ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 709 ยืนด้วยลำแข้ง (1)
บทที่ 709 ยืนด้วยลำแข้ง (1)
เปรี้ยง!
ก้อนหินสีดำขนาดใหญ่กระแทกทำลายสิ่งของตรงปากถ้ำอย่างรุนแรง
ก้อนหินพุ่งถึงผนังถ้ำแล้วร่วงตกลง ส่งเสียงดังรบกวนความคิดของลู่เซิ่ง
“หือ?” เขาเงยหน้ามองไปทางปากถ้ำ
บุรุษอาภรณ์ดำที่มีรูปร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เดินออกมาจากทิศทางนั้น
“เหะๆๆ อยู่ตรงนี้ๆ อยู่นี่อย่างที่คิดไว้เลย!” บุรุษยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตาที่มองลู่เซิ่ง เต็มไปด้วยความละโมบและคาดหวังเหมือนกับเห็นภูเขาเงินภูเขาทอง
“มนุษย์หรือ” ลู่เซิ่งไม่เจอมนุษย์มานานแล้ว เขาใช้ชีวิตร่วมกับมังกรสีรุ้งมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอมนุษย์บนโลกใบนี้
“มังกรน้อยเอ๋ย เป็นเด็กดีซะ จงอย่าขยับ ไม่อย่างนั้นข้าไม่รับประกันนะว่าเจ้าจะทรมานหรือไม่” บุรุษอาภรณ์ดำยิ้มชั่วร้ายพร้อมกับค่อยๆ กางผ้าสีดำในมือ ในขณะเข้าใกล้ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งไม่เข้าใจคำพูดของเขา แต่จากกลิ่นอายยาสลบจางๆ ที่กระจายออกมาจากผ้าสีดำผืนนั้น ทำให้เขาแยกแยะได้ว่าคนตรงหน้าไม่มีเจตนาดี
พรึ่บ!
ผ้าสีดำครอบใส่หัวลู่เซิ่งดุจสายฟ้าแลบ
ลู่เซิ่งมองบุรุษอาภรณ์ดำด้วยสีหน้าพิกลผ่านผ้าสีดำ
บุรุษอาภรณ์ดำจ้องมองลู่เซิ่งด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย รอให้เขาล้มลง
ผ่านไปสิบวินาที
ผ่านไปยี่สิบวินาที
ลู่เซิ่งปล่อยให้ผ้าสีดำบนหัวค่อยๆ ไถลลงไป
“เจ้า…ชื่ออะไร?” เขาใช้ภาษาภัยพิบัติพูดช้าๆ
อีกฝ่ายเบิกตากว้าง เขาได้ยินภาษาภัยพิบัติเป็นครั้งแรก ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งเคยได้ยินภาษานี้เป็นครั้งแรก แต่ทำไมเขาถึงฟังออกล่ะ?!
“แพนดี้…” เขาตอบอย่างอึ้งงันโดยสัญชาตญาณ
“บัดซบ!” เขารู้สึกตัวทันที กลิ่นลวงวิญญาณไม่มีผลหรือนี่
เขาถูกสะกดเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพราะมังกรน้อยแค่ตัวเดียว เขาคือนักรบระดับทองคำขั้นสิบเชียวนะ!
แค่มังกรน้อยอายุไม่กี่ขวบตัวเดียวแท้ๆ!
เขาชักมีดสั้นออกมาดุจสายฟ้าฟาด แล้วแทงใส่ปีกขวาของลู่เซิ่ง
“แยกปฐพีสังหาร!” คมพลังงานสีเหลืองเหมือนปีกระเบิดออกจากมีดสั้นพร้อมกับพุ่งใส่ลู่เซิ่งอย่างฉับพลัน
ลู่เซิ่งพลันเกิดความสนใจ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีพลังไม่เลว จะได้ทดลองอานุภาพเวทมนตร์ที่เขาเพิ่งเรียนรู้พอดี
เขาที่เผชิญคมพลังงานสีเหลืองแบะอกออก ส่วนปลายของถุงขนาดใหญ่ตรงหน้าอกแยกออกทันที
ไปเลย เวทอัคคีมังกร!
เปลวเพลิงที่เจิดจ้าเหมือนลาวาสีทองระเบิดออกจากทรวงอกของลู่เซิ่งอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น กระแทกพลังงานสีเหลืองจนแหลกในพริบตา จากนั้นก็พุ่งไปถึงร่างบุรุษอาภรณ์ดำ
ฟ้าว!
