ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 708 ฝึกฝน (2)
บทที่ 708 ฝึกฝน (2)
เปรี้ยง!
อยู่ๆ หุ่นเวทด้านหน้าอันไซเฟอร์ก็ต่อยหมัดใส่จมูกของเขาอย่างแรง
อันซันเฟอร์ร้องโอย ก่อนจะโซเซบินถอยหลัง
“ลืมบอกพวกเจ้าไป ถ้าเวทมนตร์ไม่สอดรับแล้วหุ่นเวทไม่พอใจ ก็จะลงมือสั่งสอนพวกเจ้าทันที” ทีอาเอ่ยอย่างราบเรียบ
น่าเสียดายที่นางบอกช้าเกินไป
มังกรน้อยทั้งสามตัวถูกหุ่นเวทไล่ทุบตีไปทั่ว พวกเขากับหุ่นเวทแตกต่างกันมหาศาล หุ่นเวทที่อยู่ยงคงกระพัน อัคคีวารีไม่กล้ำกราย นอกจากเวทมนตร์สายธาตุไฟขั้นหนึ่งที่สอดคล้องกับเงื่อนไขแล้ว ความสามารถอื่นๆ ล้วนไม่มีประโยชน์
ตอนที่มังกรน้อยทั้งสามตัวถูกทุบตี ลู่เซิ่งกลับบอกลาทีอา ก่อนจะหมุนตัวจากไป
ความจริงทีอาเห็นบทสรุปคร่าวๆ ได้แล้ว
ห้าวันต่อจากนั้น ลู่เซิ่งมาเติมพลังงานให้หุ่นเวททุกวัน ส่วนมังกรน้อยทั้งสามตัวก็มาทุกวันเช่นกัน เพียงแต่ถูกหุ่นเวทวิ่งไล่จนต้องหนีจ้าละหวั่น
ไม่นานนัก หลังถึงวันที่ห้า หุ่นเวทของลู่เซิ่งก็ได้รับการเติมพลังงานเรียบร้อย ไม่มีสัญญาณว่าจะคลั่งเลยแม้แต่น้อย
ทีอาจึงทำตามสัญญาโดยพาลู่เซิ่งไปเดินชมสมบัติของตัวเองตามที่นางได้รับปากไว้ก่อนหน้านี้
ถึงแม้จะนึกประหลาดใจเพราะลู่เซิ่งเพียงมองดูของแต่ละชิ้นเฉยๆ เท่านั้น แต่ทีอาค่อนข้างชอบมังกรน้อยสีรุ้งที่เยือกเย็นและชาญฉลาดอย่างลู่เซิ่ง
เพื่อมอบของเป็นรางวัล นางยังได้ส่งทฤษฎีสร้างแบบจำลองเวทมนตร์ขั้นสอง รวมถึงคัมภีร์เวทมนตร์โบราณที่ทำขึ้นอย่างประณีตเล่มหนึ่งให้ลู่เซิ่งเพิ่มเติม
ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจของชิ้นแรก แต่กลับพึงพอใจคัมภีร์เวทมนตร์เป็นอย่างมาก
คัมภีร์เวทมนตร์มีประโยชน์ต่อผู้ร่ายเวทมากที่สุดตรงที่ มันใช้บันทึกความทรงจำเวทมนตร์ของตัวเองไว้ได้
รอจนปล่อยเวทมนตร์ที่จำไว้ออกไป ก็จะใช้คัมภีร์เวทมนตร์เพื่อปล่อยเวทมนตร์ในความทรงจำออกไปได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว
คัมภีร์เวทมนตร์ของจอมเวททุกคน ต่างเป็นกุญแจสำคัญที่พวกเขาใช้สร้างระบบร่ายเวทของตัวเอง
และคัมภีร์เวทมนตร์ที่สมบูรณ์ ยังสามารถเพิ่มช่องใส่เวทมนตร์และอานุภาพการร่ายเวทให้แก่จอมเวทได้
ลู่เซิ่งที่ได้คัมภีร์เวทมนตร์มาก็เริ่มจดจำเวทมนตร์ได้อย่างรวดเร็ว
