ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 702 หลุดพ้น (2)
บทที่ 702 หลุดพ้น (2)
“เจ้าจะลองดูก็ได้” ลู่เซิ่งยิ้ม แม้จะปากแข็ง แต่เขาเป็นใครกัน เขาจะยอมทิ้งดีปบลูที่เป็นความได้เปรียบของตัวเองไปหรือ?
แน่นอนว่าไม่มีทาง
เขาคืออัจฉริยะ แต่เมื่อมีการสนับสนุนจากดีปบลู เขาก็เป็นอัจฉริยะยิ่งกว่าเดิมไม่ใช่หรือ
อัจฉริยะไม่มีทางทิ้งความร้ายกาจของตัวเอง หากมีเครื่องมือปรับเปลี่ยนแล้วไม่ใช้ นั่นไม่เท่ากับคนโง่หรอกหรือ
“เจ้าแน่ใจนะ” เสียงของเงาสีแดงค่อยๆ เย็นเฉียบ
ลู่เซิ่งหัวเราะลั่น ก่อนระเบิดร่างกลายเป็นเงาดำนับไม่ถ้วน สลายตัวไปอย่างฉับพลัน
เหมือนกับสิ่งที่เถาวัลย์รัดพันไว้เป็นเงากลุ่มหนึ่งตั้งแต่แรก
พันเทวะที่อยู่ไม่ไกลออกไปก็ระเบิดกลายเป็นชิ้นส่วนเงาดำนับไม่ถ้วนเช่นกัน
“นี่มัน?!” เงาสีแดงงุนงง “นี่มันความสามารถวิชาหลบหนี…ของพิภพลี้ลับนี่?!”
วิชาหลบหนีจากพิภพลี้ลับ! เป็นท่าไม้ตายหนีเอาชีวิตรอดที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
โดยเฉพาะเมื่อผู้บำเพ็ญของพิภพลี้ลับฝึกฝนถึงระดับหนึ่ง จะได้รับคุณสมบัติพิเศษที่มีชื่อว่าคุณลักษณะอมตะ
คุณสมบัติพิเศษนี้จะทำให้ตัวผู้บำเพ็ญเพียรไม่มีทางถูกวิชาด้านโชคชะตาและผลกรรมลอบโจมตี
พิภพลี้ลับกล่าวไว้ว่า หลอกลวงความลับฟ้า อำพรางชะตาชีวิต
และถ้าหากคุณลักษณะอมตะพัฒนาถึงระดับหนึ่ง ยังจะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ กลายเป็นกายเทวะอมตะที่ซับซ้อนที่สุดด้วย
พึงทราบว่า ร่างอมตะมีการแบ่งความแข็งแกร่งอ่อนแอเช่นกัน
คุณสมบัติอมตะที่เรียบง่ายที่สุดคือคุณสมบัติร่างคืนชีพด้วยความเร็วสูงทั่วไป
เป็นคุณสมบัติอมตะที่จะดูดซับพลังงานโภชนาการแบบผสมผสานอันหนาแน่นจำนวนมากมาคืนชีพโครงร่างร่างกาย เพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ
พวกนี้จะถูกเรียกว่าร่างอมตะระดับชีวิต ความหมายคือจำเป็นต้องใช้โภชนาการและพลังงานเหมือนกับสิ่งมีชีวิตธรรมดาถึงจะคืนชีพอย่างรวดเร็วได้ เกิดว่าพลังงานและโภชนาการที่สำรองไว้ในร่างกายถูกใช้จนหมด ความอมตะก็จะสูญหายไปเช่นกัน
“ร้ายกาจจริงๆ…ผ่านมาหลายปี ข้าเพิ่งจะเคยเห็นมารสวรรค์คนที่สองที่หลอมรวมคุณลักษณะอมตะและความสามารถวิชาหลบหนีของพิภพลี้ลับเข้ากับตัวเองได้”
จันทร์สีม่วงปรากฏแวบออกมาด้านหลังเงาสีแดงอีกครั้ง
“ท่านก็จับตัวไม่ได้เหมือนกันหรือ” เงาสีแดงกล่าวอย่างจนปัญญา
