ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 699 รูปจิต (1)
บทที่ 699 รูปจิต (1)
ณ เขตดาวปริศนา
หมีก่วงอิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อครู่นางหลับไปเพราะอิดโรยเหลือเกิน
ไม่ทราบว่าหลับไปนานเท่าไหร่
‘ยังดี’ นางลูบขาทั้งสองของตัวเอง อาการบาดเจ็บตรงจุดที่กระดูกหักหายดีแล้ว
สัจพลังในกายไหลเวียนอย่างรวดเร็ว จุดที่ยังติดขัดเล็กน้อยได้รับการซ่อมแซมพอประมาณ จึงดีกว่าตอนที่เพิ่งตื่นมาก
‘นั่นคือเงาของมารดาแห่งความเจ็บปวดหรือ ข้าจำเจ้าไว้แล้ว’ เป็นครั้งที่สองตั้งแต่เกิดมาที่หมีก่วงอิงถูกเล่นงานหนักขนาดนี้
ต่อให้เป็นตอนทำภารกิจในสมาคมธวัชเหล็ก ก็ไม่ได้อลังการขนาดนี้
นางกวาดตามองตำแหน่งเดิมของอันซาอีกรอบ
‘ไม่อยู่จริงๆ ด้วย’
นางคืบคลานขึ้นจากพื้น แล้วตบฝุ่นบนขา ก่อนจะเดินไปกดปุ่มควบคุมบนแท่นควบคุมหลัก
ครืด…
ประตูกั้นระหว่างห้องควบคุมหลักและห้องโดยสารค่อยๆ เลื่อนขึ้นด้านบน
หมีก่วงอิงก้มหน้ามองเครื่องแบบต่อแบบสู้พิเศษบนร่างตัวเอง รู้สึกระอาอยู่นิดหน่อย
‘คนที่เพิ่งเอาเครื่องแบบต่อสู้มาสวมหลังจากต่อสู้เสร็จแล้ว ในเขตดวงดาวคงมีอยู่ไม่กี่คน…’
นางปวดเนื้อปวดตัวและไร้เรี่ยวแรง อยู่ในสภาพอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่เป็นเพราะเครื่องแบบต่อสู้ที่ปกป้องกายเนื้อ เลยไม่มีความเสียหายแม้แต่น้อย
ได้ใช้ประโยชน์ในนาทีนี้พอดี
‘รู้สึกแปลกๆ…’
หมีก่วงอิงยันกำแพงพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องโดยสารอย่างช้าๆ
ซากศพกระจัดกระจายไปทั่วในห้องโดยสาร ศพส่วนใหญ่สวมเครื่องแบบของสำนักมารกำเนิดสีขาว มีทั้งบุรุษและสตรี
ศพลอยไปมากลางสุญญากาศ ระบบช่วยเหลือชีวิตสูญเสียประสิทธิผลไปนานแล้ว
‘จำได้ว่าด้านหลังประตูกั้นคือห้องแยกตัว…ใช้ฆ่าเชื้อและแยกตัวสิ่งมีชีวิตพิเศษ…เหตุใดถึงมีคนมากมายขนาดนี้’ หมีก่วงอิงนิ่วหน้าพร้อมกับเดินเข้าใกล้ห้องแยกตัว
ศพของบุรุษที่ลอยเท้งเต้งศพหนึ่งค่อยๆ เข้ามาใกล้ ดวงตาเบิกโพลง ลูกตาแห้งและระเบิดไปแล้ว ของเหลวด้านในไหลอาบใบหน้าของเขา ดูเหมือนกับมีคนสาดเมือกสีเหลืองอ่อนใส่หน้า
สูดหายใจเฮือกหนึ่ง หมีก่วงอิงผลักศพออกไป แล้วเร่งความเร็วลอยตัวไปยังประตูห้องที่อยู่สุดห้องแยกตัว
โพละ!