เวทมนตร์ที่เขาครอบครองอยู่ในตอนนี้มีอยู่หลายสิบชนิด แต่หากคิดจะเรียบเรียงระบบการต่อสู้ของตัวเองตามที่อยากได้ ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อยู่ดี
ในกระบวนการจดจำเวทมนตร์ ลู่เซิ่งได้ค้นพบเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เขาเกิดความสงสัยต่ออานุภาพของเวทมนตร์
นั่นก็คือปรากฏการณ์ความหนาแน่นของธาตุ
…
ด้านในถ้ำมังกรอันมืดครึ้ม
พรึ่บ
เปลวไฟสีส้มสว่างขึ้นก่อนจะมอดดับลงในพริบตา
ลู่เซิ่งยืนนิ่งอยู่หน้าแท่นทดสอบอย่างง่ายที่ตนเองสร้างขึ้น มองดูอุปกรณ์เวทที่เหมือนกับเครื่องพ่นไฟซึ่งเขาประดิษฐ์เองพ่นไฟออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่คิดใคร่ครวญไปด้วย
‘ธาตุไฟถูกเปลี่ยนเป็นเปลวไฟแล้ว ในหนึ่งชั่วโมง ถ้าในอาณาเขตถ้ำที่เราอยู่มีคนปล่อยเวทมนตร์สายธาตุไฟขั้นสามออกมาสิบชนิด อย่างนั้นความหนาแน่นของธาตุไฟที่อยู่ที่นี่จะลดลงเหลือร้อยละแปด’
ลู่เซิ่งมองเห็นขีดจำกัดของปรากฏการณ์ความหนาแน่นของธาตุต่อผู้ร่ายเวทแล้ว
ระบบเวทมนตร์มีจุดอ่อนถึงตายจุดหนึ่ง นั่นก็คือจำเป็นต้องใช้ธาตุจากโลกภายนอก ถึงจะระเบิดอานุภาพที่แข็งแกร่งได้
เกิดว่าธาตุในสภาพแวดล้อมของโลกภายนอกมีไม่เพียงพอ อย่างนั้นอานุภาพของเวทมนตร์จะต้องตกลง
‘ยุ่งยากจริงๆ ยังมีเทพเบื้องหลังข่ายเวทอีก ยุ่งยากเหมือนกันเลย…’ ลู่เซิ่งถอนใจเฮือกหนึ่ง
‘ตอนแรกคิดจะไม่ใช้ดีปบลู พัฒนาไปตามลำดับเอง แต่ตอนนี้ไม่ทำไม่ได้จริงๆ…’
เขาคับข้องใจอย่างยิ่ง
แต่เรื่องราวในตอนนี้เขาก็จนปัญญา ถ้าหากไม่พัฒนาเส้นทางใหม่แล้วเดินไปตามเส้นทางในตอนนี้ ในอนาคตจะต้องถูกเทพเจ้าสะกดไว้และได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมอย่างสาหัสแน่นอน
นี่ไม่ใช่เส้นทางที่เขาต้องการ
‘ต้องมีคนคอยบังคับอยู่เรื่อย เราแค่อยากจะพยายามอย่างยุติธรรมสักครั้ง ทำไมถึงทำไม่ได้กัน’
ลู่เซิ่งจนใจอย่างยิ่ง เขาไม่อยากจะเปิดดีปบลูอีกแล้ว ไม่อยากแล้วจริงๆ
ดีปบลูทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายต่อการยกระดับตัวเอง นี่เป็นยาพิษ ถึงขั้นกล่าวได้ว่าเป็นพิษร้ายชนิดหนึ่ง
ตอนแรกเขาจึงตัดสินใจว่าครั้งนี้จะงดใช้ไปก่อน แต่นึกไม่ถึง…
‘ช่างเถอะ มาหาดูก่อนว่ามีวิธีอะไรที่แก้ไขปัญหาสองข้อนี้ได้ไหม เราจะก้าวข้ามข่ายเวทแล้วเรียกใช้ธาตุโดยตรงเลยได้รึเปล่า แบบนี่น่าจะหลีกเลี่ยงข่ายเวทได้’ ลู่เซิ่งหยุดฟุ้งซ่านแล้วเริ่มใคร่ครวญ