“เกือบแล้ว เป็นอย่างที่คาด บุรุษที่กล้างัดข้อกับขุมกำลังระดับดวงดาวไม่มีทางธรรมดา ผู้เข้มแข็งที่เลื่อนระดับถึงมายาพิศวงได้ไม่มีใครที่รับมือง่ายสักคน” จันทร์สีม่วงสะท้อนใจ
“ต่อให้จะเป็นวิชาหลบหนีของพิภพลี้ลับ ประสานกับโลกรูปจิต ก็ไม่มีทางหนีไปได้ไกล แม้วิชาหลบหนีจะเร็ว แต่ไม่ถึงกับข้ามอาณาเขตการรับรู้ของเราได้ในพริบตา” เงาสีแดงกล่าวเสียงเย็น
“แล้วถ้าเขาวางกายเนื้อส่วนหนึ่งของตัวเองไว้ในสถานที่ที่อยู่ไกลกว่า จากนั้นก็ฆ่าตัวตาย แล้วค่อยใช้โลกรูปจิตคืนชีพอย่างรวดเร็วเพื่อข้ามไปโดยตรงเล่า” จันทร์สีม่วงย้อนถาม
เงาสีแดงพลันตกตะลึง…
…
ณ นครตราชั่ง
ในคฤหาสน์ที่ลู่เซิ่งซื้อเอาไว้ ด้านในห้องลับที่ตอนแรกปิดผนึกแน่น เนื้อจากในช่องลับก้อนหนึ่งพุ่งออกมาลอยอยู่กลางอากาศ
ก้อนเนื้อขยับขยุกขยิก คืนชีพ ขยายขนาด และพองตัว ไม่นานนัก เนื้อที่มีขนาดเท่ากำปั้นก็เติบโตขึ้นกลายเป็นมนุษย์ร่างกำยำที่สมบูรณ์คนหนึ่ง
เส้นผมสีดำหลายสายงอกออกมาจากด้านบนศีรษะไปจนถึงเอวอย่างช้าๆ
‘อึ่ก…เพิ่งใช้ความสามารถนี้เป็นครั้งแรก…ไม่ชินอยู่บ้าง…’ ลู่เซิ่งขยับแขนขาและคอด้วยสีหน้าประหลาด
‘รู้สึกแย่ชะมัด เหมือนกับดิ้นออกมาจากเยื่อหนังที่รัดแน่นเลย…’
เขากวักมือ เสื้อคลุมสีเทาอมดำชุดหนึ่งลอยออกมาจากช่องลับ แล้วสวมลงบนร่างเขาโดยอัตโนมัติ
‘กายพันเทวะอมตะ…ขอแค่ทิ้งเนื้อก้อนหนึ่งไว้ในสถานที่สักแห่ง แล้วใช้ความสามารถคืนชีพของมารสวรรค์จากโลกรูปจิต ก็จะคืนชีพกายเนื้อด้วยความเร็วสูงได้ทุกที่ และยังเคลื่อนย้ายจิตวิญญาณได้อย่างรวดเร็วอีกต่างหาก’
มารสวรรค์คนอื่นไม่มีความสามารถเคลื่อนย้ายไปพร้อมจิตวิญญาณ อย่างมากสุดก็ได้แต่ซ่อนจิตวิญญาณไว้ในโลกรูปจิตเท่านั้น พอปรากฏตัวขึ้นใหม่ ก็จะได้แต่อยู่ที่เดิม
ต่อให้ทิ้งก้อนเนื้อไว้ในสถานที่อื่น ก็ไม่มีความหมายใดๆ อยู่ดี
แต่ว่าวิชาหลบหนีของลู่เซิ่งที่ประสานคุณลักษณะอมตะกับคัมภีร์ปีกขาวจากพิภพลี้ลับเข้าไป กลับพัฒนาเป็นความสามารถกายอมตะพันเทวะที่ร้ายกาจและแปลกประหลาดที่สุด
ขอแค่สถานที่ใดๆ มีก้อนเนื้อเหลือไว้เพียงเล็กน้อย เขาก็จะเลื่อนจิตวิญญาณได้ตลอดเวลา อยู่ในสภาพอมตะชั่วนิรันดร์
‘สารอาหาร…เราต้องการสารอาหารจำนวนมาก!’ ลู่เซิ่งรู้สึกว่าร่างกายกำลังลุกไหม้ การคืนชีพของกายเนื้อได้ผลาญสสารโภชนาการและพลังงานไปมหาศาล
