ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 704 มังกร (2)
บทที่ 704 มังกร (2)
เรือเหาะออกห่างจากท่าเทียบดาวกับนครตราชั่ง ตัดทะลุระบบดาวเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง ก่อนจะกระโดดข้ามมิติอีกสองสามรอบ ในที่สุดก็มาถึงชายขอบอาณาเขตของระบบดาวที่อยู่ใกล้สำนักนทีคราม
แผนที่ดาวในเรือเหาะละเอียดถึงขีดสุด บันไซหลบเข้าไปในอุกกาบาตที่ใช้ซ่อนตัวได้ดีที่สุดอย่างมั่นใจ
เขาแสดงทักษะการขับเคลื่อนอันสุดยอดออกมาอย่างหมดจดในการหลบหลีกครั้งนี้ จนได้รับคำชมจากลู่เซิ่ง
เรือเหาะซ่อนตัวอยู่ในแถบอุกกาบาตอย่างเงียบๆ อาหารและน้ำที่สำรองไว้ในตัวเรือมีมากมาย มากพอให้สามคนใช้ไปหลายสิบปีโดยไม่มีปัญหา
แน่นอนว่าหากคำนวณปริมาณอาหารของลู่เซิ่งที่ใช้ในการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน หากต้องการจะกินให้อิ่มเพื่อเติมเต็มเงื่อนไขทางชีววิทยาของร่างกาย อย่างมากสุดก็ทนได้แค่สองปี
หลังจากซ่อนตัวแล้ว ลู่เซิ่งก็ใช้คุณลักษณะอมตะปกคลุมรอบๆ เรือเหาะ และใช้ประโยชน์จากปราณปฐพีของวิชาพันเทวะซ่อนเรือเหาะและคนอีกสองคนที่อยู่ด้านในไปด้วย
นี่เป็นการรบกวนความลับของฟ้า เพื่อป้องกันไม่ให้เจอการตรวจสอบจากวิชาด้านผลกรรม
จากนั้นเขาค่อยหาจังหวะออกไปตรวจสอบสภาพของนภาดารารอบๆ
หลังจากจับโจรสลัดดวงดาวที่อยู่ใกล้ๆ มาหลายกลุ่ม เขาก็ได้ทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวในปัจจุบันของสำนักนทีครามและมารดาแห่งความเจ็บปวดอย่างรวดเร็ว
มารดาแห่งความเจ็บปวดพิโรธโกรธกริ้วเพราะสูญเสียทัพใหญ่ที่เรียกระดมพลไว้บนดาวซีจิง ขณะเดียวกันก็ได้ส่งคนไปสืบหาที่อยู่ของเทพธิดาสี่กรซึ่งเป็นรองเจ้าลัทธิคนหนึ่ง
นอกจากนี้นางยังได้ส่งรองเจ้าสำนักอีกคนมาสืบหาคนร้ายตัวจริง
แต่การเคลื่อนไหวทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้น ทางสำนักนทีครามก็คว้าโอกาสได้ทันที
เจ้าสำนักลงมืออย่างเด็ดขาด นำพายอดฝีมือของสำนักบุกเข้าระบบดาวปรภพ แล้วเปิดศึกใหญ่กับมารดาแห่งความเจ็บปวดใกล้ๆ ดาวปรภพที่ห้า
ศึกครั้งนี้ระบบดาวปรภพสูญเสียอย่างสาหัส มารดาแห่งความเจ็บปวดได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนรองเจ้าลัทธิอีกคนบาดเจ็บหนัก ขุมกำลังของระบบดาวปรภพหดตัวลงครึ่งหนึ่ง เพียงเฝ้าคุ้มครองอาณาเขตใจกลางเท่านั้น
สำนักนทีครามกำชัย
ลู่เซิ่งลอบเข้าระบบดาวปรภพในสภาพแวดล้อมแบบนี้ พร้อมกับใช้แร่ดิบเพื่อติดต่อทางไกลกับหมีก่วงอิง แต่ยังคงล้มเหลว