มีเสียงอากาศรั่วดังมา
ประตูห้องทรงกลมที่อยู่สุดทางของห้องแยกตัวค่อยๆ ถูกนางเลื่อนออก เผยให้เห็นโถงใหญ่ที่กะพริบแสงสีแดงซึ่งอยู่ถัดเข้าไปอีกที
มีศพไม่น้อยลอยอยู่ในโถงใหญ่เช่นกัน บ้างก็เหลือแค่ครึ่งลำตัว เครื่องในและเลือดจับตัวเป็นก้อนกลมและล่องลอยไปทั่ว
“มีใครอยู่ไหม” นางตะโกนเสียงดัง
เสียงสะท้อนในโถงใหญ่ที่กว้างขวาง แต่ไม่มีใครตอบ
หมีก่วงอิงถอนใจเฮือกหนึ่ง แล้วเร่งความเร็วไปยังเขตป้องกันตรงกลางที่ยังคงทำงานอยู่เพียงส่วนเดียว ตรงนั้นคือเขตห้องที่คนจากตระกูลลู่และระดับสูงที่เป็นสายตรงของสำนักมารกำเนิดพักอาศัย
ลอยตัวเข้าไปได้ไม่นานเท่าไหร่ หมีก่วงอิงก็มายืนที่ประตูห้องของเขตป้องกันใจกลาง
แกร๊ก
อยู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากความมืดทางขวามือเบาๆ
หมีก่วงอิงชะงักมือที่ยื่นออกมา พร้อมกับตวัดสายตาไปทางขวามือทันที มีดสั้นสีดำเล่มหนึ่งโผล่ขึ้นมากลางฝ่ามือของนางในพริบตา
ด้านในความมืดมิด มีดสั้นสีดำปล่อยความบิดเบี้ยวอันแปลกประหลาดที่มองไม่เห็นออกมาบนคมมีด
มีดนิลห่างจิตเล่มนี้เป็นอาวุธป้องกันตัวที่ลุงของนางมอบให้ ก่อนจะออกเดินทาง เมื่อมาถึงจักรวาลแห่งนี้ แม้อานุภาพของมีดจะลดลงอย่างใหญ่หลวงเพราะกฎที่แตกต่างกัน แต่ความคมโดยพื้นฐานกับผลเร่งความเร็วสองชนิดก็ยังคงอยู่
ท่ามกลางความมืดมิด ดวงตาแคบยาวที่เรืองแสงสีแดงอ่อนคู่หนึ่งค่อยๆ เปิดขึ้นและจ้องมองลำคอของนาง
ฮือ…!
หมีก่วงอิงอาศัยแสงดาวที่ส่องลอดเข้ามาผ่านช่องโหว่บนตัวเรือในโถงใหญ่ พอจะมองออกได้ว่าสิ่งที่เดินออกมาจากในความมืดเป็นตัวอะไร
นั่นคือหญิงสาวงดงามที่มีผมยาวสีแดงอมม่วงคนหนึ่ง เพียงแต่หญิงสาวคนนี้ร่างเปลือยเปล่า มีแต่เกราะโลหะสีดำชิ้นเล็กๆ ที่ปกปิดจุดสำคัญสามจุดไว้เท่านั้น บนร่างของนางใต้แสงดาวเป็นกล้ามเนื้อที่กระชับเพรียวบางและผิวพรรณสีขาวนวลเป็นประกายแวววาว
สิ่งที่น่าสับสนมากที่สุดก็คือ หญิงสาวคลานสี่ขาและเผยคมเขี้ยวออกมา พร้อมกับคำรามเบาๆ ใส่นางเหมือนกับสุนัขตัวใหญ่
ปลายแขนขาของนางมีกรงเล็บหมาป่าที่แหลมคมงอกอยู่จริงๆ ส่วนสะโพกเองก็มีหางสีดำสนิทที่เต็มไปด้วยหนามเส้นหนึ่งเช่นกัน
“คุยกันได้ไหม” หมีก่วงอิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยภาษาภัยพิบัติ
ภาษาภัยพิบัติมีผลที่ใช้ส่งความคิดของตัวเองให้แก่อีกฝ่ายได้โดยตรง แม้อีกฝ่ายจะไม่รู้จักหนังสือหรือภาษาใดๆ ก็ตาม
ขอแค่อีกฝ่ายมีอวัยวะในการฟัง
กรรซ์!