พลังงานเขายังพอจะหามาได้ แต่เพราะกายเนื้อแข็งแกร่งถึงขีดสุด เลยทำให้พลังงานที่จำเป็นมหาศาลตามไปด้วย วิชาพันเทวะที่ร่างหลักเขาฝึกฝนก็พิสดารเป็นอย่างยิ่ง ในด้านพลังฝึกปรือและพลังยุทธ์แทบไม่พอจะตอบสนองเงื่อนไขได้
แต่ว่าสสารโภชนาการแตกต่างออกไป การคืนชีพในครั้งนี้ผลาญสัดส่วนสารอาหารเกือบร้อยละแปดสิบที่เขาสำรองไว้ก่อนหน้า โภชนาการทั้งหมดในก้อนเนื้อเล็กๆ นั้นถูกรีดจนแห้ง จึงค่อยสร้างโครงร่างมนุษย์ในปัจจุบันได้
‘ไม่ได้…นครตราชั่งไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว ต้องรีบไปทันที’ อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็นึกย้อนถึงกลิ่นอายของคนสองคนที่ลอบโจมตีในตอนจบเมื่อก่อนหน้า บนร่างของคนคนหนึ่งในนี้มีกลิ่นอายของนครตราชั่งอยู่
‘ไป!’
เขาก้าวเท้าก้าวหนึ่งกลายเป็นแสงสีเหลืองพุ่งออกจากห้องลับ จากนั้นก็ไปเก็บข้าวของที่จำเป็นด้วยความเร็วสูงเหมือนกับสายฟ้าฟาด
ยังดีที่ของสำคัญส่วนใหญ่ของเขาเก็บไว้ในไข่มุกกลืนสมุทรตลอดเวลา ที่เหลือจึงมีแต่ของใช้ในชีวิตประจำวันบางส่วนเท่านั้น
“ทัวหลัน เก็บของที พวกเราจะไปแล้ว” เขาไปเจอทัวหลันปาเฮ่อที่กำลังอาบน้ำอยู่
ประตูไม้ถูกชนพัง ทัวหลันปาเฮ่อที่ยืนอยู่ในอ่างอาบน้ำกำลังยกขาขึ้นถูน่องขาด้านในอยู่
พอประตูถูกชนเปิด ทั้งสองต่างอึ้งไปพริบตาหนึ่ง เห็นสัดส่วนลับจนหมดสิ้น
“เจ้าค่ะ! ข้าจะจัดการทันที!” ทัวหลันปาเฮ่อหุบขานั่งลงในอ่างอาบน้ำด้วยสีหน้านิ่งเฉย
ลู่เซิ่งหมุนตัวออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แล้วทำลายค่ายกลจุติที่ตัวเองวางไว้ทั้งหมดทิ้ง
จะให้คนทราบถึงรูปแบบค่ายกลที่เขาติดตั้งไว้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่จะเจอการรบกวนอย่างมุ่งร้ายในกระบวนการจุติจนเกิดอุบัติเหตุทางมิติเวลา
ราวห้านาทีให้หลัง
ลู่เซิ่งทำลายร่องรอยค่ายกลไปหมดแล้ว แม้แต่สัดส่วนความเข้มข้นของพลังงานในอากาศก็ถูกปรับเปลี่ยนไปด้วย จากนั้นเขาจึงเดินออกจากห้องนอน
ทัวหลันปาเฮ่อเปลี่ยนเป็นชุดหนังแนบเนื้อสีดำที่สะดวกในการเคลื่อนไหวเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังสะพายคันธนูยาวเรียบง่ายที่สั่งทำพิเศษไว้บนหลัง
“เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“นี่มันชุดอะไรกัน” ลู่เซิ่งไม่เคยเห็นนางสวมมาก่อน