เขาสัมผัสได้ว่าตราประทับที่ตนติดตั้งไว้บนตัวครอบครัวและอาจารย์ยังคงอยู่ส่วนหนึ่ง
นี่หมายความว่าอย่างน้อยพวกลู่หนิงยังมีคนมากกว่าครึ่งที่รอดชีวิต เพียงแต่ไม่ทราบว่าพวกเขาไปอยู่ไหนเท่านั้น
…
ดาวปรภพที่สาม
ลู่เซิ่งพุ่งไปใกล้ๆ ดาวเคราะห์อย่างเงียบเชียบ แล้วหยุดลงในเงามืดใต้การส่องแสงของดาวฤกษ์ ก่อนจะพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบๆ อย่างช้าๆ
‘คลื่นมิติเวลาลับเยอะปานนี้เชียว!’ พอเขามองดูก็พบคลื่นมิติเวลาลับจำนวนมากที่กระจัดกระจายอย่างถี่ยิบอยู่ใกล้ๆ
‘ได้ยินมาว่าหมีก่วงอิงเรียกลุงของนางมาช่วยเหลือด้วย แต่เมื่อติดต่อนางไม่ได้ เราก็ติดต่อลุงของนางไม่ได้เช่นกัน…น่าเสียดาย’
ลู่เซิ่งหลับตาลงช้าๆ จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งร้ายกาจสัมผัสกลิ่นอายหลงเหลือจากศึกใหญ่ที่อยู่ตรงนี้เมื่อก่อนหน้าได้อย่างชัดเจน
ดาวปรภพที่สามได้กลายเป็นเขตแกนกลางของมารดาแห่งความเจ็บปวดแล้ว เวลานี้เมื่อทอดตามองไป ตาข่ายดำกฎเกณฑ์บนผิวดาวเคราะห์หมุนเวียนอย่างช้าๆ แสดงให้เห็นว่ากำลังทำงานอย่างเป็นปกติ
รอบๆ ยังมีสิ่งของที่เหมือนกับปลาอยู่ไม่น้อย บางครั้งก็รวมตัว บางครั้งก็กระจายตัว เหมือนจะเป็นทัพสอดแนม
ลู่เซิ่งสัมผัสร่องรอยในอวกาศพร้อมกับบินออกห่างไปจากดาวปรภพ
แม้กลิ่นอายที่หมีก่วงอิงทิ้งไว้จะจางมาก แต่ก็ยังมีอยู่
บินออกห่างไปราวสี่ชั่วยามกว่าๆ ลู่เซิ่งพลันหยุดชะงักอยู่ที่ด้านหน้าความว่างเปล่าสีดำสนิทที่ดูเหมือนว่าว่างเปล่าแห่งหนึ่ง
‘คลื่นมิติเวลาลับ…ตอนแรกที่นี่น่าจะมีคลื่นมิติเวลาลับแห่งหนึ่ง…’ เขาสัมผัสร่องรอยการไหลเวียนของมิติเวลาได้อย่างชัดเจนมาก
ในฐานะมารสวรรค์มายาพิศวงที่จุติมาแล้วหลายครั้งหลายคราว มักจะต้องเปิดร่องแยกมิติเวลาเอง ดังนั้นลู่เซิ่งจึงไวต่อร่องรอยหลงเหลือประเภทนี้เป็นอย่างยิ่ง
‘ร่องรอยของเรือเหาะขาดลงตรงนี้…’ ลู่เซิ่งนิ่วหน้า ‘หรือจะพุ่งเข้าไปในคลื่นมิติเวลาลับแล้ว’
ในมิติเวลามีจักรวาลและโลกเหลือคณานับ
ต่อให้เขาจะเป็นมารสวรรค์ระดับมายาพิศวง แต่การตามหาครอบครัวของตัวเองกลับมาโดยที่ไม่มีเบาะแสเลยก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่ดี
ผ่านมานานแล้ว คลื่นมิติเวลาสามารถซัดเรือเหาะเข้าไปในโลกที่ไม่รู้จักได้
โลกใบหนึ่งใหญ่ถึงเพียงใด ต่อให้จะกำหนดโลกไว้แล้ว ก็รับประกันไม่ได้อยู่ดีว่าพวกเขาไปอยู่ที่เขตไหนของดาวเคราะห์
‘ครั้งนี้ลำบากแล้ว…’ ลู่เซิ่งชะงักไปเล็กน้อย แล้วหมุนตัวบินไปยังทิศทางอื่น
‘ถ้าเข้าไปในคลื่นมิติเวลาลับจริงๆ ล่ะก็…’
“หยุดเดี๋ยวนี้! เจ้าเป็นใคร!?”
