์: 7,413,121หน่วย
‘แค่สูดหายใจไม่กี่ทีก็ได้เพิ่มมาเกือบสามล้านหน่วยแล้ว…’ ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก จากนั้นก็พ่นลมหายใจ ถึงกับพ่นแก่นปราณตี้วานี้ออกมา
‘แก่นปราณสายนี้เพิ่มพลังยุทธ์ให้เราในระดับร้อยปี แต่พลังอาวรณ์กลับมากมายปานนี้…’ ลู่เซิ่งผุดสีหน้าเยือกเย็นขณะถือแก่นสายนี้เอาไว้
ตอนแรกคิดแก้ไขเภทภัยที่จะตามมาอย่างลัทธิไม่จีรังก่อน แล้วค่อยไปจากโลกนี้ แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งรีบจะดีกว่า
เขาหลับตาลงพร้อมกับเริ่มอัญเชิญร่างแยกที่ส่งไปยังที่ต่างๆ ร่างแยกเหล่านี้เมื่อรวมกับร่างแยกที่อยู่ที่ลัทธิไม่จีรัง มีทั้งหมดสี่ตัว
ร่างแยกสามร่างกับร่างแยกที่อยู่ที่ลัทธิไม่จีรังรวมตัวเป็นค่ายกลทรงสามเหลี่ยมที่มีจุดตรงกลาง
ตอนแรกลู่เซิ่งคิดจะใช้สิ่งนี้เป็นพื้นฐานในการปล่อยโลกรูปจิตไปปกคลุมลัทธิไม่จีรัง
การแบ่งร่างแยกเป็นการสร้างจุดพื้นฐานเพื่อจับคนของลัทธิไม่จีรังในคราวเดียว
นี่เป็นทั้งการหยั่งเชิงและเป็นทั้งการแสดงพลังของตัวเอง
โลกรูปจิตกลืนกินสิ่งมีชีวิตในพริบตา สามารถโจมตีแบบวงกว้างใส่สมาชิกระดับกลางถึงต่ำของลัทธิไม่จีรังได้ในเสี้ยววินาที
เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าลัทธิไม่จีรังจะโผล่มาอย่างกะทันหันและมอบข้อเสนอที่น่าตกใจแบบนี้ให้
‘ร่างจริงของตี้วา…’
อัญมณีสีขาวบริสุทธิ์ด้านหลังลู่เซิ่งเรืองแสงอย่างช้าๆ
‘ถ้าร่างจริงของตี้วามโหฬารเหมือนที่เจ้าลัทธิไม่จีรังบอกจริงๆ หากครั้งนี้ทำสำเร็จ ไม่รู้ว่าจะทำให้เรามีกินมีใช้ไปกี่ปี…ลองพิจารณาดูได้ แต่ว่าเจ้าลัทธิไม่จีรังโดนบุกถึงที่ยังไม่โมโหแม้แต่น้อย คนผู้นี้มีความคิดในใจ ต้องระวังป้องกันไว้ด้วย’
ลู่เซิ่งเข้าใจดีว่า ในฐานะคนบำเพ็ญเพียร ยิ่งขอบเขตสูง ยิ่งต้องไปให้ถึงขั้นเห็นเนื้อแท้ของตน ส่วนระดับอย่างเจ้าลัทธิไม่จีรังกลับไม่แสดงความไม่พอใจต่อการบุกรุกสาขาหลักของเขาแม้แต่น้อย
นี่มีแค่ความเป็นไปได้เดียว
นั่นคือจะต้องมีแผนการต่อตัวเขาที่ล้ำลึกยิ่งกว่า แผนการนี้มากพอจะหักลบโทสะที่ขุมกำลังของตัวเองถูกบุกรุก
‘ไม่ว่าจะเป็นการใช้ประโยชน์หรือเรื่องอื่น…พลังอาวรณ์นี้…’ สีหน้าของลู่เซิ่งยากจะสังเกตอารมณ์
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะวางแผนให้เขาทำอะไร ถ้าเขาถอนตัวได้ทันเวลา นำพลังอาวรณ์จำนวนมากพอไปได้ และบริหารความเสี่ยงได้ดี ก็ไม่แน่ว่าจะเจอปัญหา
