ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 713 สีทอง (1)
บทที่ 713 สีทอง (1)
“ตอนแรกข้าคิดว่าการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่แรกจะมั่นคงกว่า แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งเดินไปถึงด้านหน้าหญิงสาวผมทอง
“ผู้อ่อนแออดทนฝืนกลั้นเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี กังวลหวาดกลัว หลบเลี่ยงอันตราย จึงเดินวกไปวนมา แต่ผู้เข้มแข็งเดินเป็นเส้นตรง เมินอุปสรรค นี่จึงเป็นวิธีการที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด”
หญิงสาวผมทองไม่เข้าใจคำพูดของลู่เซิ่ง อาการบาดเจ็บของนางสาหัสมาก เพียงแค่ถูกโจมตีอีกครั้งอย่างง่ายๆ อวัยวะภายในมากกว่าแปดส่วนในตัวนางจะป่นเป็นผุยผง ต่อให้เป็นเวทรักษาตัวเองที่เพิ่มการแข็งตัวเป็นการถาวรระดับสูงสุด ก็ไม่สามารถรักษาได้ในเวลาสั้นๆ
นางใกล้ตายแล้ว…
“เจ้าชื่ออะไร” ลู่เซิ่งถามอย่างกะทันหัน
“เฌอลีน…เฌอลีน โอโรส…” หญิงสาวผมทองตอบโดยไม่รู้สึกตัว
หมับ
ลู่เซิ่งจิกผมของนาง แล้วค่อยๆ ยกนางขึ้น
“ยอมแพ้แล้วหรือ” ลู่เซิ่งยิ้ม “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการร่างนี้แล้ว อย่างนั้นขอข้าก็แล้วกัน…”
เขาพลันก้มหน้าลงแล้วอ้าปากใหญ่ ลิ้นแหลมเล็กที่แดงฉานราวกับกิ้งก่าพุ่งเข้าใส่ในปากของเฌอลีนอย่างรุนแรง
แค่กๆๆๆ!
เฌอลีนไอเสียงดัง แต่ปากถูกลู่เซิ่งบีบไว้จึงปิดไม่ได้ นางรู้สึกว่ามีของที่มีผิวสัมผัสเหมือนเนื้อสักอย่างกำลังมุดไปตามลำคอของตัวเอง ไหลลงไปยังกระเพาะ
“เรียบร้อย” ลู่เซิ่งปล่อยให้นางตกลงบนพื้น
พอเฌอลีนตกถึงพื้นก็กระอักและอาเจียนอย่างรุนแรงทันที หมายจะสำรอกเอาของที่อยู่ในท้องออกมา
แต่ก็ไร้ประโยชน์ ของสิ่งนั้นติดตรึงกระเพาะอย่างแน่นหนา หนำซ้ำยังร้อนลวก ไม่นานก็ละลายกลายเป็นกระแสความอบอุ่นหลายชนิด แล้วหลอมละลายเข้ากับร่างกายของนาง
ไม่นานนักนางก็รู้สึกว่าอวัยวะภายในที่เสียหายของตัวเองกำลังฟื้นตัวด้วยคามเร็วสูงสุด
ลู่เซิ่งสัมผัสการเปลี่ยนแปลงบนร่างเฌอลีนอย่างพอใจ
เมื่อครู่นี้เขาได้ส่งชิ้นเนื้อเล็กๆ ของร่างหลักเข้าไปในตัวเฌอลีน จากนั้นก็ควบคุมให้เนื้อของตัวเองฟื้นฟูอวัยวะภายในที่เสียหายทั้งหมดในตัวเฌอลีน
ร่างกายของเฌอลีนในตอนนี้ตกอยู่ในการควบคุมของเขาโดยสมบูรณ์ เนื้อและเซลล์ของร่างหลักกำลังขยับขยายไปตามระบบน้ำเหลืองของเฌอลีนด้วยความเร็วสูง
ขอแค่เขาต้องการ วินาทีถัดจากนี้ ร่างหลักจะเกิดใหม่บนร่างเฌอลีนได้อีกครั้ง
แต่เป็นเพราะจิตวิญญาณควบคุมร่างหลักได้ดีที่สุดเพียงร่างเดียว เขาจึงไม่คิดทำแบบนี้
เวทมนตร์ของร่างแยกมีมากมายจริงๆ แต่เนื่องจากแบ่งแยกจิตวิญญาณไม่ได้ ผู้บำเพ็ญที่ฝึกฝนร่างแยกส่วนใหญ่ ถ้าไม่กลายเป็นบ้า ก็เกิดความขัดแย้งกับตัวเองจนบุคลิกแตกแยก
ลู่เซิ่งไม่อยากแกว่งเท้าหาเสี้ยน
“เจ้าทำอะไรกับข้า!” เฌอลีนกรีดร้องและดีดตัวขึ้น ก่อนฟันดาบใส่ทรวงอกของลู่เซิ่ง
เปรี้ยง!