อยู่ๆ ก็มีลำแสงสีม่วงหลายสายเหินมาจากทางขวาไกลๆ ผู้บำเพ็ญที่มีสัญลักษณ์เทวลักษณ์ของระบบดาวปรภพติดอยู่บนชุดหลายคนตะโกนเสียงเฉียบขาดมาจากในลำแสง
ลู่เซิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่พอดี เขาเงยหน้ามองลำแสงสีม่วงและโบกมือออกไป
แสงสีดำสายหนึ่งกวาดผ่านร่างโดยไร้สุ้มเสียง
ผู้บำเพ็ญสิบกว่าคนในลำแสงสีม่วงชะงักไป จิตวิญญาณโดนลากเข้าไปในโลกรูปจิต
แสงสีดำกะพริบอีกรอบ ปากของลู่เซิ่งพร่ามัวไปครู่หนึ่ง ผู้บำเพ็ญทั้งหมดหายวับไป ในความว่างเปล่าเหมือนไม่มีผู้ใดเคยปรากฏตัวมาก่อน
เขาเคี้ยวช้าๆ อยู่หลายคำขณะที่คิ้วขมวดขึ้นน้อยๆ
‘รสชาติโลกแห่งความเจ็บปวดที่น่าขยะแขยง เป็นพวกผู้ใช้ชีวิตชั่วร้ายจริงๆ ด้วย’
พอลำแสงสีม่วงถูกกำจัด ก็เหมือนกับจะกระตุ้นให้กลุ่มลาดตระเวนจำนวนมากที่อยู่ไม่ไกลตื่นตูม ไม่นานนักจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งหลายสายก็พุ่งกราดมา
ลู่เซิ่งไม่ได้ลงมือถึงที่สุด ที่ดาวปรภพที่สามมีทางเข้าโลกแห่งความเจ็บปวดโดยตรง มารดาแห่งความเจ็บปวดมาสนับสนุนทางนี้ได้ในเวลาไม่นาน
ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังเป็นดวงดาวที่เขาเคยเติบโตด้วย เขาเลยไม่อยากทำลายที่นี่
‘ขอฝากหัวเจ้าไว้ตรงนั้นก่อน มารดาแห่งความเจ็บปวด อีกไม่นานหรอก อีกไม่นานข้าจะกลับมาใหม่’
ลู่เซิ่งมองดาวปรภพที่สามเป็นครั้งสุดท้าย เหมือนกับเห็นเงาสีดำขนาดยักษ์ในโลกแห่งความเจ็บปวดได้ผ่านมาที่นั่น
ฟ้าว!