‘ช่างเถอะ คนเราร่ำรวยจากการเสี่ยง ถ้าไม่อยากจะเสี่ยงอะไรเลย ก็อย่าคิดถึงเลยว่าจะได้ประโยชน์ขนาดไหน’ ลู่เซิ่งตกลงใจ สีหน้าสงบนิ่งลง
ในคุกบนภูเขากลางนภา
ร่างแยกของลู่เซิ่งค่อยๆ พ่นลมหายใจ
“ถ้าแก่นปราณของตี้วามีประสิทธิผลแข็งแกร่งแบบนี้หมด อย่างนั้น ถ้าข้าจะเข้าร่วมด้วย ต้องการให้ข้าทำอะไร” เขาถามเสียงทุ้ม
รอยยิ้มบนใบหน้าเจ้าลัทธิล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม
“ง่ายดายยิ่ง จิตวิญญาณของท่านคือจิตแห่งมารสวรรค์ มีพลังกัดกร่อนห้วงฝันโดยกำเนิด ตอนนี้ตี้วาอยู่ในสภาพเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติ จิตติดอยู่ในห้วงฝัน ขอแค่ท่านเข้าไปในฝันของนางและถ่วงเวลาสักพัก พวกเราย่อมเอาแก่นปราณมาได้มากพอ”
“แล้วข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกท่านจะไม่เอาแก่นปราณไปโดยไม่ทิ้งข้าไว้” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างเย็นชา
เจ้าลัทธิไม่จีรังไม่โกรธ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ง่ายดายยิ่ง แก่นปราณของตี้วาเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของนางเป็นหนึ่ง หากแก่นปราณต้องการหลุดจากตัวตี้วา ไม่เพียงต้องแยกออกจากกายเนื้อเท่านั้น ท่านยังจำเป็นต้องได้วิญญาณของตี้วาจากในห้วงฝันของนางด้วย วิญญาณและพลังงานแห่งกายเนื้อรวมกันเป็นหนึ่ง จึงกลายเป็นแก่นปราณของตี้วาที่แท้จริง ท่านคือมายาพิศวงมารสวรรค์ น่าจะมองโครงสร้างแก่นปราณของตี้วานี้ออก”
ลู่เซิ่งหยีตา เรื่องใหญ่ขนาดนี้ย่อมไม่อาจเชื่ออีกฝ่ายได้ทั้งหมด แต่ว่าแก่นปราณสายนั้นมีความยั่วยวนของพลังอาวรณ์มากกว่าล้านหน่วยมากเกินไปจริงๆ
ถ้าทำสำเร็จ ไม่แน่ว่าเขาจะสะสมพลังอาวรณ์สำหรับใช้เลื่อนสู่จุดสูงสุดของมายาพิศวงได้ครบ
“ข้าจะเชื่อท่านอย่างแท้จริงได้อย่างไร”
เจ้าลัทธิไม่จีรังกล่าวพลางส่ายหน้า “ท่านได้แต่เดิมพันแล้ว”
เงียบงันเล็กน้อย ลู่เซิ่งพลันถาม
“จะลงมืออย่างไร”
เจ้าลัทธิไม่จีรังงุนงง ก่อนจะยิ้มอย่างพึงพอใจ หลังจากกำชับลู่เซิ่งอย่างละเอียด เขาก็ถือโอกาสบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่พึงระวังไปด้วย จากนั้นจึงค่อยถอยออกไปจากห้องขัง
เจ้าลัทธิไม่จีรังพุ่งขึ้นท้องฟ้าจากหน้าประตูกรงขัง ก้อนสีเงินที่มีไฟสีดำลุกไหม้กลุ่มหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นด้านหลังเจ้าลัทธิ
“ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องเตรียมแผนการอื่นแล้ว” เสียงสตรีแก่ชราที่ทุ้มต่ำดังมาจากในก้อนสีเงิน
“เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ เตรียมไว้หน่อยจะดีกว่า” เจ้าลัทธิไม่จีรังใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มและดีดนิ้ว แสงสีทองจุดหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขา หายวับไปกลางอากาศ
“ลองคำนวณดู นอกจากมารสวรรค์ระดับต่ำเหล่านั้นแล้ว นี่เป็นระดับมายาพิศวงคนที่ห้า ผ่านมาตั้งหลายหมื่นปี หวังว่าจะสร้างความประหลาดใจให้แก่พวกเราได้นะ” มีเสียงดังมาจากในก้อนสีเงิน
“ไม่เป็นไร ถ้าหากยังล้มเหลว เช่นนั้นก็ฆ่ามันทิ้งแล้วค่อยชักนำมารสวรรค์คนใหม่มา ค่อยๆ สั่งสมไปเรื่อยๆ” เจ้าลัทธิไม่จีรังยิ้มแย้ม
“ขอให้คุ้มกับการที่ข้าจงใจบิดกระแสวังวนมิติเวลารอบๆ เพื่อเพิ่มความเร็วของเวลาหน่อยก็แล้วกัน”
…
ลู่เซิ่งที่อยู่ในบ้านฟางขมวดคิ้วขณะใคร่ครวญถึงการพบปะกับเจ้าลัทธิไม่จีรัง
อยู่ๆ สีทองจุดหนึ่งก็แวบผ่านด้านหลังเขา
ไร้สุ้มไร้เสียง ไม่มีคลื่นของพลังงานใดๆ และไม่มีผลกระทบจากกระแสอากาศใดๆ ถึงขั้นไม่มีร่องรอยของมิติด้วยซ้ำ
สีทองหายเข้าไปกลางหลังของเขาในทันที
ลางสังหรณ์บอกเขาว่า อย่างมากสุดเจ้าลัทธิไม่จีรังก็อยู่ในระดับผู้ปกครองเท่านั้น ตอนนี้เขาเข้าสู่ระดับมายาพิศวง ทั้งยังเป็นมารสวรรค์ ถ้าหากหนีสุดกำลัง อีกฝ่ายไม่แน่ว่าจะรั้งตนไว้ได้
แต่ไม่ทราบเพราะอะไร ลู่เซิ่งถึงรู้สึกว่าตนอาจเผชิญกับอันตรายอย่างใหญ่หลวงได้ทุกเมื่อ
‘พลังอาวรณ์เจ็ดล้านเลยนะ…’ แต่พอนึกอีกที เมื่อมีพลังอาวรณ์มากมายขนาดนี้ ก็มากพอจะทำให้พลังของเขายกระดับขึ้นเท่าตัวในระยะเวลาที่สั้นสุดขีดแล้ว
เขารีบมองกรอบบนอินเตอร์เฟซดีปบลู
[คัมภีร์ปีกขาว: สมบูรณ์ พลังยุทธ์: หนึ่งพันเก้าร้อยแปดสิบแปดปี] ด้านหลังคือคุณสมบัติพิเศษที่ใช้เพิ่มความเร็วและพลังระเบิดอีกมากมาย
‘วิชายังอยู่ในสภาพก่อนยกระดับขอบเขต แต่มีรูปจิตแห่งวัฏจักรเพิ่มมา พลังต่อสู้เพิ่มขึ้นไม่รู้เท่าไหร่ การทำความเข้าใจขอบเขตนี้น่าอัศจรรย์จริงๆ’
ลู่เซิ่งทอดถอนใจ ก่อนจะทำความเข้าใจขอบเขต ระหว่างที่เขาร่อนเร่ไม่ได้ลงหลักปักฐาน ก็เคยยกระดับพลังยุทธ์ของคัมภีร์ปีกขาวขึ้นส่วนหนึ่งเช่นกัน แต่ต่อมาหลังจากมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแล้ว ก็ไม่ได้พัฒนาด้านนี้อีกเลย
