ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 701 หลุดพ้น (1)
บทที่ 701 หลุดพ้น (1)
ควันหลายสายไหลเวียนกลางฝ่ามือลู่เซิ่งอย่างช้าๆ
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ค่อยๆ สูดควันเข้ารูจมูก จากนั้นถือโอกาสหลับตาและเข้าสู่ห้วงสมาธิ
เวลาค่อยๆ ผ่านไป
เขาพลันลืมตาขึ้น ก่อนจะมองไปยังด้านล่างกรอบสุดท้ายบนดีปบลู ตรงนั้นมีกรอบพร่ามัวกรอบหนึ่งโผล่มา
‘ชื่อเอาเป็นวิถีวิญญาณควันก็แล้วกัน’ เขาตั้งชื่อตามใจชอบ พลังอาวรณ์ถูกใช้ไปกับวิชาหมอกควันโดยอิงตามวิญญาณที่เพิ่งทำความเข้าใจ
หนึ่งหน่วย สองหน่วย สามหน่วย…
พลังอาวรณ์ที่เหมือนกับเส้นด้ายทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง แล้วแยกตัวกลายเป็นพลังงานโปร่งแสงที่มีความพิเศษชนิดหนึ่ง มันเปลี่ยนแปลงอีกหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายก็ซึมออกจากผิวของลู่เซิ่งและรวมตัวเป็นหมอกร่างมนุษย์ที่ไม่ชัดเจนตัวหนึ่ง
‘วิถีวิญญาณควัน’ ถูกเรียนรู้ไปหลายร้อยระดับ ความตระหนักรู้และความเข้าใจต่อหมอกควันของลู่เซิ่งไปถึงระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วยาม
หมอกควันวิญญาณที่ลอยออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟอย่างต่อเนื่องไม่ได้ดูลึกลับในสายตาของเขาอีกแล้ว
ขอบเขตถึงแล้ว ระดับถึงแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าดีปบลู แค่ใช้พลังอาวรณ์จำนวนมากแปลงเป็นพลังยุทธ์และพลังฝึกปรือก็พอ
‘มาเริ่มกันเลย…ขอดูหน่อยเถอะว่าธรรมชาติที่แท้จริงของโลกรูปจิตใบนี้เป็นอะไร!’ ลู่เซิ่งกางมือขวาออก
หมอกควันสีขาวเข้มข้นแผ่กระจายออกมาจากด้านหลังเขา แล้วรวมตัวเป็นวังวนสีขาวขนาดเล็กเหนือศีรษะของเขา
วังวนส่งเสียงครางฮือๆ และหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเริ่มดูดซับหมอกควันล่องลอยที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ เป็นจำนวนมาก
วิญญาณหมอกควันจำนวนมากที่ลอยออกมาจากปล่องภูเขาไฟถูกวังวนกระชากเข้าไปด้านในแทบจะทันทีที่โผล่ออกมา
วังวนสีขาวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ความสามารถควบคุมวิญญาณหมอกควันของภูเขาไฟค่อยๆ สู้แรงดึงของลู่เซิ่งไม่ไหว
รากไม้นับไม่ถ้วนบนพื้นดินเริ่มแผ่ขยายจากบนเกาะไปยังใต้ทะเลแล้ว
เปรี้ยง!