เขาหมุนตัวกลายเป็นแสงสีเหลืองพุ่งไปยังทางที่มา
แสงสีดำกะพริบทีหนึ่งก่อนไป กลุ่มลาดตระเวนสองกลุ่มที่อยู่รอบๆ ซึ่งประกอบด้วยผู้ใช้วิชาชั่วร้ายเกือบสามสิบกว่าคนถูกกินในพริบตา แล้วกลายเป็นพลังงานโภชนาการในร่างกายของลู่เซิ่ง
‘เราต้องการพลังอาวรณ์มากกว่านี้…’ ลู่เซิ่งใคร่ครวญขณะอยู่ระหว่างทางขากลับ
ตี้วาแห่งพิภพลี้ลับเป็นสถานที่ที่หาพลังอาวรณ์มาได้เร็วจริงๆ แต่ที่นั่นก็อันตรายใช่ย่อย
พลังของเจ้าสำนักวสันต์สารทกับเจ้าลัทธิไม่จีรังอยู่ในขั้นสูงสุดของมายาพิศวงเป็นอย่างน้อย ปัจจุบันแม้เขาจะมีความสามารถกายอมตะพันเทวะ แต่ว่าภายใต้สถานการณ์ที่ต้องต่อสู้กับทั้งสองคนนี้ซึ่งหน้า เขายังไม่มีความมั่นใจ
หนำซ้ำตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่นัดหมายไว้ เขาไปก็ไร้ความหมายอยู่ดี
‘มีเวลาว่างพอดี เราต้องหาพลังอาวรณ์มากกว่านี้ ยังไปพิภพลี้ลับไม่ได้ ดูเหมือนต้องจุติไปยังโลกใบใหม่แล้ว’
ตอนนี้ครอบครัวหายสาบสูญ มีแต่การเพิ่มพลังเท่านั้นถึงจะตามหาเบาะแสอย่างไร้ความเกรงกลัว ทั้งยังรวบรวมทรัพยากรและพลังงานมากกว่าเดิมได้
ซึ่งความจริง ลู่เซิ่งไม่อยากจะไปหาพลังอาวรณ์ที่พิภพลี้ลับแล้ว สัญชาตญาณมารสวรรค์ของเขาบอกว่า ทางพิภพลี้ลับมีการคุกคามที่ไม่ส่งผลดีต่อตัวเขาถึงขีดสุดดำรงอยู่
‘ก่อนจะหาเจอว่าเป็นการคุกคามอะไรกันแน่ เรายังไปพิภพลี้ลับไม่ได้ อย่างไรทางตี้วาก็ยังเหลือเวลาอีกหมื่นปีกว่าจะเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติเสร็จ ยังมีโอกาสอยู่!’
ส่วนการนัดหมายกับเจ้าลัทธิไม่จีรัง การนัดหมายนี้เป็นสิ่งที่เอาไว้ฝ่าฝืนอยู่แล้ว มารสวรรค์มายาพิศวงที่ยิ่งใหญ่อย่างเขาลู่เซิ่งต้องถูกพันธนาการไว้เพราะการนัดหมายอย่างนั้นหรือ น่าขำ
หลังยืนยันแผนการแล้ว ลู่เซิ่งก็กลับมาถึงเรือเหาะที่แถบอุกาบาต แล้วเตรียมการจุติครั้งต่อไป
ในกระบวนการเตรียมตัว เขาได้ค้นพบความสามารพิเศษของบันไซผู้เป็นเชลยโดยไม่ได้ตั้งใจ
เขามีพรสวรรค์การก่อสร้างค่ายกลอักขระที่แม่นยำเที่ยงตรง ยิ่งเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่ซับซ้อน เขายิ่งปรับให้กลายเป็นค่ายกลระดับสุดยอดที่สมบูรณ์แบบกว่าเดิมได้
พรสวรรค์นี้เทียบได้ใกล้เคียงกับระดับอิทธิฤทธิ์แล้ว ค่ายกลอักขระที่เดิมมีพลังงานวิญญาณแค่หนึ่งร้อย หลังจากบันไซปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้ว ก็ระเบิดพลังงานวิญญาณออกมาถึงหนึ่งร้อยห้าสิบ หนำซ้ำยังไม่ใช่การระเบิดครั้งเดียวจบด้วย แต่ใช้ความถี่นี้ได้เป็นเวลานาน