รออยู่ครู่หนึ่ง พลันมีแสงวิญญาณสีดำสี่สายพุ่งกลับมาจากขอบฟ้าไกล จากนั้นพวกมันก็หายเข้าไปกลางหว่างคิ้วของเขา
‘เก็บร่างแยกเรียบร้อย ตอนนี้ควรเตรียมการเพื่ออนาคตได้แล้ว วิชายังเรียนรู้ไม่ได้ ได้แต่เพิ่มพลังยุทธ์เท่านั้น ยังต้องรวบรวมคัมภีร์วิชามากกว่านี้’
หลายปีมานี้ลู่เซิ่งอาศัยอยู่ในโลกคนธรรมดาเพื่อทำความเข้าใจขอบเขต จึงไม่ได้ไปรวบรวมวิชาจากสำนักเต๋า ดังนั้นเมื่อร้อยปีก่อนมีวิชาอยู่เท่าไหร่ ตอนนี้ก็ยังมีเท่านั้น
‘ในเมื่อตอนนี้ร่วมมือกับลัทธิไม่จีรังแล้ว ก็น่าจะหาวิชาคัมภีร์ที่มากพอได้จากพวกเขา’
พอตัดสินใจได้ก็ทำทันที ลู่เซิ่งไม่ได้ให้ร่างหลักไป หากแบ่งแสงดำจุดหนึ่งออกมา แล้วปล่อยให้มันพุ่งหายไปจากเส้นขอบฟ้า
มองส่งจนแสงวิญญาณจากไป เขาค่อยหลับตาลงแล้วเข้าสู่ห้วงสมาธิอีกครั้ง
‘ตอนนี้ควรเตรียมตัวเพื่อห้วงฝันของตี้วาได้แล้ว…’
…
กลียุคดำเนินอยู่ห้าปี จึงค่อยเริ่มสงบสุข
ลัทธิไม่จีรังถอนทัพกะทันหัน ทำให้ตกอยู่ในสภาพตรึงกำลังกับสำนักวสันต์สารท สำนักวสันต์สารทที่เดิมได้เปรียบก็ให้คนถอนทัพอย่างฉับพลันและสงบศึกกับอีกฝ่ายอย่างไม่มีสาเหตุเช่นกัน
โลกมนุษย์ที่ตอนแรกควรจะเกิดสงครามไม่หยุดหย่อน เข้าสู่ยุคสันติภาพอย่างอธิบายไม่ได้
ในขณะเดียวกัน กลางป่าดึกดำบรรพ์ที่อยู่ห่างจากชายแดนราชวงศ์ซีหยาหลายหมื่นลี้
เหนือทะเลป่าสีเขียวเข้มสุดลูกหูลูกตา ลำแสงสีขาวสามสายแหวกผ่าอากาศข้ามระยะทางมากกว่าพันลี้ในพริบตา
กลางลำแสงคือคนชราที่มีลักษณะต่างกันสามคน
ถ้าหากมียอดคนสำนักเต๋าเห็น อาจจะตกตะลึงพรึงเพริด ด้วยว่าเจ้าลัทธิไม่จีรังและเจ้าสำนักวสันต์สารทถึงกับร่วมทางกันโดยไม่มีความตะขิดตะขวางใจแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ชายชราผมขาวอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ คนทั้งสองยังมีความตั้งใจจะเคียงบ่าเคียงไหล่กับทั้งสองด้วย
บางทีผู้บำเพ็ญเพียรอาจจะไม่มีใครเคยพบเห็นชายชราผมขาวคนที่สามมาก่อน
“ถึงแล้ว!” เจ้าสำนักวสันต์สารทหยุดลง แล้วทิ้งตัวลงด้านล่าง ไปยืนบนเถาวัลย์ขนาดยักษ์ที่มีขนาดสิบหมี่เส้นหนึ่ง
เจ้าลัทธิไม่จีรังกับชายชราอีกคนทิ้งตัวลงยืนบนเถาวัลย์อีกเส้นอย่างแผ่วเบาเช่นกัน
ด้านล่างทั้งสามคือก้อนสีดำที่กำลังเต้นก้อนหนึ่ง