ฉับพลันนั้นหญิงสาวก็กลายเป็นเงาหลงเหลือสีม่วงแล้วพุ่งเข้าใส่หมีก่วงอิงด้วยความเร็วที่น่าตื่นตะลึง
…
ดาวซีจิง
กระเรียนยักษ์สีดำโบยบินสู่ท้องฟ้าพร้อมกับส่งเสียงร้องที่น่ากลัว
เทียบกับครั้งก่อนแล้ว กระเรียนยักษ์พันเทวะใหญ่ขึ้นกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า ลำตัวยาวหลายสิบลี้
พันเทวะที่พุ่งเข้าไปสะบัดปีกกระแทกเข้ากับกลางฝ่ามือยักษ์กลางอากาศอย่างเหี้ยมหาญ
ตูม!
เป็นเพราะมือยักษ์สีทองใหญ่เกินไป จึงสู้ร่างพลังงานที่มีความหนาแน่นในระดับสูงของพันเทวะไม่ได้โดยสิ้นเชิง ทั้งสองฝ่ายเพิ่งสัมผัสกัน ก็เหมือนกับหนามสีดำเจาะนมข้นเหนียวสีทอง
ฝ่ามือสีทองถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ในพริบตา หมอกสีทองจำนวนมากกระจายออกมาจากในชิ้นเนื้อที่ระเบิดออก
จากนั้นก็รวมตัวกันเป็นสตรีสีทองเหลืองที่มีปีกสี่ข้างงอกอยู่บนหลังอีกครั้ง
ร่างของนางสูงถึงสามพันหมี่ เพิ่งโผล่มาก็โถมตัวใส่ลู่เซิ่งทันที
ปีกทั้งสี่ข้างด้านหลังของนางเรืองแสงสีทองอย่างเจิดจ้า
“กระดิ่งทองเก้าแปรเปลี่ยน!”
แสงสีทองกระจายออกทันที พร้อมกับยิงเงาแสงสีทองหลายสายออกไปสองฟากข้าง เงาทุกสายคือมนุษย์ทองคำปีกคู่ที่มีร่างเป็นสีทองเหลือง
มนุษย์ทองคำทั้งหมดต่างถือหอกยาวหลายเล่มไว้ในมือ พุ่งเข้าใส่ลู่เซิ่งอย่างแน่นขนัดโดยไม่ส่งเสียงอะไรเลย
มนุษย์ทองคำที่กระจายออกมามีอยู่เก้าตน แต่ละตนต่างปล่อยความเย็นเยียบเสียบกระดูกออกมาบนร่าง ทำให้ผิวของลู่เซิ่งรู้สึกเย็น
แสดงให้เห็นว่าพวกมันทุกตนต่างมีความสามารถที่ทำร้ายเขาได้
ลู่เซิ่งบินถอยหลัง พันเทวะกระพือปีกยักษ์กวาดใส่มนุษย์ทองคำสองตนด้านหน้า
เปรี้ยง!
เสียงกระแทกที่ดังเสียจนทำให้คนธรรมดาแก้วหูแตกได้ระเบิดออกมา
มนุษย์ทองคำสองตนปลิวถอยออกไปกระแทกกับพื้น ส่งผลให้พื้นยุบเป็นรู รูเล็กๆ สองรูปรากฏบนปีกสีดำของพันเทวะเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าโดนมนุษย์ทองคำแทงหอกใส่ตอนปะทะกัน
แต่ว่ารูปจิตไม่ดับสูญ มารสวรรค์ไม่ตาย
ลู่เซิ่งกระโจนตัวขึ้น แล้วพุ่งเข้าไปกลางอกของพันเทวะ หลอมรวมเข้ากับมันอย่างฉับพลัน
แกว๊ก!