“ชุดต่อสู้สั่งทำพิเศษราคาหนึ่งร้อยเงินน้ำแข็งในตลาด มีความคุ้มค่าสูงมาก ประกอบด้วยความสามารถเหินบินและความสามารถส่งอากาศหายใจให้โดยอัตโนมัติเจ้าค่ะ” ทัวหลันปาเฮ่อตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “ข้าใช้เงินค่าขนมที่ท่านมอบให้ซื้อมาน่ะเจ้าค่ะ”
“มีของแบบนี้ขายด้วยหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง
“มีเจ้าค่ะ นี่เป็นแค่ชุดที่ถูกที่สุดเท่านั้น ประสิทธิภาพการป้องกันคือรับประกันการเอาชีวิตรอดเป็นเวลาสั้นๆ ในอวกาศ”
“งั้นหรือ…” ลู่เซิ่งรู้สึกว่าในเวลาปกติตนเองอาจอยู่กับโลกของตัวเองมากเกินไป จนละเลยไปว่าภายนอกมีทรัพยากรใดบ้างที่ใช้ประโยชน์ได้
บางทีการหาคนมาดูแลการใช้ประโยชน์และการรวบรวมทรัพยากรภายนอกให้ตัวเองอาจเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเหมือนกัน
เขาขมวดคิ้ว พลันนึกถึงคนคนหนึ่ง ตวนมู่หว่าน
ตวนมู่หว่านหรือองค์หญิงของราชาปีศาจเป็นสตรีเพศผู้น่าเข้าหาและพึ่งพาได้ แถมนางยังมีรูปลักษณ์ที่ดีสุดขีด ควบคุมอารมณ์ได้เก่ง ความสามารถในการดูแลตัวเองก็ไม่เลว
‘พอนึกถึงตวนมู่หว่าน ก็นึกถึงเรื่องที่เกิดในครั้งนี้…’ ลู่เซิ่งเกิดความคับข้องใจอีกครั้ง
ท่านพ่อท่านแม่ เฉินอวิ๋นซี ลู่หนิง แล้วก็อาจารย์กับศิษย์ของสำนักมารกำเนิด…
‘มารดาแห่งความเจ็บปวด!’ ลู่เซิ่งแค่นเสียง ดวงตาเย็นชาลงอย่างรวดเร็ว
“ในบ้านมีอะไรกินได้ไหม” เขารีบถาม
“ในครัวมีห่านสิบกว่าตัว ไก่สามตัว กับลูกวัวตัวหนึ่งเจ้าค่ะ” ทัวหลันปาเฮ่อคอยดูแลงานจิปาถะในคฤหาสน์ พอได้ยินคำถามก็ตอบโดยอัตโนมัติ
“อยู่ที่ห้องครัวหมดเลยหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างละเอียด
“เจ้าค่ะ”
“พาข้าไปที!” ลู่เซิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง ให้ทัวหลันนำทาง ทั้งสองไปถึงที่ว่างเล็กๆ ด้านหลังห้องครัวอย่างรวดเร็ว
ฟ้าว
นิ้วของเขากลายเป็นเส้นหนามแหลมหลายเส้น แล้วปักใส่ตัวสัตว์เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
เกิดเสียงดูดดังขึ้นพร้อมกัน
ร่างของลู่เซิ่งเริ่มเกิดความรู้สึกสมบูรณ์อย่างช้าๆ โภชนาการส่วนหนึ่งได้รับการเติมเต็ม
“ไม่พอ! ยังไม่เพียงพอ!” ถึงสัตว์พวกนี้จะเป็นของระดับสูงที่หาได้ยากในตลาดก็ตาม ทว่านับตั้งแต่เขาไม่ต้องใช้เงินน้ำแข็งจำนวนมากอีก คุณภาพการใช้ชีวิตของเขาก็ได้รับการยกระดับขนานใหญ่ อาหารเหล่านี้จึงถูกซื้อหลังจากคัดเลือกมาอย่างดี
แต่ว่าสำหรับลู่เซิ่งที่ต้องการนำความแข็งแกร่งของร่างหลักกลับมา นี่ยังไม่เพียงพอ!