ดาบหยุดลงในทันทีที่อยู่ห่างจากลู่เซิ่งเพียงปลายเส้นขน ปราณดาบที่รุนแรงกระจายออกมาจากคมดาบ วนรอบๆ ตัวลู่เซิ่ง แล้วระเบิดบนผนังถ้ำด้านหลัง
เฌอลีนหยุดดาบด้วยตัวเอง ร่างกายของนางไม่ฟังคำสั่ง เพียงยืนอย่างซึมเซาและแข็งทื่ออยู่กับที่ ความรู้สึกรังเกียจและความรู้สึกปฏิเสธที่รุนแรงทำให้นางไม่อาจฟันดาบใส่ลู่เซิ่งได้ต่อ
“เจ้า…!?”
“ข้ารักษาเจ้า ตอนนี้ เจ้าเป็นของข้าแล้ว…” ลู่เซิ่งฉีกยิ้มจนเห็นฟันมังกรแหลมคม
เพียงแต่รอยยิ้มนี้กลับเหมือนปีศาจในสายตาเฌอลีน!
ลู่เซิ่งหันไปมองจอมเวทเอล์ฟอีกสองคนที่สร้างโล่เวทมนตร์ขั้นห้าไว้ด้านหน้าตนเอง
“ข้ากำลังขาดคนอยู่เลย…พวกเจ้ามาถูกเวลาแล้ว…”
การรับเฌอลีนเป็นพวกเป็นเพียงละครคั่นบทเล็กๆ เท่านั้น ลู่เซิ่งไม่ได้ยึดติดอยู่แล้วว่าจะใช้พลังของร่างหลักหรือพลังของร่างนี้
เวลาสิบกว่าปีมากพอให้เขาวิเคราะห์กฎเกณฑ์จำนวนไม่น้อยของโลกใบนี้ออกแล้ว แม้ว่าร่างหลักจะจุติไม่ได้ แต่ก็พอจะปล่อยพลังออกมาได้ครึ่งหนึ่ง
สำหรับจอมเวทระดับทองคำเหล่านี้ พลังครึ่งหนึ่งของร่างหลักในตัวลู่เซิ่งได้ไปถึงระดับน่ากลัวที่ไม่อาจจินตนาการได้อีกแล้ว
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปช้าๆ พร้อมกับดีดนิ้ว
เนื้อที่เหมือนกับกระสุนสองก้อนหายเข้าไปในท้ายทอยของเอล์ฟสองตน หลอมละลายเข้าไปในพริบตา
“เอาล่ะ ข้ากำลังขาดบริวารที่จะช่วยทำการแลกเปลี่ยนอยู่หลายคนพอดี” ลู่เซิ่งพอใจในตัวมือดีที่มาหาถึงที่พวกนี้มาก
ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการควบคุมพวกเขา เขาคงไม่ใช่เนื้อของร่างหลักง่ายๆ
พึงทราบว่าต่อให้จะเป็นเมื่อครู่ เขาเพียงแค่ใช้กายเนื้อร่างนี้ในการปล่อยวิชาหมัดทำลายล้างในพริบตาเท่านั้น
เพียงแต่ระดับการต่อสู้ของเขาสูงเกินไป ต่อให้จะใช้ร่างมังกรน้อยกับเวทมนตร์หลายร้อยชนิดที่มีอยู่ ก็สามารถแสดงอานุภาพที่น่ากลัวออกมาได้เหมือนกัน
เวทมนตร์จำนวนมากที่ใช้ออกมาอย่างกระจัดกระจายไม่มีผลต่อเฌอลีน แต่ถ้าหากว่าบีบอัดเวทมนตร์ทั้งหมดไว้ในอาณาเขตที่เล็กสุดๆ ล่ะ
ลู่เซิ่งทำแบบนี้ การเตะเมื่อครู่ของเขาคืออานุภาพอันน่ากลัวที่ได้จากการระเบิดเวทมนตร์จำนวนไม่น้อยในพริบตา
หลังจากจับพวกเฌอลีนมาเป็นพวกแล้ว ลู่เซิ่งก็มีบริวารที่สามารถเรียกใช้ได้เพิ่มมาสามคน
จอมเวทสองคนโดนสั่งให้สร้างม้วนเวทขึ้นเพื่อหาเงิน ส่วนเฌอลีนมีหน้าที่ดูแลการทำงานอย่างคร่าวๆ ของถ้ำมังกร ลู่เซิ่งจะได้อยู่ว่าง