นี่ร้ายกาจจริงๆ
หลังจากลู่เซิ่งทดลองเรียนดู ก็พบว่าของแบบนี้เป็นพรสวรรค์ ดีปบลูจนปัญญา จึงเรียนไม่ได้ ได้แต่ทอดถอนใจว่าบนโลกใบนี้ยังมีเรื่องที่ดีปบลูแก้ไขไม่ได้อยู่ด้วย
เขาใช้เวลาไปสี่วัน ในที่สุดก็ก่อสร้างค่ายกลจุติครั้งใหม่สำเร็จ
วัตถุดิบส่วนใหญ่ที่ใช้ไปกับค่ายกลครั้งนี้เป็นของที่ลู่เซิ่งเก็บไว้ในไข่มุกกลืนสมุทร ค่ายกลแบบนี้ยังสามารถก่อตั้งได้อีกห้าครั้ง ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องวัตถุดิบชั่วคราว
…
“ตรงนี้ ตรงนี้เติมเพิ่มอีกหน่อย” ลู่เซิ่งสั่งให้บันไซช่วยติดตั้งค่ายกลจุติของตัวเอง
บันไซสมกับเป็นอัจฉริยะอักขระค่ายกล ไม่ใช่พวกตัวละครเชลยจอมคุยโว หากเป็นของแท้ แม้แต่ลู่เซิ่งที่มีดีปบลูก็ยังต้องยอมรับสุดยอดความอัจฉริยะของเขา
เมื่อมีการเพิ่มประสิทธิภาพและการติดตั้งอย่างแม่นยำของเขา ค่ายกลจุติของลู่เซิ่งก็สามารถควบคุมได้เยอะกว่าเดิมอย่างไม่เคยทำได้มาก่อน
ความเร็วในการไหลของเวลาที่กวนใจเขาที่สุดมาโดยตลอดได้รับการแก้ไขด้วยการช่วยเหลือจากบันไซ
การควบคุมความละเอียดของเวลายกระดับอย่างใหญ่หลวง
ความแตกต่างของเวลาในระยะเวลาห้าร้อยปีถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์แบบ พูดอีกอย่างได้ว่า ลู่เซิ่งจะเลือกความแตกต่างของเวลาเท่าไหร่ก็ได้
แม้จะกำหนดได้ในขอบเขตหนึ่ง เพราะความแตกต่างของเวลาในโลกไม่ใช่ค่าตายตัว แต่แค่นี้ก็ทำให้ลู่เซิ่งประหลาดใจและยินดีได้แล้ว
อย่างไรตอนแรกเขาก็ได้แต่วัดดวงเอา ความไม่แน่นอนของเวลานั้นมีขอบเขตกว้างเกินไป เหมือนกับครั้งก่อนที่ไปถึงพิภพลี้ลับ
“นายท่าน ยังมีจุดไหนที่ต้องการให้ช่วยอีกไหมขอรับ” บันไซเติมลวดลายค่ายกลส่วนนั้นเสร็จอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับปาดเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“ใช้ได้แล้ว” ลู่เซิ่งกวาดจิตวิญญาณมองดูค่ายกลทั้งหมดรอบหนึ่ง อักขระค่ายกลแน่นขนัดที่มีมากกว่าแสนตัว งดงามและละเอียดอ่อนยิ่งกว่าค่ายกลที่เขาติดตั้งก่อนหน้าไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่า
“อือ…” เขาพยักหน้าอย่างพอใจและตบบ่าของบันไซ “เจ้าฝีมือไม่เลวนะ ข้าขอชมเชย”
“ขะ ขอรับ…ขอบคุณที่ชมขอรับ!” บันไซโล่งอก ได้รับคำชมจากนายท่านผู้นี้แล้ว ดูเหมือนเขาน่าจะยังรอดอยู่
“ไม่สนใจจะมาอยู่กับข้าหรือ” ลู่เซิ่งถือโอกาสเชิญชวน
“ระ…เรื่องนี้…” บันไซพลันลังเล