“ช่างเถอะ ไป!” เขาโอบเอวของทัวหลันปาเฮ่อด้วยแขนข้างหนึ่ง ก่อนจะพุ่งขึ้นท้องฟ้า
แสงหลบเร้นสีเหลืองอมแดงเหมือนกับลูกศรแหลม เจาะทะลวงม่านป้องกันกลางอากาศของนครตราชั่งและลอยไปยังค่ายกลข้ามมิติที่อยู่ไกลออกไปในพริบตา
ก่อนหน้านี้เขาได้ชิงเรือเหาะส่วนบุคคลระดับสูงลำหนึ่งใกล้ๆ ค่ายกลส่งตัว ครั้งนี้เขาเตรียมจะไปชิงอีกสักลำ
เรือเหาะส่วนบุคคลชนิดนั้นใช้ได้สะดวกจริงๆ
ด้านในนครตราชั่งไม่มีใครออกมาไล่ตาม ยอดฝีมือขอบเขตมายาจำนวนมากที่ใช้อำนาจได้ตามสถานการณ์ก็พุ่งขึ้นฟ้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังค่ายกลส่งตัวเป็นบางครั้งบางคราวเช่นกัน
ม่านกั้นของนครตราชั่งเพียงมีประโยชน์พื้นฐานเท่านั้น เป็นประเภทเอาไว้ป้องกันอุกกาบาต แต่ไม่ถือเป็นของสำคัญสำหรับผู้เข้มแข็งขอบเขตมายาที่แท้จริง
เพียงแต่การเหาะเหินของลู่เซิ่งเร่งรีบเกินไป จึงมีแสงเคลื่อนที่สีน้ำเงินหลายสายตามติดมาด้านหลังทันที
แต่เพิ่งไล่ตามได้ไม่นานเท่าไหร่ แสงเคลื่อนที่ก็ค่อยๆ ยอมแพ้
ความเร็วของพวกเขาสู้ลู่เซิ่งไม่ได้
ต่อให้ผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงจะไม่เชี่ยวชาญการเหาะเหิน แต่ก็เหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเจ้าแห่งอาวุธและขอบเขตมายาทั่วไปอยู่ดี
“ตอนนี้เราจะไปไหนหรือเจ้าคะ” ทัวหลันปาเฮ่อตะโกนถามในแสงเคลื่อนที่
เสียงของแสงเคลื่อนที่ดังเกินไป ถ้านางไม่ตะโกน ลู่เซิ่งก็ไม่ได้ยิน
“ไปทำเรื่องที่ควรทำ” ลู่เซิ่งตอบ มารดาแห่งความเจ็บปวดทำร้ายคนที่เขารักที่สุด แม้แต่หมีก่วงอิงก็ไม่ทราบหายสาบสูญไปไหน การฆ่ารองเจ้าลัทธิไปคนเดียว และการทำลายดาวซีจิงแค่ดวงเดียวยังไม่เพียงพอ
ไม่รอให้เหล่าผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงของนครตราชั่งเคลื่อนไหว ลู่เซิ่งก็ออกจากนครตราชั่งและไปถึงดาวเทียมค่ายกลข้ามมิติบนแถบดาวเทียมด้วยความเร็วสูงสุดแล้ว
ค่ายกลข้ามมิติระหว่างดวงดวงดาวสิบกว่ากลุ่มที่มีทิศทางแตกต่างกันถูกสร้างไว้บนผิวของดาวเทียมสีเทาที่เลี่ยนเตียน
แต่สิ่งที่ลู่เซิ่งให้ความสำคัญกลับเป็นเรือเหาะน้อยใหญ่อันแน่นขนัดที่จอดเทียบอยู่ในท่าดวงดาวด้านข้าง
เรือเหาะที่มีสีสันแตกต่างกันจอดเทียบอยู่กลางท่าดวงดาว อลังการและเป็นระเบียบเหมือนในภาพยนต์เกี่ยวกับดวงดาวที่ลู่เซิ่งเคยดูมาก่อน
ฟิ้ว!
เขาควบคุมแสงเคลื่อนที่ให้พุ่งเข้าไปในเขตเรือเหาะส่วนบุคคลที่กระจัดกระจายอยู่
แต่เพิ่งจะบินเข้าไปใกล้ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าตนพาทัวหลันปาเฮ่อมาอีกคน หนำซ้ำรอบนี้ไม่แน่ว่ายังจะช่วยผู้รอดชีวิตได้อีก เรือเหาะส่วนบุคคลต้องไม่พอใช้แน่
เขาจึงเลื่อนสายตา แล้วพลันเห็นเรือเหาะขนาดกลางบางส่วนที่กำลังลอยขึ้นไปเหนือศีรษะอย่างช้าๆ