ฟ้าผ่าลงมาดังเปรี้ยง ท้องฟ้าค่อยๆ มืดมิดลง
ลู่เซิ่งประคองวังวนยักษ์ด้วยมือข้างหนึ่ง ขณะมองดูแกนหลักสีขาวซีดที่หมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ กลางวังวน
‘ที่แท้ก็เป็นแบบนี้…วัฏจักรสังเคราะห์หรือ ฝีมือไม่เลวทีเดียวนี่ แต่ว่าจะเทียบกับวัฏจักรความเป็นความตายที่ก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติได้ยังไง’ เขารู้ในทันทีว่าผู้เข้มแข็งมายาพิศวงคนนี้ไม่ใช่มารดาแห่งความเจ็บปวด
ขอบเขตมายาพิศวงของสตรีสี่ปีกไม่สูงนัก พลังแห่งวัฏจักรของนางมีร่องรอยถูกกระตุ้นโดยฝีมือคนที่ล้ำลึกมาก
ตอนที่บรรลุวัฏจักรวิญญาณหมอกควัน ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในนี้มีจุดที่ไม่สอดคล้องกันอยู่
ทั้งๆ ที่หากพัฒนาต่อไปตามหลักตรรกะทางธรรมชาติ จะมีบางจุดที่แสดงให้เห็นระบบทางธรรมชาติที่แตกต่างกัน จนไม่อาจกลายเป็นวัฏจักรที่สมบูรณ์ได้
แต่ความจริงระบบในที่นี้กลับสมบูรณ์ยิ่งกว่าโลกที่ได้จากการพัฒนาขึ้นตามธรรมชาติเสียอีก
‘ดูเหมือนนี่น่าจะเป็นหนึ่งในรองเจ้าลัทธิใต้อาณัติของมารดาแห่งความเจ็บปวด’ เขาฉุกใจนึกได้
‘ไม่แปลกหรอก ถ้านายพลเคลื่อนไหวตามใจในช่วงศึกสงคราม จะเกิดการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่อการรบอย่างมหาศาล’ ลู่เซิ่งแสยะยิ้มดุดัน
‘ช่างเถอะ ข้าจะทำให้เจ้ารู้ราคาจากการกระทำของตัวเองผ่านจุดจบของรองเจ้าลัทธิผู้นี้ก็แล้วกัน…ดีปบลู!’
อินเตอร์เฟซดีปบลูดีดออกมาอีกรอบ
‘เรียนรู้วิถีวิญญาณควัน!’
พลังอาวรณ์ไหลออกเป็นจำนวนมหาศาล พริบตาเดียวก็หายไปเกือบแสนกว่าหน่วย ส่วนวิถีวิญญาณควันก็พัฒนาถึงขอบเขตมากกว่าพันด้วยความเร็วสูงเช่นกัน
วังวนสีขาวขนาดยักษ์เหนือศีรษะของลู่เซิ่งหมุนวนด้วยความเร็วสูง ก่อนจะค่อยๆ สร้างรูกุญแจที่เหมือนกับสลักประตูขนาดยักษ์ออกมา
เสื้อคลุมบนตัวลู่เซิ่งโดนพายุฉีกกระชากและพัดจนส่งเสียงดังพั่บๆ หมอกควันวิญญาณมนุษย์ก็ปรากฏออกมาด้านหลังเขาอีกครั้งเช่นกัน
หมอกควันมนุษย์บิดเบี้ยวเล็กน้อยแล้วกลายเป็นกุญแจสีเงินดอกหนึ่ง
ผิวกุญแจสลักลวดลายซับซ้อนไว้นับไม่ถ้วน ตรงกลางที่ฉลุเป็นรูปกระบี่กำลังปล่อยระลอกคลื่นสั่นสะเทือนหลายกลุ่มออกไปรอบๆ อย่างไม่ขาดสาย
‘แม่กุญแจสู่สวรรค์ ต้นกำเนิดรูปจิต!’ ลู่เซิ่งพลันหมุนตัวไปคว้ากุญแจด้านหลัง ก่อนจะโยนขึ้นไปด้านบน
ฟ้าว!
กุญแจสีเงินที่สูงเท่าหนึ่งคนครึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วเสียบเข้ารูกุญแจตรงกลางวังวนอย่างมั่นคง
แกร๊ก
กุญแจพลันหมุนตามเข็มนาฬิกา
ฟิ้ว! ฟิ้วๆๆๆๆ!