‘ส่วนปัญหาความหนาแน่นของธาตุ อาจจะลองพิจารณาถึงอวัยวะที่ใช้ในการหายใจของมังกร โดยบีบอัดธาตุแล้วเก็บเอาไว้ในตัว ตอนจำเป็นต้องใช้ค่อยบีบออกมา’ เขานึกทิศทางการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
พอนึกทิศทางได้แล้ว ลู่เซิ่งก็เริ่มลองดูทันที
‘ดีปบลู’
อินเตอร์เฟซดีปบลูพลันเด้งออกมาด้านหน้าเขา
‘ทดลองปรับเวทอัคคีมังกรที่เราถนัดดูก่อน’ เขายื่นอุ้งมือขวาออกมา พลังจิตเริ่มสร้างแบบจำลองเวทของเวทอัคคีมังกร
เป็นเพราะไม่แตะต้องข่ายเวทแล้ว ลู่เซิ่งจึงได้แต่ต้องทำตามขั้นตอนการจัดการเบื้องหลังให้แล้วเสร็จด้วย
เมื่อไม่มีข่ายเวทคอยช่วยประหยัดเวลา เวทอัคคีมังกรที่ตอนแรกใช้ได้ในพริบตา ครั้งนี้ลู่เซิ่งต้องใช้เวลาไปสิบกว่านาทีถึงจะปล่อยออกมาได้
กระนั้นอย่างไรก็ถือว่าสำเร็จแล้ว
ฟุ่บ!
เปลวไฟสีแดงกลุ่มหนึ่งลุกไหม้บนมือเขา
ลู่เซิ่งค่อยๆ ถอนใจโล่งอก
‘สำเร็จก็ดีแล้ว ถ้าไม่สำเร็จก็กลายเป็นรายการในกรอบไม่ได้’ เขาเพ่งมองส่วนท้ายสุดของอินเตอร์เฟซดีปบลูอย่างรวดเร็ว
กรอบใหม่ค่อยๆ โผล่ขึ้นตรงนั้น
[เวทอัคคีมังกรดึกดำบรรพ์: เบื้องต้น (คุณสมบัติพิเศษ: เสริมการเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง)]
นี่เป็นกรอบเดี่ยวๆ ของเวทมนตร์ ความจริงลู่เซิ่งค้นพบมาตั้งนานแล้วว่า กรอบที่โผล่บนดีปบลูใช้เวทมนตร์แต่ละชนิดเป็นหน่วย
‘เป็นอย่างที่คิดไว้เลย…อย่างนั้น ลองเรียนรู้ดูหน่อยเป็นไง’ ลู่เซิ่งไตร่ตรองเสร็จก็ค่อยๆ กดปุ่มเรียนรู้บนเครื่องมือปรับเปลี่ยน
…
ซู่
มังกรสีรุ้งหลายตัวพากันกระพือปีกออกจากเทือกเขา
เงาร่างของพวกเขาอยู่เหนืออากาศที่สูงหลายพันเมตร เหมือนกับเม็ดงามากมาย ดูไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย
พายุครางฮือ อุณหภูมิตกลงกว่าก่อนหน้านี้มาก
ด้านในป่าสนที่อยู่ห่างจากภูเขาภูษาขาวหลายกิโลเมตร
เงาคนร่างกำยำที่สวมผ้าคลุมสีดำมากมายเงยหน้ามองมังกรสีรุ้งที่ออกห่างไปไกล
“เวลามาถึงแล้ว ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งมังกรสีรุ้งฝูงนี้จะออกไปล่าสัตว์ด้านนอก มังกรสีรุ้งที่ออกไปเป็นตัวที่แข็งแกร่งที่สุด พวกที่เหลืออยู่ถ้าไม่ใช่พวกแก่ๆ หรือพวกขี้โรค ก็เป็นมังกรน้อยหรือไม่ก็มังกรหนุ่ม นี่เป็นโอกาสของเราแล้ว!”