เปลวเพลิงสีทองพุ่งออกจากปากถ้ำ ยังไม่ถึงสิบเมตรก็สลายหายไป สิบเมตรคือขีดจำกัดสูงสุดของเวทอัคคีมังกรแล้ว
บุรุษในอาภรณ์ดำฝืนหยัดร่างในเปลวเพลิง คำรามใส่เปลวเพลิงสีทอง พร้อมกับกระโจนใส่ลู่เซิ่ง
“แค่เวทมนตร์ขั้นสูงแค่ชนิดเดียว คิดจะจัดการแพดดี้ สมิธงั้นเหรอ?! ตายซะ!” เขาตะโกนพลางถือมีดพุ่งใส่ลู่เซิ่ง
พรึ่บ!
เวทอัคคีมังกรด้านหน้า ถูกเขาฟันระเบิดในครั้งเดียว
เขาโถมตัวใส่ลู่เซิ่งอย่าบ้าคลั่ง แต่สิ่งที่รอเขาอยู่ คือเวทอัคคีมังกรเก้าร้อยเก้าสิบแปดสายที่ปรากฏขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่ง
เวทอัคคีมังกรเก้าร้อยกว่าสายกลายเป็นก้อนเปลวเพลิงสีทองจำนวนมาก ทะลักใส่เขาเหมือนกระแสธารสีทอง
“ไม่!” เขาสีหน้าเปลี่ยนแปลงแต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว
เสียงระเบิดที่รุนแรงดังขึ้นติดต่อกัน ถ้ำทั้งถ้ำสั่นไหว ผ่านไปเกือบครึ่งนาทีกว่าๆ จึงค่อยๆ สงบลง
รอจนเวทอัคคีมังกรถูกปล่อยจนหมด ลู่เซิ่งก็ไอออกมาพร้อมกับกระพือปีก ปล่อยเวทธาตุลมออกมาพัดหมอกควันในถ้ำจนกระจาย
ตรงปากถ้ำเหลือแต่เถ้าสีดำเละเทะโปรยปรายอยู่บนพื้น
บุรุษคนเมื่อครู่หายตัวไปแล้ว
‘อืม…อานุภาพรุนแรงไปหน่อยแฮะ…’ ลู่เซิ่งลูบคาง ‘ควบคุมแรงกระแทกไม่ได้…’
‘ครั้งหน้าต้องปรับอีกทีหนึ่ง…’ เขาพลันนึกถึงเรื่องหนึ่ง คนสวมเสื้อสีดำคนนี้โผล่มาจากไหน
พอนึกถึงตรงนี้เขาก็รีบพุ่งออกจากถ้ำแล้วมองไปยังทิศทางที่เหลือ
เห็นทีอาใช้เชือกแห่งจอมเวทสีม่วงอ่อนมัดมนุษย์สวมอาภรณ์ดำเอาไว้แล้วโยนไปอีกทาง
พวกแซลลีและอันไซเฟอร์กุมหัวร้องไห้ เห็นได้ชัดว่าเจอความทรมานมาไม่น้อย
“ลู่เซิ่ง เจ้าเป็นอะไรไหม?!” ราชินีมังกรเออร์นีบินมาจากสถานที่ที่อยู่ไม่ไกลออกไป ก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวลงด้านหน้าลู่เซิ่ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“เกิดเรื่องอะไรหรือขอรับ” ลู่เซิ่งเงยศีรษะด้วยใบหน้าสับสน “เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”
“เมื่อครู่มีคนมาโจมตีมังกรน้อย อะไรกัน เจ้าไม่เจอเหรอ” ราชินีมังกรเอ่ยอย่างงุนงงอยู่บ้าง
“โจมตี? มีด้วยหรือขอรับ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสับสน “ข้าฝึกเวทมนตร์อยู่ในถ้ำตลอดเวลา เลยไม่เจอคนลอบโจมตี”
เขาไม่อยากให้มังกรสีรุ้งตัวอื่นรู้ว่าเวทอัคคีมังกรของเขาแข็งแกร่งเกินไป
แถมปัญหาเนื้องอกที่หน้าอกก็ต้องปรับปรุงเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นหากภายหลังออกไปมีเรื่อง คนอื่นๆ เขาใช้ผลงานที่ตระการตา แต่พอถึงรอบของเขาต้องแบะอกออกแล้วบีบถุงเนื้อมากมายเหมือนรีดนม…คงกระอักกระอ่วนน่าดู