แสงสีทองหลายสายพุ่งออกมาจากรูกุญแจอย่างฉับพลัน รอยแตกสีดำเล็กๆ หลายสายปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ลู่เซิ่งหัวเราะลั่นพร้อมกับกระโดดขึ้น กลายเป็นแสงสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในรอยแตกสายหนึ่ง ก่อนจะหายไปในพริบตา
…
ดาวซีจิง
เงาร่างขนาดยักษ์หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กสองสายคุมเชิงกันอยู่กลางอวกาศ
กระเรียนยักษ์พันเทวะที่เปลี่ยนมาจากลู่เซิ่งมีขนาดใหญ่หลายหมื่นหมี่ สตรีสี่ปีกที่อยู่ด้านหน้าสูงสามพันหมี่ เล็กกว่ากันมาก
แต่อานุภาพที่สองฝ่ายปล่อยออกมาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
“ดูเหมือนจิตวิญญาณของทั้งคู่จะโดนลากเข้าสู่โลกรูปจิตแล้ว มาถึงการปะทะระดับนี้เร็วขนาดนี้เชียว”
เงาหนึ่งม่วงหนึ่งแดงยังคงทอดตามองมาจากท่ามกลางความว่างเปล่าที่อยู่ไกลๆ
จันทร์สีม่วงพินิจพิจารณาเล็กน้อย เสียงทุ้มต่ำอยู่บ้าง
“ดูท่าทางรองเจ้าลัทธิของทางด้านมารดาแห่งความเจ็บปวดจะแย่แล้วนะ…”
“ถ้าแบบนั้นท่านก็ชนะน่ะสิ เหตุใดถึงไม่ทำท่าดีใจเลยเล่า” เงาสีแดงเอ่ยอย่างจนใจ
“ถ้าข้าชนะสิแย่ คนผู้นั้นเป็นคนที่ออกไปจากนครตราชั่งของข้านะ…” จันทร์สีม่วงกล่าวอย่างจนปัญญากว่า
“ตรวจสอบสถานะออกหรือยัง”
“ตรวจสอบออกคร่าวๆ แล้ว แต่ยังมีจุดที่ยังไม่กระจ่างไม่น้อย ถ้ายึดตามบันทึกในตอนแรก มายาพิศวงผู้ซ่อนเร้นพลังคนนี้ควรเป็นคนหนุ่มที่มีชื่อว่าลู่เซิ่ง นักพรตหนุ่มที่อายุยังไม่เกินสามร้อยปี” จันทร์สีม่วงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“สามร้อยปีหรือ? ท่านกำลังล้อข้าเล่นใช่หรือไม่” เงาสีแดงงุนงง
“ท่านไม่ได้ฟังผิดหรอก สามร้อยปีจริงๆ พวกเราดำเนินการสุ่มตัวอย่างวิเคราะห์ผ่านการกระจายความผันผวนของวิญญาณ ยืนยันว่าวิญญาณของเขาเพิ่งมีอายุไม่เกินสามร้อยปี ต่อให้ไปยังต่างโลก ฝึกฝนในสถานที่ที่เวลาไหลเร็ว ก็สามารถใช้วิธีสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีกระจายตัวตรวจสอบได้อยู่ดี” จันทร์สีม่วงอธิบาย
“ถ้าหากอายุไม่ถึงสามร้อยปีจริงๆ…ก็น่าตกใจเกินไปแล้ว ต่อให้จะเป็นพวกที่กลับชาติมาเกิดใหม่ ก็ไม่อาจไปถึงมายาพิศวงได้เร็วขนาดนี้”
“ถูกต้อง…เพราะแบบนี้ข้าก็เลยมาสังเกตการณ์ด้วยตัวเอง” จันทร์สีม่วงเอ่ยเสียงขรึม
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก เพียงแต่เพิ่มสมาธิไปที่การต่อสู้ของตัวตนขนาดยักษ์สองตัวตนที่คุมเชิงกันอยู่ไกลๆ
สัตว์ประหลาดที่บรรลุขอบเขตมายาพิศวงทั้งที่อายุยังไม่ถึงสามร้อยปี ถ้าหากดำรงอยู่จริงๆ อย่างนั้นไม่ว่าศึกครั้งนี้จะแพ้หรือชนะ ผลลัพธ์ก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงคนใด ก็ไม่มีทางปล่อยความลับที่เก็บซ่อนไว้บนตัวสัตว์ประหลาดตนนี้ไป
