ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 697 แก้แค้น (1)
บทที่ 697 แก้แค้น (1)
ณ เขตดาวปริศนา
ดาวเคราะห์สีฟ้าหมุนวนรอบดวงอาทิตย์สองดวงอย่างแช่มช้า ดาวฤกษ์สีทองที่เจิดจ้าสองดวงกระจายความร้อนที่น่ากลัวและน่าตกใจออกมาตลอดเวลา
เรือเหาะสีดำที่พังเละไม่มีชิ้นดีลำหนึ่งลอยเท้งเต้งอยู่กลางนภาดาราสีดำสนิท ไม่ขยับเขยื้อน คอยพ่นแสงสีฟ้าอ่อนแรงเป็นจุดๆ ออกมาจากช่องไอพ่นด้านข้างเป็นระยะ
โครมๆๆ
ด้านในห้องควบคุมหลัก หมีก่วงอิงค่อยๆ คลานออกมาด้วยใบหน้าอาบเลือด โคลงศีรษะเล็กน้อยและกวาดตามองรอบๆ
‘อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลหมีอย่างข้ากลับมีเวลาตกสู่สภาพแบบนี้กับเขาด้วย ลู่เซิ่งเอ๋ยลู่เซิ่ง ถ้ากลับไปเจ้าไม่ชดเชยให้ข้าล่ะก็ เจ้าได้เห็นดีแน่!’
นางผลักตู้สีเงินที่ทับร่างตัวเองออกอย่างกระหืดกระหอบ แล้วยันตัวลุกขึ้นจากพื้น
แม้นางจะอยู่ดีกินดีมาตั้งแต่เด็ก ที่แล้วมาใช้ชีวิตประดุจองค์หญิง หรือใช้ชีวิตดีกว่าองค์หญิงตั้งไม่รู้กี่เท่า
ทว่าตั้งแต่ถูกน้องชายทำร้ายและถูกคนผู้นั้นผนึกไว้ ประสบการณ์ในตราผนึกก็ได้ลบความภาคภูมิใจในตอนแรกของนางไปเสียสิ้น ความมั่นใจในตัวเองและโรคองค์หญิงถูกลบทิ้งจนหมดเกลี้ยง
หมีก่วงอิงกระอักเลือดออกมาอย่างหนัก ก่อนจะลากขาที่ถูกกระแทกหักไปพิงผนังที่เย็นเฉียบของเรือเหาะ
‘สถานการณ์ไม่ดีเลย…’ นางยื่นนิ้วชี้ออกมาแตะอากาศเบาๆ
แสงเย็นเยียบสีน้ำเงินจุดหนึ่งแวบขึ้นบนนิ้ว แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในอากาศ
“บัดซบ!” หมีก่วงสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เทวลักษณ์สีฟ้าปรากฏกลางหว่างคิ้ว แต่ว่าเทวลักษณ์เพิ่งโผล่มาก็มืดสลัวลงอย่างรวดเร็ว
‘เป็นไปไม่ได้’ นางกัดฟันและเหลียวมองรอบๆ
“อันซา? อยู่หรือไม่?!”