“ไม่เจอเหรอ” ราชินีมังกรมองลู่เซิ่งอย่างสงสัย เมื่อครู่นางได้ยินอย่างชัดเจนว่ามีเสียงระเบิดดังออกมาจากในถ้ำมังกรของลู่เซิ่ง
ท่าทางของมังกรน้อยตัวนี้ทำให้นางสงสัยเล็กน้อย
“ขอรับ ข้าตั้งสมาธิทั้งหมดไปกับการศึกษาเวทมนตร์ ท่านเองก็ทราบว่าข้าใกล้จะเลื่อนเป็นจอมเวทขั้นหนึ่งแล้ว เลยไม่ได้สนใจเรื่องอื่นจริงๆ” ลู่เซิ่งอธิบาย
“ก็ดี ไม่เป็นไรก็พอแล้ว ถ้าเจ้าพบว่าในถ้ำเกิดความผิดปกติขึ้น อย่าลืมร้องขอความช่วยเหลือดังๆ ด้วย” ราชินีมังกรกำชับ
ความจริงมนุษย์พวกนั้นเป็นเรื่องที่นางจงใจปล่อยให้เล็ดรอดเข้ามาเพื่อให้มังกรน้อยได้รับรู้ถึงความลำบากบ้าง
พวกนางทราบแผนการลอบโจมตีของคนพวกนี้มาแต่แรกแล้ว ทราบเรื่องที่พวกเขาชักนำมังกรแดงมา รวมถึงเรื่องที่พวกเขาเป็นผู้เข้มแข็งระดับทองคำดุจอยู่บนฝ่ามือ
ตอนแรกทีอาเสนอให้จัดการแมลงฝูงนี้ทิ้งทันที แต่ราชินีมังกรเออร์นีเสนอว่า ให้ใช้โอกาสนี้ปล่อยให้พวกมังกรน้อยได้ฝึกฝน
มังกรสีรุ้งตัวอื่นๆ เห็นด้วยทันที
ผลลัพธ์ต่อจากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น เหล่ามังกรน้อยถูกจับก่อน จากนั้นหลังจากอีกฝ่ายใกล้จะทำสำเร็จตอนจะออกจากรังมังกร ก็เผชิญกับฝูงมังกรสีรุ้งที่หมอบซุ่มมาโดยตลอด
เมื่อสู้กันซึ่งหน้า คนพวกนี้ก็ถูกหัตถ์แห่งจอมเวทระดับสูงของผู้อาวุโสใหญ่คนหนึ่งฟาดสลบแล้วโดนจับมัดไว้
ผู้อาวุโสใหญ่ที่เป็นตำนานระดับสูงของเผ่ามังกรโบราณปลดปล่อยหัตถ์แห่งจอมเวทระดับสูงออกมา อานุภาพด้อยกว่าเวทมนตร์ขั้นเก้าทั่วไปไม่เท่าไหร่ พึงทราบไว้ว่าเวทมนตร์ขั้นเก้ามีแต่จอมเวทขั้นแปดขึ้นไปเท่านั้นถึงจะใช้ได้
การใช้กับนักรบขั้นสิบไม่กี่คนเหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน
ต่อมาราชินีมังกรลองตรวจสอบดู พอเห็นว่าในหมู่มังกรน้อยไม่มีลู่เซิ่งก็เลยมาตรวจสอบเอง สุดท้ายกลับพบว่าลู่เซิ่งไม่เจอการโจมตี
ทางผู้ลอบโจมตีเองก็หายไปหนึ่งคน ในสถานการณ์ที่ตามหาจนทั่วแต่ไร้ผลลัพธ์ เหล่ามังกรรุ้งจึงเลิกสนใจ ต่างคิดว่าคนที่หายสาบสูญไปคนนี้น่าจะรู้ตัวแล้วหลบหนีไปได้ก่อน
ลู่เซิ่งไม่แสดงสีหน้า มีแต่เขาที่รู้ว่า สภาพของนักรบระดับทองคำคนนั้นเป็นอย่างไร
เขานึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าเวทอัคคีมังกรขั้นหนึ่งจะมีอานุภาพรุนแรงขนาดนี้
และการเปลี่ยนแปลงของเวทอัคคีมังกรก็ทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจมากกว่าเดิม