พันเทวะอ้าปากเงยหน้าส่งเสียงคำราม บาดแผลสมานตัวในพริบตา ก่อนจะพุ่งเข้าใส่สตรีทองเหลืองสี่ปีกกลางท้องฟ้า
มนุษย์ทองคำที่เหลือพุ่งเข้าไปรุมล้อมมันอย่างบ้าคลั่งจากทั่วสี่ทิศแปดทาง แต่ถูกมันกระพือปีกกระแทกออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ทว่าสภาวะการพุ่งของพันเทวะกลับถูกขัดขวาง โจมตีอยู่หลายครั้งก็ยังคงจับตัวสตรีสี่ปีกไม่ได้
หลังพุ่งพลาดไปสองครั้ง จานกลมสีขาวขนาดยักษ์ใบหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาด้านหลังพันเทวะในทันใด เป็นจานประกายโรจน์!
จานประกายโรจน์หมุนวนอย่างช้าๆ เทวลักษณ์อันใหม่ค่อยๆ หมุนสู่ตำแหน่งศีรษะของกระเรียนยักษ์ จากนั้นก็หยุดลง
นั่นคือลวดลายอันเป็นตัวแทนพลัง เป็นพละกำลังล้วนๆ
แสงสีขาวซีดจางสว่างวาบบนตัวพันเทวะ
ซู้ด!
มันเงยหน้าสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง
กระแสอากาศขนาดมหึมากลายเป็นพายุในพริบตา พร้อมกับกระชากทุกสิ่งรอบๆ เข้าหาตัวเอง
มนุษย์ทองคำเก้าตนต้านทานไม่ไหว มีสามตนโดนดึงเข้าไปหาปากใหญ่ของพันเทวะ
พรูด!
กระเรียนยักษ์ยื่นเล็บแหลมคมออกมาข่วน มนุษย์ทองคำสามตนถูกฉีกทึ้งไปสองตนในทันที
มนุษย์ทองคำอีกหกตนที่เหลือพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง แล้วแทงหอกยาวทะลุหลังของพันเทวะ
แต่สิ่งที่น่าประหลาดก็คือบาดแผลที่แทงทะลุไม่มีรอยเลือดใดๆ
ตรงกันข้าม พันเทวะกลับใช้พละกำลังอันน่ากลัวลากมนุษย์ทองคำหกตนพร้อมกับพุ่งขึ้นสู่ด้านบน สตรีสี่ปีกที่กำลังควบคุมมนุษย์ทองคำสุดกำลังอยู่ด้านบนจึงถูกชนเข้าเต็มรัก
เปรี้ยง!
นางเหมือนถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงใส่ กระดูกทั่วร่างหักไปหลายสิบแห่ง จะงอยแหลมของพันเทวะเจาะทะลุทรวงอกของนาง
ตัวตนขนาดมโหฬารทั้งสองบินออกห่างจากดาวซีจิง
“คลื่นพิโรธ!” สตรีสี่ปีกดิ้นรนพลางตะโกน ในการต่อสู้ระยะประชิดด้วยกายเนื้อ นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพันเทวะโดยสิ้นเชิง จึงถือโอกาสปล่อยโลกรูปจิตออกมา
ก้อนแสงสีทองอ่อนกลุ่มหนึ่งขยายออกไปสี่ทิศแปดทางโดยมีนางเป็นศูนย์กลาง
กระเรียนยักษ์พันเทวะไม่ยอมแสดงความอ่อนแอเช่นกัน ก้อนแสงสีดำขลับกระจายออกมาจากทั่วร่าง
ก้อนแสงสีดำกับก้อนแสงสีทองปะทะเสียดสีกันอย่างรุนแรง จากนั้นก็ลากทั้งสองเข้าสู่โลกรูปจิตของอีกฝ่ายพร้อมๆ กัน
…
ลู่เซิ่งยืนนิ่งอยู่บนชายหาดงดงามสีขาวบริสุทธิ์