บุรุษร่างสูงพูดด้วยความตื่นเต้นที่กลั้นไว้ไม่อยู่
“มังกรสีรุ้งแก่ๆ ไม่ใช่พวกที่รับมือได้ง่าย” เงาคนสวมเสื้อคลุมสีเขียวเข้มอีกสายก้มหน้าขัดคันธนูไม้ที่บิดเบี้ยวและหยาบใหญ่
“พวกเรามีแค่ไม่กี่คน ต่อให้มาอีกสักสิบเท่าก็ยังไม่พอจะสู้มังกรโบราณซึ่งหน้า” คนที่พูดก่อนหน้านี้เอ่ยต่อ “แต่ทุกเรื่องราวล้วนมีโอกาสและช่องโหว่ ข้าได้ข่าวมาว่าใกล้ๆ นี้มีมังกรแดงอยู่ตัวหนึ่งที่รู้สึกไม่พอใจเพราะถิ่นของมังกรสีรุ้งรุกใกล้ถิ่นของมันมากเกินไป ครั้งนี้มังกรแดงตัวนั้นจะลงมือด้วย”
“เจ้าแน่ใจนะ!?”
“ร้อยเปอร์เซ็นต์!” คนคนนั้นว่าต่อ
“มังกรแดงตัวนั้นสู้มังกรโบราณอย่างมังกรสีรุ้งได้หรือ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ ขอแค่หาโอกาสให้พวกเราจับตัวพวกมังกรน้อยได้ก็ถือว่ามีประโยชน์แล้ว”
“พูดถูกแล้ว หลังจากสงครามร้อยเผ่าเมื่อครั้งก่อน ราคาของมังกรสีรุ้งก็พุ่งขึ้นเป็นเท่าตัว ขอแค่จับได้สักสองตัว พวกเราก็จะซ่อนตัวและใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ แล้ว”
บุรุษร่างสูงใหญ่คนแรกสุดเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“มังกรสีรุ้งสัมผัสพลังเวทธาตุได้เร็วมาก เตรียมสร้อยเขี้ยวอสูรที่ใช้ตัดขาดพลังเวทแล้วหรือยัง”
“แน่นอน”
“อย่างนั้นก็เตรียม…”
ยังพูดไม่ทันขาดคำ ทุกคนพลันเงยหน้ามองท้องฟ้า
กลางท้องฟ้าเหนือศีรษะของพวกเขาอีกด้านหนึ่ง มังกรแดงมหึมาที่ยาวสามสิบกว่าเมตรตัวหนึ่งกำลังกระพือปีกอันใหญ่โตและบินไปยังเทือกเขาภูษาขาว
“มังกรแดงกาเลีย!”
“ไป! โอกาสมาถึงแล้ว!” ชายที่เป็นผู้นำลุกขึ้นและวิ่งไปยังรังของมังกรสีรุ้ง
…
“พวกเขาไปหมดแล้ว! ออกไปกันแล้ว!” อันไซเฟอร์เกาหนังศีรษะอย่างหงุดหงิด
“น่าหงุดหงิดจริงๆ ทำไมเราถึงออกไปไม่ได้ล่ะ?!”
“เจ้าอยากออกไปมากหรือ?” เสียงหนึ่งถามขึ้นจากในความมืด
“แน่นอน! แต่มีผู้อาวุโสเฝ้าอยู่ ข้าเลยหนีไม่ได้!” อันไซเฟอร์ตอบกลับทันที
“งั้นเหรอ ตอนนี้ไม่มีผู้อาวุโสเฝ้าแล้วนะ” เสียงนั้นพลันส่งเสียงหัวเราะแหลม
“อันไซเฟอร์หนีเร็ว!” อยู่ๆ เสียงของแซลลีก็ดังมาจากนอกถ้ำ
อันไซเฟอร์งุนงง ยังไม่ทันตอบสนอง ก็เห็นผ้าสีดำที่มีขนาดใหญ่มากผืนหนึ่งคลุมใส่ตัวเขา
กลิ่นยาสลบที่เข้มข้นลอยเข้าห้วงสมองของเขา
จากนั้นเขาก็ไร้เรี่ยวแรง แม้แต่แรงจะลุกยืนก็ยังไม่มี ได้แต่ล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนระทวย
“เหอะๆ ได้อีกตัวแล้ว! ครั้งนี้ราบรื่นดีเหลือเกิน!” เงาดำสายหนึ่งเอ่ยเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
“เร่งมือเร็วเข้า ดีที่มังกรแดงช่วยพวกเราสะกดมังกรโบราญไว้” อีกเสียงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
อันไซเฟอร์รู้สึกว่าตนถูกจับปีกและถูกหิ้วกลับหัวไปมัดไว้บนแท่งโลหะยาวแท่งหนึ่ง มีแซลลีกับบอร์กอยู่ด้วย
‘คนพวกนี้…มนุษย์พวกนี้! จะต้องเป็นมืออาชีพที่อยู่ขั้นสิบของระดับทองคำขึ้นไปแน่!’ อันไซเฟอร์ที่สัมผัสคลื่นพลังอันแข็งแกร่งที่น่ากลัวกระเพื่อมบนตัวคนสวมอาภรณ์ดำพวกนี้ได้
“อาจารย์…ท่านอาจารย์! พวกท่านไปอยู่ไหน?!”