รวมถึงสองคนนี้ด้วย
มายาพิศวงในระบบอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกันยากจะฆ่าพวกมารสวรรค์มายาพิศวงจริงๆ ขอแค่พวกเขาไม่ปล่อยโลกรูปจิตออกมา ก็แทบจะไม่พ่ายแพ้ผู้ใดในเวลาอันสั้น
ทว่าแม้จะฆ่าไม่ตาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีวิธี
ตราผนึกเป็นสิ่งที่ออกแบบมาเพื่อจัดการมารสวรรค์ประเภทนี้โดยเฉพาะ
ความจริงทั้งสองมีความคิดลงมือแล้ว
…
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นกลางความว่างเปล่า เขาเห็นสตรีสี่ปีกด้านหน้าที่อยู่ในสภาพสับสนผ่านกายเนื้อของพันเทวะ
แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่หลุดออกมาจากโลกรูปจิตของเขา
“ลาก่อน…” ลู่เซิ่งอ้าปากพูดโดยไร้เสียง
ชั่วขณะนั้นแสงสีดำพุ่งออกไป พันเทวะกางปีกซ้าย ขนปีกสีดำนับไม่ถ้วนลอยออกไปจากปีกของมันเหมือนห่าฝน กลายเป็นลูกศรแสงสีดำหลายเล่ม พุ่งเป็นเส้นโค้งประดุจห่าฝนใส่ร่างของสตรีสี่ปีกอย่างดุดัน
ฟ้าวๆๆๆ…!
แสงสีดำนับไม่ถ้วนเจาะทะลุร่างของสตรี ทำให้นางหงายหลังอย่างต่อเนื่อง
แสงสีดำเหมือนกับมีพลังลุกไหม้อันแปลกประหลาด เพราะมีพลังไฟหยินของลู่เซิ่งเกาะติดอยู่ ทุกๆ ครั้งที่สตรีสี่ปีกถูกเจาะร่าง ก็จะปรากฏฉากอันยิ่งใหญ่ที่หมอกควันวิญญาณนับไม่ถ้วนของโลกรูปจิตกระเพื่อมขึ้นด้านหลัง
เพียงแต่ผิวทะเลที่สั่นกระเพื่อม ภูเขาไฟที่ระเบิด ท้องฟ้า เกาะ และน้ำทะเลในฉาก ล้วนถูกเปลวไฟสีเขียวเข้มย้อมไว้ชั้นหนึ่ง
‘ถูกข้าจับพิกัดโลกรูปจิตได้แล้ว ยังคิดหนีอีก’ ลู่เซิ่งอ้าปาก ฟันแหลมคมค่อยๆ โผล่ออกมา
โลกรูปจิตคือสถานที่ที่แข็งแกร่งที่สุดและอ่อนแอที่สุดของมารสวรรค์มายาพิศวง
เกิดว่าโลกรูปจิตถูกอีกฝ่ายจับตำแหน่งได้และสลัดไม่หลุด สิ่งที่เผชิญจะเป็นการโจมตีอันเหี้ยมหาญที่อีกฝ่ายจะระดมปล่อยเข้าใส่
และเกิดว่าโลกรูปจิตได้รับความเสียหาย ก็หมายความว่าจิตวิญญาณร่างหลักของมารสวรรค์มายาพิศวงก็จะได้รับความเสียหายเช่นกัน
อย่าว่าแต่ตอนนี้สตรีสี่ปีกยังตกอยู่ในโลกรูปจิตของลู่เซิ่ง ไม่อาจหลบหนีออกมาได้ จึงไม่อาจต้านทานได้อย่างมีประสิทธิภาพเลย
เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ร่างกายอันใหญ่ยักษ์ของนางก็ถูกเจาะเป็นรูพรุน โลกรูปจิตด้านหลังตกสู่เปลวเพลิงสีเขียวเข้มอันหนาแน่นกลุ่มหนึ่ง
ร่างที่ทรุดโทรมของสตรีสี่ปีกหดเล็กลงอย่างรวดเร็วหลังจากโดนไฟหยินเผาไหม้
‘จบแล้ว…’ ลู่เซิ่งก้าวไปด้านหน้า ออกจากด้านในร่างของพันเทวะ
เขาอ้าปาก ปากขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็กว้างหลายพันหมี่ จากนั้นก็งับลงด้านหน้า
สตรีสี่ปีกพร้อมกับหมอกควันสีขาวที่อยู่รอบๆ โดนเขากลืนกินในคำเดียว
“ลงมือ!”