ท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปเป็นสีฟ้าครามสะอาด ผิวทะเลขยับขึ้นลงราวกับมหาสมุทรกำลังหายใจ
เขาได้สติกลับมา ก้มมองดูตนเอง เขาสวมเสื้อฟางและกระโปรงฟางที่สานขึ้นจากใบไม้ ใช้เถาวัลย์ที่หยาบเส้นหนึ่งสานเป็นเข็มขัด บนเข็มขัดมีหอกไม้หนึ่งสั้นหนึ่งยาวสองเล่มเหน็บอยู่
“อาเซิ่ง รีบมานี่เร็ว ปลาใกล้จะย่างสุกแล้ว รีบมากินเร็ว” บนชายหาดไม่ไกลออกไป สตรีงดงามที่สวมเพียงกระโปรงฟางคนหนึ่งโบกมือพลางร้องตะโกน
พอลู่เซิ่งเพิ่งเดินเข้าไปหา นางก็ยัดปลาย่างไม้หนึ่งใส่มือเขาทันที
“กินเลยๆ เสี่ยวหร่วนย่างเองกับมือเชียวนะ” นางยิ้มด้วยใบหน้ามีความสุข
ลู่เซิ่งมองปลาย่าง ในใจเกิดความอบอุ่นที่ยากอธิบายโดยไม่มีสาเหตุ นั่นคือความรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ทำให้เขาอดยกปลาย่างในมือขึ้นไม่ได้
ชั่วขณะนั้นราวกับเขาลืมเรื่องราวที่สำคัญบางอย่าง แต่ความรู้สึกมีความสุขนี้พันเกี่ยวอยู่รอบทรวงอก ทำให้เขาคร้านจะคิดเรื่องอื่นๆ
ลู่เซิ่งจึงถือโอกาสนั่งลง พร้อมกับกินปลาย่างในมือกับเสี่ยวหร่วนอย่างตะกละตะกลาม
“อร่อยไหม” นางถามเสียงอ่อนโยนพร้อมกับนั่งลงด้านข้างเขาเบาๆ
“รสชาติใช้ได้ แต่จืดไปหน่อย” ลู่เซิ่งพ่นตะแกรงเหล็กที่ใช้ย่างปลาออกจากปากครึ่งชิ้น แล้วหยิบก้อนหินที่เป็นสีแดงอีกหลายก้อนขึ้นยัดใส่ปาก ก่อนจะเคี้ยวจนแหลกแล้วกลืนลงไป
“เดี๋ยว! เจ้า…เจ้ากินอะไรลงไป!?” เสี่ยวหร่วนมองเขาอย่างตกตะลึง จากนั้นก็ตกใจจนหน้าถอดสี
นางหันไปมองจุดที่ใช้ย่างปลา นอกจากถ่านดำบางส่วนแล้ว ก้อนหิน ตะแกรงย่าง และถ่านไม้ที่ยังแดงอยู่ล้วนถูกลู่เซิ่งกลืนลงท้องไปโดยใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาที
“กินไม่ได้หรอกหรือ” ลู่เซิ่งงงงัน สมองที่สับสนอยู่บ้างของเขารู้สึกผิดปกติเล็กน้อยเช่นกัน เพียงแต่ตอนกินปลาเขาเผลอชิมสิ่งของใกล้ๆ ไปด้วย ครั้นพบว่ากินได้ก็จัดการจนหมดเกลี้ยง
“พระเจ้าช่วย!” เสี่ยวหร่วนทรุดนั่งลงบนหาดทรายพลางมองเขาด้วยความแตกตื่นหวาดหวั่น “เจ้า! เจ้าเป็นใครกันแน่!?”
“เป็นอะไรไป” ลู่เซิ่งมองสีหน้าที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงของเสี่ยวหร่วน พอได้ยินคำถามนี้ อยู่ๆ ความพร่ามัวในใจแต่เดิมก็กระจ่างชัดด้วยความเร็วสูง
“ข้า? ข้าคือ…ข้าคือ…” อารมณ์ของลู่เซิ่งค่อยๆ ดิ่งลง “ข้าคือลู่เซิ่ง…จริงสิ…ข้ามาทำอะไรที่นี่กัน”