เสียงสะท้อนในห้องควบคุม แต่ผ่านไปนานก็ยังไม่มีการตอบกลับ
‘ครั้งนี้แย่แล้ว…’ หมีก่วงอิงชะงักไปเล็กน้อย แล้วดึงที่หนีบผมสีดำที่หนีบไว้บนผมยาวของตัวเองออกมาอย่างแรง
เปรี้ยง
ที่หนีบผมแตกออกเป็นเสี่ยง แสงสลัวสีดำอมน้ำเงินแผ่พุ่งออกมารอบๆ ตัวนาง เกราะศึกทรุดโทรมหลอมละลายกลายเป็นแสงสีดำอย่างรวดเร็ว จากนั้นอาภรณ์รัดรูปสีดำชุดหนึ่งก็จับตัวกันโผล่ออกมาในแสงดำ
ชุดรัดรูปเป็นเครื่องแบบต่อสู้พิเศษที่ผสมระหว่างเกราะอ่อนและเสื้อผ้า ขับเน้นเอวที่คอดกิ่วและอกที่ตั้งตระหง่านของนาง
ท่อนล่างคือวัสดุผ้าโปร่งบางเหมือนกับกางเกงรัดรูปสีดำซึ่งหุ้มตั้งแต่ขาอ่อนไปถึงปลายเท้า เพียงแต่ด้านนอกขาอ่อนทางขวามือมีลวดลายสีดำที่เหมือนกับมีดสั้นเพิ่มมา นั่นเป็นสัญลักษณ์พิเศษในตระกูลหมี
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย หมีก่วงอิงก็ยื่นมือไปกดลงบนสัญลักษณ์นอกขาอ่อนเบาๆ
ขวดน้ำที่บรรจุของเหลวที่เหนียวหนืดและโปร่งแสงไว้เต็ม โผล่ขึ้นมาในมือของนาง
‘ยังโชคดีที่มิติสัญลักษณ์ยังใช้ได้!’
นางรีบเงยหน้ากรอกของเหลวในขวดใส่ปาก
พอดื่มจนหมด นางก็อดกลั้นต่อความอิดโรยทั่วร่างพร้อมกับเคลื่อนย้ายตำแหน่งไปทั่วห้องควบคุมหลัก
ไม่นานนางก็เจออันซาที่สลบอยู่ตรงมุมหนึ่ง ส่วนสุภาพบุรุษชราที่อยู่กับนางหายตัวไปแล้ว
หลังตรวจสอบภาพของอันซาเสร็จแล้วและทราบว่าไม่เป็นอะไร นางก็ย้ายไปที่แท่นควบคุมเพื่อตรวจสอบสภาพความเสียหายของเรือเหาะ รวมถึงรายงานการบินครั้งสุดท้าย
หลังจากกดลงบนแท่นควบคุมหลักที่ส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ รายงานการบินก็แสดงเนื้อหาออกมาอย่างรวดเร็ว
‘เรือเหาะได้รับแรงกระแทกจากภายนอก ระดับความสมบูรณ์ตกลงร้อยละเจ็ดสิบ’
‘ระดับความสมบูรณ์ตกลงร้อยละเจ็ดสิบห้า’
‘ระดับความสมบูรณ์ตกลงร้อยละแปดสิบ’
‘พบคลื่นมิติเวลาลับ’
‘พบคลื่นมิติเวลาลับ’
‘พบคลื่นมิติเวลาลับ…แหล่งพลังงานหมด…เปิดใช้เตาหลอมพลังงานสำรอง’
‘ตัวเรือเสียหายถึงค่าวิกฤติ เปิดใช้ระบบช่วยชีวิต ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือโดยอัตโนมัติ’
‘พิกัดมิติเวลาหายไป อยู่ระหว่างการตั้งพิกัดใหม่…การตั้งพิกัดผิดพลาด…การตั้งพิกัดผิดพลาด…’
ที่เหลือล้วนเป็นข้อความว่าการตั้งพิกัดผิดพลาด
‘ว่าแล้วเชียว! ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุด!’ พอหมีก่วงอิงอ่านรายงานการบินจบ ก็ทราบว่าต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้น