หลังจากเรื่องโจรขโมยมังกรจบลง ถ้ำมังกรก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง
พวกมังกรสีรุ้งไม่ได้สอนอะไรให้แก่มังกรน้อยอีก มีบางครั้งเท่านั้นที่จะมอบคาบเรียนให้กับพวกเขาเพื่ออธิบายปัญหาที่พวกเขาสะสมไว้
หลังจากเจอความยากลำบากในครั้งก่อน อันไซเฟอร์กับบอร์กในหมู่มังกรน้อยทั้งสี่ตัวก็ได้ตระหนักถึงความอ่อนแอของตัวเองอย่างล้ำลึก แล้วเริ่มตามกลุ่มพรานมังกรออกไปล่าสัตว์บ่อยขึ้นเพื่อฝึกฝนความสามารถในการล่าของตัวเอง
มีแต่แซลลีที่เป็นมังกรเพศเมียเพียงตัวเดียวที่ขอร้องให้ทีอารับเป็นศิษย์ แล้วเรียนเวทมนตร์ธาตุลม
สิ่งที่ทีอาถนัดที่สุดคือเวทสร้างพลังงานธาตุลม
ทางลู่เซิ่งไม่ได้ติดตามใคร เพียงอยู่อาศัยในถ้ำมังกรของตัวเองเพียงลำพัง วันๆ ทำตัวลึกลับ ไม่ทราบว่าทำอะไรอยู่
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ
หลังจากลู่เซิ่งทดลองแล้วหลายครั้งโดยใช้ดีปบลู ในที่สุดก็ปรับปรุงแบบจำลองการปลดปล่อยเวทมนตร์ของถุงเนื้อสำเร็จ
กลายเป็นการเก็บพลังงานธาตุไว้ในอวัยวะภายในของตัวเอง
ระดับจอมเวทของเขาก็กำลังยกระดับขึ้นอย่างเชื่องช้าเช่นกัน
พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสามปี
ลู่เซิ่งเลื่อนระดับถึงขั้นหกสำเร็จ กลายเป็นจอมเวทตัวจริงเสียงจริง
ในโลกใบนี้ ผู้ที่เวทมนตร์ไปถึงขั้นหกได้ของทุกเผ่าพันธุ์จะได้รับการเรียกขานว่าจอมเวท
นี่เป็นคำยกย่องของระดับนี้
เป็นเพราะจอมเวทขั้นหกคือต้นน้ำที่สามารถสร้างหอคอยจอมเวทได้อย่างแท้จริง นับตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไป จอมเวทจะไม่ใช่ผู้ร่ายเวทธรรมดาๆ อีกแล้ว แต่จะใช้หอคอยจอมเวทเป็นอาวุธต่อสู้ที่มีประโยชน์อย่างมหาศาลในการสู้รบได้
มันมีเวทมนตร์ตรวจสอบและต่อสู้ สามารถใช้สอดแนมตามเวลาจริง รวมถึงทดสอบและศึกษาเวทมนตร์ขั้นสูง ถึงขั้นที่ผลิตอาหารหรือของหายากบางส่วนได้
หอคอยจอมเวทในอาณาจักรของมนุษย์เป็นตัวแทนอำนาจการปกครองอันยิ่งใหญ่ของผู้ปกครองต่อดินแดนของตัวเอง
สำหรับลู่เซิ่ง จอมเวทขั้นหกเป็นจุดเริ่มต้นที่เริ่มจะศึกษาเวทมนตร์ประเภทอื่นๆ ตามความหมายที่แท้จริง
เมื่อไม่มีการช่วยเหลือจากหอคอยจอมเวท จอมเวทไร้สังกัดทั่วไปจะศึกษาเวทมนตร์ในมิติและตำแหน่งอื่นๆ ได้ก็ต่อเมื่อถึงขั้นหกแล้วเท่านั้น
ทางเผ่ามังกรสีรุ้งเริ่มเผชิญการโยกย้ายถิ่นฐานครั้งใหม่ เป็นเพราะผู้เข้มแข็งจากองค์กรบุปผาธำมรงค์ศัตรูของพวกเขาเริ่มไล่ล่ามาแล้ว
บุปผาธำมรงค์ องค์กรค้าทาสขนาดใหญ่สุดบนมหาทวีป