อยู่ๆ แสงสีแดงสายหนึ่งก็พุ่งดิ่งใส่ด้านหลังลู่เซิ่ง แล้วกระแทกหลังเอวเขาอย่างแรง
ตูม!
แสงสีแดงระเบิดกลายเป็นเถาวัลย์และกิ่งไม้สีดำนับไม่ถ้วน รัดพันทั่วร่างลู่เซิ่งไว้หลายชั้นในพริบตาเดียว
“คิดจับข้าหรือ” ลู่เซิ่งยิ้มแย้มพร้อมกับหันไปมองเงาสีแดงสายหนึ่งที่บินมาจากที่ไกล
“มีความหมายหรือ” เขาเยาะหยัน
“ข้าขอไม่พูดคำพูดสวยหรู ขอแค่เจ้าบอกความลับที่เจ้าบรรลุถึงมายาพิศวงในเวลาสั้นๆ ออกมา ข้าไม่เพียงจะรับประกันชีวิตของเจ้า ยังจะช่วยเจ้าแก้ไขความขัดแย้งกับมารดาแห่งความเจ็บปวดด้วย” เงาสีแดงเข้ามาใกล้จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เป็นอย่างไร จะลองทบทวนดูหรือไม่”
“ความลับหรือ ข้าลู่เซิ่งมาถึงขอบเขตในปัจจุบัน ทุกครั้งล้วนเผชิญอุปสรรคนานัปการ สิ่งที่ใช้คือความมุมานะบากบั่นของตัวเอง ไม่มีความลับอะไรทั้งนั้น” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ ไม่ใช่สิ ถ้าบอกว่ามีความลับจริงๆ จะต้องเป็นเพราะข้าเก่งกาจเกินไป” เขากล่าวอย่างมั่นใจถึงขีดสุด
‘คำพูดนี้เจ้าไปหลอกผีสางเอาเถอะ’
เงาสีแดงสบถในใจ
“อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระเพื่อถ่วงเวลาได้หรือไม่ พวกเรามาทำตัวตรงไปตรงมาดีกว่า อย่าบังคับให้ข้าลงมือเลย”
“ทำตัวตรงไปตรงมาหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว “ข้าลู่เซิ่งตั้งแต่เกิดมาถึงวันนี้ ผ่านศึกมานับไม่ถ้วนแต่ไม่เคยลิ้มลองรสชาติความพ่ายแพ้! เจ้าคงไม่คิดกระมังว่าทำแค่นี้แล้วจะสะกดข้าได้”
“เจ้าไม่กลัวตาย แต่วิชาผนึกเล่า การเคลื่อนไหวใดๆ ของร่างกายนี้ของเจ้าจะถูกผนึกโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถหลบหนี ไม่สามารถเรียกใช้พลัง ถึงขั้นฆ่าตัวตายไม่ได้ด้วยซ้ำ เจ้าจะถูกผนึกไปแสนปี” เงาสีแดงยิ้มจางๆ “เจ้ากลัวหรือไม่”