นางสั่งให้ติดต่อลู่เซิ่งก่อนจะสลบไป ตอนนั้นน่าจะเพิ่งหลุดจากคลื่นมิติเวลาลับ นึกไม่ถึงว่าจะเจอคลื่นลับอีกรอบหลังจากนางสลบไป…
หมีก่วงอิงคับข้องใจขนาดนี้เป็นครั้งแรก
เคราะห์ดีที่ครั้งก่อนนางถูกเหวี่ยงเข้าคลื่นมิติเวลาลับแล้วหลงไปถึงโลกเก๋อซาจนถูกผนึกหลายร้อยปี จึงมีประสบการณ์และการเตรียมตัวบางส่วนแล้ว
‘จากสถานการณ์ในตอนนี้ จะต้องแยกแยะก่อนว่ายังอยู่ในโลกมารสวรรค์หรือไม่!’ นางลูบสัญลักษณ์ด้านนอกขาอ่อน สิ่งของที่เหมือนกับเข็มกลัดสีแดงอันหนึ่งโผล่ขึ้นมาในมือนาง
ในเข็มกลัดมีเข็มสีเงินสิบกว่าเล่ม ตอนนี้กำลังหมุนวนไปทั่วไม่ยอมหยุดลง
‘สนามแม่เหล็กระบบดาวสิบกว่าแห่งที่เราบันทึกไว้…ไม่มีสักที่เลยเหรอเนี่ย ในเวลาสั้นๆ ไม่น่าจะบินมาไกลขนาดนี้สิ! ความเป็นไปได้เดียว…ก็คือ…’ หมีก่วงอิงสีหน้าเหยเก
นางกดไปกดมาบนแท่นควบคุมหลักอย่างรวดเร็วอีกรอบ แสงสีแดงกลุ่มหนึ่งพลันสว่างบนแท่น
สภาพของตัวเรือซึ่งมีแต่แสงสีแดงปรากฏอยู่บนแท่นควบคุมหลัก
‘สีแดงๆ มีแต่สีแดง! แย่แล้ว!’ หมีก่วงอิงควานหาอย่างละเอียด ในที่สุดก็เจอสีน้ำเงินอยู่ตรงมุมหนึ่ง
‘ฟิ้ว! ยังดีๆ! เคราะห์ดี!’ อาณาเขตสีน้ำเงินนี้คือจุดที่มีความสามารถคุ้มกันสมบูรณ์และแข็งแกร่งที่สุด
ขณะเดียวกันยังเป็นที่อยู่ของครอบครัวและสายตรงสำนักมารกำเนิดของลู่เซิ่ง
“ยังดีที่ตรงนี้ไม่เป็นไร…”
“ไม่…ชั่วครู่ก่อนจะเกิดเรื่อง เฉินอวิ๋นซีภรรยาของลู่เซิ่งกับลู่หนิงลูกชายของเขากำลังกินข้าวที่โรงอาหารด้านนอก…” เสียงที่แหบพร่าอยู่บ้างเสียงหนึ่งดังมาจากด้านข้างหมีก่วงอิง
อันซาฟื้นสติแล้ว นางขมวดคิ้วมองจุดสีแดงบนแท่นควบคุมหลักด้วยสีหน้าซับซ้อน
“เจ้าแน่ใจหรือ” สีหน้าของหมีก่วงอิงอึมครึมลง
“แน่นอน ข้าเห็นเฉินอวิ๋นซีกับลู่หนิงลอยหายไปพร้อมกับตัวเรือที่แตกออกเป็นเสี่ยงด้วยตาตัวเอง” อันซากล่าวด้วยอารมณ์หม่นหมองหดหู่
“ยังมีเค่อหลู่…เขาถูกสะบัดหายไปจากตัวเรือเหมือนกัน…” เค่อหลู่คือสุภาพบุรุษชราผู้นั้น
“…โอกาสรอดอาจจะ…” หมีก่วงอิงยังพูดไม่จบ อันซาก็พูดต่อ
“ไม่ต้องคิดแล้ว เฉินอวิ๋นซีตายแล้ว กายเนื้อของคนธรรมดาถูกม้วนเข้าไปในอวกาศ มิพักเอ่ยถึงอย่างอื่น แค่การกดทับจากสุญญากาศก็บดขยี้นางจนตัวระเบิดได้แล้ว” อันซาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนกำลังข่มกลั้นอะไรเอาไว้
ทั้งสองคนนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง
โครม!