หลังจากเผ่ามังกรสีรุ้งสูญเสียเทพไป ก็ถูกเผ่ามังกรเผ่าอื่นโจมตีอย่างหนัก องค์กรนี้ได้ฉวยโอกาสตามล่ามังกรสีรุ้งอย่างไร้ความเกรงกลัว
จนกระทั่งถึงวันนี้ มังกรสีรุ้งมากกว่าร้อยตัวถูกองค์กรนี้จับไปหรือไม่ก็ฆ่าตายอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาพันปี
พวกเขาถูกบุปผาธำมรงค์ขายให้แก่ขุมกำลังของเผ่าต่างๆ ต่อให้เป็นศพมังกรก็ถูกแบ่งขายให้องค์กรจอมเวทมากมายเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับร่ายเวท
เหตุที่มังกรสีรุ้งอพยพไปทั่ว ความจริงก็เพื่อซ่อนตัวจากพวกเขา
…
ณ ถ้ำมังกรของลู่เซิ่ง
‘หลังจากหลุดออกจากข่ายเวท ตอนแรกยากเย็นและเชื่องช้ามาก นึกไม่ถึงว่าภายหลังจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ ประหลาดจริงๆ…’
ลู่เซิ่งนั่งพลิกคัมภีร์เวทมนตร์บนโต๊ะด้านหน้าอยู่ใต้แสงเทียนอย่างช้าๆ ดวงตาคล้ายฉายความคิด
ระดับการร่ายเวทในปัจจุบันของเขาพัฒนาขึ้นโดยพึ่งพาตัวเองเท่านั้น จึงแข็งแกร่งกว่าจอมเวทขั้นหกคนอื่นไม่น้อย
หนำซ้ำเป็นเพราะเขามีจิตวิญญาณแข็งแกร่งร้ายกาจโดยกำเนิด เวทมนตร์ที่ปล่อยออกมาจึงมีอานุภาพสูงกว่าเวทมนตร์อื่นๆ ในระดับเดียวกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะปกติลู่เซิ่งสะกดการปล่อยพลังจิตเอาไว้ เกรงว่าคงจะเปิดเผยพัฒนาการและพรสวรรค์ระดับจอมเวทที่น่าหวั่นสะพรึงของเขาออกไปตั้งแต่ตอนที่พวกอาจารย์ทดสอบแล้ว
เขามาเกิดใหม่ที่โลกนี้ได้สิบปีแล้ว…
ในช่วงเวลาสิบปีนี้ ลู่เซิ่งได้ทำความเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ของโลกใบนี้ รวมถึงวิกฤติการณ์ที่มังกรสีรุ้งเผชิญอยู่ในปัจจุบันอย่างสมบูรณ์
ความปรารถนาของร่างต้นร่างนี้คือการทำให้มังกรสีรุ้งไม่หายไปในประวัติศาสตร์และผงาดขึ้นใหม่
‘ถ้างั้นขอแค่ทำให้มังกรสีรุ้งรอดชีวิตและแพร่พันธุ์ต่อไปได้อย่างสงบสุข ก็น่าจะตอบสนองเงื่อนไขผลกรรมได้สบายๆ’
เนื่องจากว่ามีเทพ ดังนั้นการเปิดเผยความร้ายกาจในโลกใบนี้มากเกินไปจึงไม่เป็นผลดีต่อการซ่อนสถานะ มีโอกาสจะดึงดูดคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งและไม่รู้ว่ามีพลังขนาดไหนมา
ในตอนที่ยังไม่รู้ถึงขีดจำกัดของโลก ลู่เซิ่งไม่คิดจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่มังกรสีรุ้งอย่างบ้าคลั่ง หากแต่เลือกซ่อนสถานะกับพลัง ขณะเดียวกันก็คอยตระเวนรวบรวมพลังอาวรณ์ และลงมือช่วยเหลือในตอนที่มังกรสีรุ้งเผชิญกับช่วงเวลาสำคัญก็พอ
“เก็บของเสร็จหรือยัง” ด้านนอกถ้ำมีเสียงของแซลลีดังมา