“ไม่เป็นไร ข้าจะให้เวลาเจ้าคิดดู” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าให้ความสำคัญกับคนอย่างเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ความสามารถของเจ้าคู่ควรให้ข้ารอ”
บันไซตกตะลึงเล็กน้อย
เขาเติบโตมาท่ามกลางข้อกังขานับไม่ถ้วนตั้งแต่เด็ก ต่อให้เป็นพรสวรรค์ด้านค่ายกลอักขระของตัวเอง ในตระกูลก็มีผู้วางค่ายกลอักขระจำนวนมากที่ติดตั้งค่ายกลอักขระขนาดใหญ่ที่ดีกว่าและละเอียดกว่าได้เช่นกัน
ตระกูลไม่สนใจพรสวรรค์อันน้อยนิดของเขานี้แม้แต่น้อย เหล่าผู้อาวุโสให้ความสำคัญกับพรสวรรค์ด้านการค้าขายของเขากับเบื้องหลังของมารดามากกว่า
นี่เป็นครั้งแรก เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับความสำคัญจากคนอื่นโดยใช้ความสามารถที่ตัวเองชอบ ความรู้สึกนี้…
“ไตร่ตรองให้ดีเถอะ หากติดตามข้า เจ้าจะได้ทุกอย่าง ทรัพย์สมบัติ อำนาจ สาวงาม ชื่อเสียง! ขอแค่เจ้าต้องการ ข้าจะชิงมาให้เจ้าเอง!” ลู่เซิ่งตบบ่าบันไซด้วยรอยยิ้ม
“ชิงมาหรือ” บันไซงุนงง ความมุ่งหวังบนใบหน้าพลันสลายหายไป
“หือ? อะไรเล่า เจ้าไม่ชอบการแย่งชิงหรือ” น้ำเสียงของลู่เซิ่งพลันเย็นเยียบ
“เอ่อ…เปล่านะขอรับ! ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน!” บันไซรีบโบกมือด้วยหน้าซีดขาว
“ความจริงข้าก็ไม่ได้ชอบปล้นชิงเหมือนกัน แต่ใครให้พวกเขารวยกว่าข้าเล่า” ลู่เซิ่งลูบคาง
“เวลาปล้นชิง ข้าลู่เซิ่งไม่ปล้นชิงคนสามประเภท ไม่ปล้นคนจน ไม่ปล้นคนดี ไม่ปล้นครอบครัว!”
“ครอบครัวไม่ใช่คนที่ไม่ควรปล้นหรอกหรือขอรับ!?” บันไซพิจารณาอย่างไร้เรี่ยวแรง
“เอาน่า ตอนนี้พูดเรื่องเหล่านี้กับเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อจากนี้ เดี๋ยวเจ้าเมื่อได้เห็นนิสัยของข้าบ่อยๆ ก็จะเข้าใจเอง” ลู่เซิ่งตบไหล่ของบันไซเป็นครั้งที่สาม จากนั้นก็ผลักเขาเบาๆ ออกจากประตูไป
ประตูปิดลง ค่ายกลนับไม่ถ้วนรอบๆ พากันเรืองแสงสีแดง
เขานั่งลงกลางค่ายกลอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ประสานมุทราเปิดใช้ในตอนที่แสงสีแดงนับไม่ถ้วนไหลเวียนและรวมตัวกันที่จุดหนึ่ง
ร่องแยกสีเทาขนาดเท่าเล็บสายหนึ่งแตกออกมาเหนือศีรษะลู่เซิ่งอย่างไร้สุ้มเสียง
เขาฉวยโอกาสนี้กระโดดขึ้น กลายเป็นแสงสีเหลืองสายหนึ่งแล้วพุ่งหายเข้าไปในร่องแยก
…
ทางตะวันตกของทวีปเพอร์เซนท์
มังกรสีรุ้งที่มีร่างบางและงดงามตัวหนึ่งค่อยๆ ลืมตาจากในรังมังกรอย่างช้าๆ มันก้มมองไข่มังกรฟองหนึ่งข้างใต้อย่างสงสัย
ไข่มังกรฟองนั้นแตกเป็นรอยร้าวเล็กๆ สายหนึ่งตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