การเปลี่ยนแปลงเผ่ากิ้งก่าเป็นไปอย่างราบรื่น ใช้ด้ายกระตุ้นวิญญาณไปแค่สามเท่าตัวก็สร้างมนุษย์กิ้งก่าที่ซื่อสัตย์ภักดีได้แล้วถึงสามร้อยกว่าตัว
ชนเผ่ามนุษย์กิ้งก่าเริ่มร่ำเรียนวิชาหมัดที่ลู่เซิ่งเป็นคนสอน
ลู่เซิ่งฝึกฝนไปพลาง จัดระเบียบทักษะการต่อสู้ด้วยวิชาหมัดที่ตัวเองมี มาเป็นทักษะพิเศษสำหรับให้มนุษย์กิ้งก่าใช้ไปพลาง
หลังจากเสริมความแข็งแกร่งและปรับปรุงผิวหนังกับเกล็ดของพวกมนุษย์กิ้งก่าโดยใช้ด้ายกระตุ้นวิญญาณมากกว่าพันเส้นเสร็จ ลู่เซิ่งก็ได้รับกองทัพนักรบกิ้งก่าที่ผิวหนังมีความต้านทานเวทไม่เลวกองหนึ่งโดยใช้เวลาแค่ครึ่งปี
เวทมนตร์ขั้นหนึ่งแทบไม่มีผลอะไรต่อกองทัพมนุษย์กิ้งก่า และต่อให้อัศวินนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดมาสู้ด้วย พวกเขาก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบชั่วคราวเพราะไม่ชินกับทักษะการต่อสู้ที่พวกมนุษย์กิ้งก่าถนัด
เมื่อมีกองทัพกองนี้เพิ่มมา ลู่เซิ่งก็เริ่มต่อสู้กับจอมเวทระดับสูงส่วนหนึ่งที่อยู่รอบๆ อย่างต่อเนื่อง จอมเวทมากกว่าขั้นสามขึ้นไปล้วนจำใจเข้าร่วมขบวนคุ้มครองของมนุษย์กิ้งก่าด้วยการบังคับอ้อมๆ ของเขา
จากนั้นก็กลายเป็นสมาชิกที่สร้างม้วนเวทของลู่เซิ่ง
เพื่อสร้างความเป็นหนึ่งและเพิ่มอำนาจควบรวม ลู่เซิ่งจึงได้รวบรวมขุมกำลังทั้งหมดไว้เป็นกลุ่มก้อน แล้วตั้งชื่อให้ว่าเงามาร
เมื่อเวลาผ่านไป ขุมกำลังของเงามารขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนลูกหิมะ ผู้เข้มแข็งระดับสูงจำนวนมากถูกเงามารเยี่ยมเยือนในที่ลับ บ้างก็เข้าร่วมหรือไม่ก็จำยอมเข้าร่วม ม้วนเวทไม่ได้เป็นธุรกิจหลักของเงามารอีกต่อไป
พวกเขาเริ่มยื่นมือไปหาสินแร่และธุรกิจสีเทาหลายชนิดที่หาเงินได้ ขบวนการค้าทั้งหมดที่เข้าออกอาณาเขตขุมกำลังที่เงามารตั้งอยู่จะต้องจ่ายค่าผ่านด่าน
ตอนแรกอัศวินมนตราเฌอลีนไม่ได้มีความสุขอะไรนัก เพียงแต่ถูกควบคุมจิตใจให้ทำเรื่องต่างๆ อย่างไม่ยินยอมเท่านั้น
ทว่าต่อมา ในอุบัติเหตุครั้งหนึ่งหลังจากนางทำภารกิจสนับสนุนสำเร็จ ลู่เซิ่งก็ได้มอบด้ายกระตุ้นวิญญาณให้เส้นหนึ่ง
พลังชีวิตเพิ่มขึ้นเท่าตัวในพริบตา นับแต่นั้นมา ความสามารถด้านการต่อสู้ของนางก็ยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว และขยับขยายขุมอำนาจให้แก่องค์กรของเงามารเป็นสามเท่าตัวกว่าๆ ในเวลาเพียงสองปี