หมีก่วงอิงทุบกำปั้นกับขอบแท่นควบคุมหลัก
“มารดาแห่งปรภพ…!” นางกัดฟันกล่าว
“ยังดีที่ข้าสั่งให้คนไปบอกลู่เซิ่งแล้ว” เสียงของอันซาอ่อนแรงและเบาลงเรื่อยๆ จากนั้นศีรษะของนางก็เอียงห้อย สลบลงไปอีกครั้ง
หมีก่วงอิงกวาดตามองนาง รู้สึกว่าร่างของอันซาค่อยๆ กลายเป็นอากาศ ยิ่งมายิ่งโปร่งแสง
“บัดซบ! มารสวรรค์จุติ!” กลัวอะไรก็ได้อย่างนั้นจริงๆ
เมื่อมารสวรรค์มาถึงจักรวาลหรือโลกใบอื่น จะใช้วิธีจุติเพื่อหลบเร้นการสะกดของโลกตามสัญชาตญาณ
นี่เป็นความสามารถที่มีเฉพาะในหมู่เจ้าแห่งอาวุธที่เป็นมารสวรรค์
ทว่าดันมาจุติตอนนี้ อันซากับหมีก่วงอิงจึงแยกจากกันโดยสมบูรณ์
‘ครั้งนี้ลำบากแล้ว…’ หมีก่วงอิงฝืนเขยิบเข้าไป คิดจะเขย่าตัวอันซา แต่ช้าไปแค่ก้าวเดียว อันซาก็กลายเป็นโปร่งแสงโดยสมบูรณ์ แล้วเปลี่ยนเป็นจุดแสงสีดำสลายไปจากที่เดิม
“ว่าแล้วเชียว!” หมีก่วงอิงทุบกำปั้นกับผนัง ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงข้างตำแหน่งของอันซาและพิงศีรษะกับผนัง
‘ทุลักทุเลจริงๆ…’ นางแหงนศีรษะพิงกับผนัง ผมดำยาวระตามไหล่ลงไปบนร่าง สองขาเรียวยาวประกบกัน พิงเอียงๆ อยู่บนชิ้นโลหะสีเงินที่แตกหักก้อนหนึ่ง
‘ตอนนี้ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่แร่ดิบแล้ว…’ นางลูบสัญลักษณ์อีกรอบ พร้อมกับแตะก้อนหินด้วยความหวังสุดท้าย
แร่ดิบสั่นไหวเล็กน้อยแล้วกลับเป็นปกติ
‘เป็นอย่างที่คิด…ของอย่างคลื่นลับไม่อาจเจาะแบบปกติได้…ติดต่อกับสมาคมธวัชเหล็กไม่ได้แล้ว’ หมีก่วงอิงหัวเราะขื่นขม ‘ตอนนี้ได้แต่พึ่งตัวเองแล้ว’
ครั้งนี้ดีที่ครอบครัวและสายตรงในสำนักของลู่เซิ่งไม่เกิดเรื่องทั้งหมด ไม่อย่างนั้นต่อให้นางตายหมื่นครั้งก็ยังไม่พอชดใช้โทษ
…
ดาวซีจิง
ลำแสงสีเหลืองอ่อนสายหนึ่งพุ่งมาแต่ไกล แล้วหยุดห่างจากดาวเคราะห์สิบกว่าปีแสง
ร่างของบุรุษหนุ่มที่กำยำโผล่ขึ้นกลางลำแสง
เขาถือหอกยาวสีดำสองเล่ม สะพายเกราะกระดองเต่าสีดำทรงขนมเปียกปูนไว้บนหลัง ผมสั้นสีดำตั้งตรง
“หาเจอหรือยัง” มีเสียงดังมาจากคอเสื้อของบุรุษหนุ่ม
“ไม่ น่าจะถูกม้วนเข้าไปในคลื่นมิติเวลาลับแล้ว” บุรุษหนุ่มเหลียวมองรอบๆ ค้นหาบางอย่างไปพลาง พูดตอบคอเสื้อไปพลาง
“ทางกลุ่มที่สี่เล่า” เขาถามสั้นๆ
“ไม่เจอเหมือนกัน เจอแค่ซากส่วนหนึ่ง” เสียงของสตรีอีกคนดังออกมาจากคอเสื้อ
“นึกไม่ถึงว่าดาวปรภพที่สามจะมีเรือเหาะระดับนี้โผล่มา ที่เหลวไหลที่สุดก็คือเรือเหาะลำนี้ยังฝ่าแนวป้องกันผนึกได้อีกต่างหาก น่าเหลือเชื่อโดยแท้” บุรุษหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ
“ใช่แล้ว…ถ้าไม่ใช่เงาของเจ้าลัทธิลงมือเอง เกรงว่าเรือเหาะลำนั้นจะหนีไปได้อย่างปลอดภัยจริงๆ” เสียงของสตรีแฝงความตกใจเล็กน้อย
“จริง…” บุรุษหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ นึกถึงการโจมตีของเรือเหาะเมื่อก่อนหน้า สหายของเขาพูดถูกจริงๆ ถ้าหากนาทีสุดท้าย…
“หือ?” จากความว่างเปล่าที่อยู่ไกลออกไป อยู่ๆ บุรุษหนุ่มก็เห็นเรือเหาะทรงกระสวยลำหนึ่งกำลังบินไปยังทางดาวซีจิงด้วยความเร็วสูง
“หยุดก่อน!” บุรุษหนุ่มนิ่วหน้าก่อนจะพุ่งเข้าไปสกัดไว้ทันที
“ที่นี่คือระบบดาวปรภพ! เป็นอาณาเขตส่วนบุคคล! ถ้าอยากจะผ่านต้องแสดงใบผ่านทางก่อน!”