“มีอีกตัวอยู่ในถ้ำไกลๆ รีบหน่อย!”
“ระวังการเคลื่อนไหวของพวกมังกรโบราณด้วย”
“ทราบแล้ว!”
คนสวมอาภรณ์ดำหลายคนหามมังกรน้อยสามตัวที่ร่างเหมือนกิ้งกือพร้อมกับพุ่งไปยังทางถ้ำมังกรของมังกรน้อยแห่งสุดท้าย
เมื่อมีผู้เชี่ยวชาญในหมู่พวกเขานำกลุ่ม การล่ามังกรสีรุ้งก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องลำบากอะไร
…
[เวทอัคคีมังกรดึกดำบรรพ์+999: สมบูรณ์ (คุณสมบัติพิเศษ: เสริมการเผาไหม้, ร่ายเวทอย่างรวดเร็ว)]
ลู่เซิ่งลูบคางพลางขมวดคิ้วมองเวทมนตร์ขั้นหนึ่งในกรอบ
ตอนที่เพิ่มระดับเมื่อครู่ เขาลืมไปว่าได้เพิ่มระดับมาแล้วหลายรอบ จึงใช้พลังอาวรณ์ไปพันหน่วยอย่างรวดเร็ว…
รอจนค้นพบก็กลายสภาพเป็นอย่างนี้ไปแล้ว
อานุภาพ…ของเวทชนิดนี้ได้อยู่เหนือการคาดการณ์และการประเมินเมื่อก่อนหน้าของเขาไปแล้ว
‘การเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังอาวรณ์เป็นการเพิ่มจำนวนเวทมนตร์อย่างนั้นเหรอ แต่ปัญหาเรื่องความหนาแน่นของธาตุจะแก้ไขอย่างไรล่ะ’
ลู่เซิ่งค้นพบวิธีแก้ปัญหาที่ดีปบลูมอบให้ตนเองอย่างรวดเร็ว
เขาค้นพบถุงถุงหนึ่งตรงทรวงอกของตัวเอง
ถุงเนื้อที่มีขนาดเท่าอุ้งมือของเขา ด้านในมีพลังงานธาตุไฟที่มากกว่าพันเท่าของเวทอัคคีมังกรไหลเวียนอยู่ สามารถมองเห็นธาตุสีแดงเข้มที่ไหลเวียนอยู่ด้านในได้ผ่านผิวชั้นนอก
‘ถุงหนึ่งใช้ได้ครั้งหนึ่ง พอใช้เสร็จแล้วจะต้องเติมพลังงานใหม่หรือ’ ลู่เซิ่งเข้าใจวิธีแก้ปัญหาของดีปบลูในพริบตา
เขามองหน้าอกของตัวเอง พร้อมกับจินตนาการว่าควรจะใช้อย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู
‘เป็นการปรับเปลี่ยนเวทมนตร์เป็นวรยุทธ์นี่เอง…’ ลู่เซิ่งจนปัญญาโดยสิ้นเชิง
เรียนรู้เวทมนตร์หนึ่งชนิดเท่ากับได้ถุงมาถุงหนึ่ง อย่างนั้นถ้าเขาเรียนรู้เวทมนตร์สิบชนิด มิต้องได้มาสิบถุงหรอกหรือ
หรือเวทมนตร์หนึ่งร้อยชนิดจะได้มาหนึ่งร้อยถุง?!
แถมยังเป็นถุงเนื้อที่งอกบนหน้าอกอีกต่างหาก…