เฌอลีนแสดงพรสวรรค์ด้านการค้าของตัวเองออกมามากกว่าเดิมเพื่อจะทำให้ลู่เซิ่งมอบด้ายกระตุ้นวิญญาณให้เป็นครั้งที่สอง โดยก่อตั้งตลาดขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่าเงาทรายขึ้นมาเพื่อรับประกันว่า ขบวนการค้าและพ่อค้าแม่ค้าที่มุ่งหน้ามาแลกเปลี่ยนทั้งหมดจะเจอลำดับขั้นตอนที่ยุติธรรม
ด้วยเหตุนี้ เงามารจึงเติบโตขึ้นจากองค์กรเล็กๆ ธรรมดาๆ เป็นองค์กรยิ่งใหญ่ที่กินพื้นที่มากกว่าครึ่งของเมืองในเวลาสั้นๆ แค่ห้าปี
สมาชิกแกนกลางได้รับการเรียกว่าผู้เป็นอมตะ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นวิญญาณ หากแต่ผู้เข้มแข็งห้าคนที่เป็นแกนหลักของเงามารล้วนเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่มีทางฆ่าตาย
และสิ่งเดียวที่ลู่เซิ่งผู้ซึ่งอยู่หลังฉากต้องทำก็คือ การมอบด้ายกระตุ้นวิญญาณให้แก่ผู้สร้างผลงานเป็นรางวัล พลังของด้ายกระตุ้นวิญญาณเป็นพลังชีวิตบริสุทธิ์ เมื่อประสานกับเนื้อของร่างหลักที่เขาเพาะไว้ในตัวคนทั้งห้า มันก็จะสร้างกายอมตะที่แทบเทียบเท่ากับเยื่อดำขึ้นมาได้
ข้อแตกต่างก็คือ เยื่อดำถูกเจาะได้ หากแต่กายอมตะไม่อาจเจาะทะลวง
นอกเสียจากว่ามีผู้เข้มแข็งขอบเขตมายาพิศวงระดับเดียวกับเขาทำลายเนื้อของร่างหลักโดยสิ้นเชิง
ทางลู่เซิ่งฝึกฝนเพื่อเลื่อนระดับในสภาพแวดล้อมซ่อนเร้นแบบนี้มาโดยตลอด สุดท้ายก็เลื่อนสู่ขั้นสิบและเริ่มมุ่งสู่ระดับจอมเวทขั้นสิบเอ็ดในตอนอายุได้สามสิบปี
และหอคอยจอมเวทของเขาก็เริ่มการก่อสร้างอย่างเป็นทางการเช่นกัน
…
ทางเหนือของมลรัฐมัลลิน เมืองมาตรฐาน
ลู่เซิ่งซึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำนั่งจิบกาแฟดำที่บดอย่างดีอยู่บนที่นั่งในร้านกาแฟทางฝั่งขวามือของถนนซึ่งคึกคักจอแจ
รสชาติขมปร่าของกาแฟดำเข้มข้นที่ไม่ได้เติมน้ำตาลค่อยๆ ไหลจากปลายลิ้นแหลมของเขาลงสู่ลำคอ แล้วมอบความหอมหวนกลมกล่อมกลับมา
ลู่เซิ่งหลงไหลกาแฟดำในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว
เขาชอบความเข้มที่เข้มจนเกือบเป็นเมือกและความขมที่เต็มไปด้วยความสดชื่น เพราะมันทำให้เขานึกย้อนถึงวันเวลาของการฝึกฝนที่ลำบากจนต้องร้องขอชีวิตสมัยที่มาถึงโลกใบนี้ใหม่ๆ