ขอบของก้อนดำมีแสงสีเล็กๆ กะพริบ เหมือนกับกรอบโลหะที่ฝังเลี่ยมเอาไว้ ตรงแกนกลางกำลังกลืนกินทุกสิ่งในป่ารอบๆ
กรวดหินดินทราย รากไม้และใบไม้ ทุกสิ่งค่อยๆ กลายเป็นจุดแสงโปร่งแสงแล้วถูกดูดเข้าไปในก้อนดำ
“นี่คือทางเข้าห้วงฝันของตี้วาในครั้งนี้” เจ้าสำนักวสันต์สารทคือหญิงชราท่าทางเฉียบขาดที่มีขนคิ้วยาวมาก นางใส่เสื้อคลุมยาวสีขาวบริสุทธิ์ สวมเครื่องประดับสีทองบนหน้าผาก ถือไม้เท้าไว้ในมือ
นางมองชายชราคนที่สามอย่างเย็นชา
“เป็นอย่างไร เข้าไปได้หรือไม่”
ชายชราคนที่สามมีรูปโฉมธรรมดา ถ้าหากไม่ใช่เพราะควันขาวหลายสายที่วนเวียนอยู่รอบๆ ตัว เกรงว่าจะไม่ต่างอะไรจากชายชราทั่วไป
พอได้ยินคำถาม เขาก็ยิ้มเล็กน้อย
“ข้าขอลองดูก่อน”
“สหายร่วมเส้นทางลู่ ครั้งนี้พวกเราจะได้อะไรกลับไปหรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับท่านแล้ว เทียบกับหลายครั้งก่อนหน้า ครั้งนี้อันตรายมาก แต่ผลพลอยได้ก็เหนือกว่าก่อนหน้ามากโขเช่นกัน โปรดระมัดระวังตัวด้วย” เจ้าลัทธิไม่จีรังเตือนอย่างราบเรียบขึ้นด้านข้าง
“ผู้แซ่ลู่ย่อมทราบดี” ชายชราคนที่สามคือลู่เซิ่ง เขาใช้ตนเองในสภาพแก่ชรามาพบปะกับเจ้าลัทธิทั้งสอง
เนื่องจากมีการหลอกลวงธรรมชาติที่มีเฉพาะในหมู่มารสวรรค์ บวกกับการอำพรางอย่างอื่น จึงปกปิดจิตวิญญาณไว้ได้อย่างแน่นหนา
เพียงแต่จะปกปิดคนทั้งสองได้จริงๆ หรือไม่ ตัวลู่เซิ่งก็ไม่ทราบเช่นกัน
แต่ต่อให้จะปกปิดไม่ได้ เขาก็ไม่สนใจอยู่ดี
“ทั้งสองท่านโปรดคุ้มครองข้าด้วย” ลู่เซิ่งกระโดดตรงดิ่งเข้าหาก้อนสีดำ
เจ้าลัทธิไม่จีรังยื่นมือออกมาโบก หมอกขาวพร่ามัวผืนใหญ่พลันฟุ้งกระจายออกไปรอบๆ เพื่ออำพรางทะเลป่าทั้งหมดในรัศมีมากกว่าหมื่นลี้ไว้
แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน ทุกสิ่งมีชีวิตในรัศมีหมื่นลี้ต่างก็หลับใหล สติสัมปชัญญะหายไป
แค่ความสามารถนี้ ถ้าหากเป็นโลกใบเดิม วิชาน่ากลัวที่ปกคลุมพื้นที่ของประเทศประเทศหนึ่งได้ สามารถทำลายฟ้าดินได้แล้ว
แต่พอมาอยู่ในสถานที่ซึ่งมีชื่อว่าพิภพลี้ลับแห่งนี้ เพียงแค่ปกคลุมทะเลป่าที่ไม่ถือว่าใหญ่โตสำหรับพิภพลี้ลับได้ผืนหนึ่งเท่านั้น
ลู่เซิ่งกระโดดลงไปด้านหน้าก้อนสีดำอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอื้อมมือออกไปช้าๆ และดีดควันสีดำสายหนึ่งออกมาเพื่อหยั่งเชิง
ควันสีดำทะลุออกจากก้อนสีดำในพริบตา ก่อนจะหล่นใส่กลางทะเลป่าด้านทิศเหนือ แล้วเผาทำลายพื้นหญ้าผืนเล็กๆ ทิ้งไป