พอเข้าไปใกล้ เขาจึงค่อยพบว่าเรือเหาะลำนั้นเล็กมาก อย่างมากสุดก็มีขนาดครึ่งหนึ่งของเรือเหาะทั่วไปเท่านั้น กว้างยาวไม่เกินสิบหมี่ เป็นเรือเหาะขนาดเล็กสำหรับคนเดียว
บุรุษผมสั้นสีดำที่มีร่างบึกบึนคนหนึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งคนเดียวด้านในห้องขับของเรือเหาะ
ครั้นได้ยินเสียง บุรุษก็ค่อยๆ หยุดเรือเหาะลง
“ขอถามว่าที่นี่คือดาวซีจิงใช่หรือไม่”
บุรุษหนุ่มที่ลาดตระเวนอยู่งุนงง “แน่นอน ที่นี่เป็นอาณาเขตส่วนบุคคลของมารดาแห่งปรภพ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็อย่ามาเพ่นพ่าน รีบถอยออกไปเสีย!”
“อย่างนั้น ดาวซีจิงเป็นเขตของมารดาแห่งปรภพใช่ไหม” บุรุษผมสั้นถามอีก
“แน่นอน เจ้าถามไปทำไมเยอะแยะ” บุรุษหนุ่มที่ลาดตระเวนขมวดคิ้ว เข้าใกล้อีกหน่อย พร้อมกับกวัดแกว่งหอกยาวในมือ แสงสีเหลืองอ่อนหลายสายกระเพื่อมขึ้นกลางความว่างเปล่า
ไม่นานนัก แสงสีเหลืองอีกสองสายก็บินมาถึง เป็นเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี
ทั้งสามสวมเครื่องแบบและมีอาวุธสั่งทำเหมือนกัน ถือหอกคู่ ตัวหอกยาวจนน่าตกใจ เป็นอาวุธใช้โจมตีเรือ
“เป็นอะไรไป ทางนี้มีคนจะเข้าระบบดาวหรือ” บุรุษผมแดงร่างผอมอีกคนในกลุ่มลาดตระเวนเขยิบเข้ามาถาม
“ตรงนี้เป็นหนึ่งในทางเข้าออกเพียงสองสามทางในคลื่นมิติเวลาลับ หากจะเข้าไป ได้แต่เข้าไปจากตรงนี้” สตรีลาดตระเวนเอ่ยอย่างราบเรียบ “ถามสถานการณ์แล้วหรือยัง”
“ยัง กำลังจะถาม พวกเจ้าก็มาพอดี”
ทั้งสามคนมองเรือเหาะ เรือเหาะส่วนตัวเป็นของระดับสุดยอดที่มีมูลค่ามหาศาล ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปไม่มีปัญญาซื้อ ยิ่งอย่าว่าแต่ขับมาถึงสถานที่ไกลปืนเที่ยงแบบนี้คนเดียว