ตอนนั้นต้องซ่อนตัวด้วยวิธีการต่างๆ นาๆ และตระเวนหาวัตถุที่มีพลังอาวรณ์ไปทั่ว เทียบกับตอนนั้นแล้ว ชีวิตในตอนนี้สุขสบายจริงๆ
“มนุษย์ทุกคนต่างก็มีช่วงเวลาลำบากตอนสร้างตัวจากศูนย์ทั้งนั้น…” ลู่เซิ่งสะท้อนใจ
“นายท่านบ่นคนเดียวอีกแล้วนะคะ” สาวเสิร์ฟคนหนึ่งยิ้มพลางสัพยอก
“ใช่แล้ว…พออายุเยอะก็จะรำพึงถึงไอ้นู่นไอ้นี่เสมอ” ลู่เซิ่งพยักหน้า หลังจากเลื่อนเป็นจอมเวทขั้นสิบ เขาก็ฝึกฝนเวทมนตร์แปลงกลายถาวรขั้นห้าสำเร็จ จากนั้นก็เลือกคงสภาพร่างมังกรของตัวเองในรูปลักษณ์ของมนุษย์เป็นการถาวร
นี่ความจริงเป็นเวทมนตร์ที่ทุกเผ่าพันธุ์สามารถเลือกได้หลังจากบรรลุถึงขั้นสิบ
มังกรสีรุ้งตัวอื่นก็เป็นเหมือนกัน แต่เทียบกับร่างมนุษย์แล้ว พวกเขาชอบร่างมังกรที่สุด เพราะมันเป็นสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด
ดังนั้นในเวลาปกติจึงมีมังกรสีรุ้งไม่กี่ตัวเท่านั้นที่แปลงกายเป็นมนุษย์
แต่ลู่เซิ่งไม่เหมือนกัน เขาเป็นมนุษย์อยู่แล้ว ตอนนี้แค่กลับสู่รูปลักษณ์เดิมเท่านั้น
ลู่เซิ่งยิ้มให้แก่สาวเสิร์ฟอย่างอ่อนโยน หญิงสาวไม่นับว่าสวย แถมยังอวบนิดหน่อย แต่นางมีรอยยิ้มที่อ่อนหวานจนทำให้คนที่เห็นนางยิ้มอารมณ์ดีขึ้นได้
นี่เป็นสาเหตุที่ร้านกาแฟแห่งนี้ขายค่อนข้างดี
ลู่เซิ่งมาดื่มกาแฟที่นี่แก้วหนึ่งแทบทุกเช้าเพื่อมองดูรอยยิ้มที่เบิกบานตลอดกาลบนใบหน้าของหญิงสาว นี่ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
หลังดื่มกาแฟที่ขมหมดไปแก้วหนึ่ง ลู่เซิ่งก็สั่งเค้กบางส่วนมาเหมือนปกติ
ทว่าวันนี้ดูเหมือนร้านกาแฟที่สุขสงบจะเกิดเรื่องบางอย่าง
คู่รักคู่หนึ่งที่นั่งห่างจากลู่เซิ่งไปห้าหกที่นั่งลุกขึ้นทะเลาะกัน
เสียงทะเลาะของคนทั้งสองดังมาก ชายผมขาวคนหนึ่งแสดงสีหน้าไม่พอใจ แม้หญิงสาวผมสั้นสีทองคนนั้นจะสวยมาก แต่เหมือนจะอารมณ์ร้ายมากกว่า
เสียงทะเลาะเบาะแว้งดังขึ้นเรื่อยๆ อยู่ๆ ก็เกิดเสียงดังเพล้ง แก้วบนโต๊ะตกลงบนพื้นและแตกไม่มีชิ้นดี
ทั้งสองชดใช้เงิน แล้วเดินออกไปอย่างโมโห ไม่นานก็หายไป
หญิงเสิร์ฟที่อวบอ้วนเล็กน้อยคนนั้นกับบริกรอีกสองคนคอยเกลี้ยกล่อมอยู่ใกล้ๆ แต่กลับไม่เป็นผล ทว่าพอหญิงสาวผมยาวสีทองที่สวมกระโปรงตัวเล็กๆ สีขาวคนหนึ่งออกหน้า จึงค่อยเกลี้ยกล่อมให้คู่รักหยุดการทะเลาะเบาะแว้งและส่งพวกเขาออกไปได้
ลู่เซิ่งดื่มกาแฟที่นี่มาหนึ่งปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเจ้าของของที่นี่