ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 104 ฝากฝัง
ตอนที่ 104 ฝากฝัง
โดย
Xiaobei
แม้จะบอกว่านางเทิดทูลแม่เฒ่าซ่งซึ่งเป็นแม่ใหญ่เป็นอย่างยิ่ง แต่เว่ยเซิ่งเซียน เองก็เป็นแม่คนแล้ว เมื่อสอบถามถึงแม่มาทั้งครึ่งวันเช้าแล้ว เมื่อถึงเวลาอาหารเที่ยง ก็ถูกแม่นมที่อยู่ข้างหลังดึงแขนเสื้ออยู่หลายหน ที่สุดก็นึกถึงธุระสำคัญขึ้นมาได้ จึงสั่งบุตรสาวทั้งสองว่า “พวกเจ้าไปดูแลที่ห้องครัวสักหน่อย อย่าให้พวกนางแอบขี้เกียจเชียว”
เมื่อเห็นซ่งซีเยวี่ยและซ่งหรูเซวียนถูกจัดการให้ออกไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็รู้ว่าอาหญิงใหญ่จะพูดธุระกับตนแล้ว ปรากฏว่าเว่ยเซิ่งเซียนเอ่ยออกมาอย่างกระดากอายว่า “จะว่าไปฉางอิ๋งเจ้าก็เพิ่งจะแต่งมาอยู่ที่เมืองหลวง และเป็นภรรยาคนแล้ว ย่อมมีเรื่องที่บ้านสามีให้ต้องดูแล เดิมทีไม่ควรให้เจ้าต้องยุ่งยากอีก…”
“ท่านอาใหญ่กล่าวสิ่งใดกันเจ้าคะ? อย่างไรพวกเราก็เป็นอาหลานกันแท้ๆ ล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน ทั้งท่านอาใหญ่ก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของข้า หากมีเรื่องใด ขอให้สั่งความมา ขอเพียงหลานทำได้ย่อมไม่มีทางปฏิเสธแน่นอนเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางเอ่ยขัดคำนางขึ้นมา แม้คราก่อนที่เว่ยฉางอิ๋งไปที่จวนตระกูลซ่งนั้นจะจังหวะไม่ดีนัก จึงทำให้จนวันนี้ยังไม่เคยได้พบกับท่านลุงแท้ๆ ของตน แต่คิดว่าซ่งอวี่วั่งก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ของฮูหยินซ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ย่อมต้องเห็นแก่หน้าหลานลุงผู้นี้สักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ไม่ได้ยากเย็นสำหรับซ่งอวี่วั่งเลย ก็เพียงแค่ให้เขาเอ่ยคำกำชับพวกคนในตระกูลในสายรองเท่านั้น …คาดว่าญาติๆ ของท่านอาเขยใหญ่คงไม่กล้าขัดคำสั่งของสายหลักหรอก
ที่ใดจะคิดว่าเมื่อ เว่ยเซิ่งเซียนฟังนางให้คำสัญญา แม้จะมีท่าทีซาบซึ้งแต่ที่นางเอ่ยออกมากลับคือ “ในเมื่อฉางอิ๋งก็พูดเช่นนี้แล้ว อาก็จะพูดตรงๆ เลย เจ้าดูลูกผู้น้องทั้งสองคนของเจ้า แม้พวกนางจะห่างไกลกับเจ้านัก ทว่าก็นับได้ว่าเรียบร้อย สมัยก่อนอาก็เคยร่ำเรียนธรรมเนียมต่างๆ มาจากท่านย่าของเจ้ามาก่อนและล้วนสอนแก่พวกนาง ลูกผู้น้องทั้งสองของเจ้ายังนับว่าเชื่อฟัง ทั้งกริยา หน้าตา และการเรือนล้วนใช้การได้ เวลานี้ซีเยวี่ยก็ถึงวัยปักปิ่นแล้ว ส่วนหรูเซวียนก็โตแล้ว หลายปีมานี้ล้วนติดตามท่านอาเขยของเจ้าอยู่ที่เจ๋อเจียงตลอด ที่นั่นกันดาร และไม่มีคนที่เข้าท่าที ยามนี้ท่านอาเขยของเจ้าก็อุตส่าห์ได้กลับมาอยู่ใกล้เมืองหลวงแล้ว ทว่าในระยะแรกที่เพิ่งมาถึงนี้ สหายที่เคยคุ้นกันสมัยนั้น ด้วยห่างกันไปหลายปีจึงล้วนห่างเหินกันไปหมดแล้ว อย่างไรก็ไม่อาจสนิทชิดเชื้อกันเหมือนญาติแท้ๆ …หากเจ้ามีคนที่เหมาะสม เห็นว่าไม่เลว และลูกผู้น้องทั้งสองของพวกเจ้าคู่ควร จักช่วยมองหาให้อาได้หรือไม่?”
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งนึกว่า เว่ยเซิ่งเซียนจะเอ่ยเรื่องที่นางถูกญาติฝั่งสามีบีบบังคับ ที่ใดจะไปคิดว่าเว่ยเซิ่งเซียนกลับมาฝากฝั่งนางเรื่องแต่งงานของบุตรสาวทั้งสอง …ที่เว่ยเซิ่งเซียนพูดก็มีเหตุผล นางเกิดและเติบโตอยู่ในเมืองหลวง แต่หลังจากออกเรือนแล้วก็คอยติดตามสามีไปรับตำแหน่งที่ต่างเมือง ทั้งเจ๋อเจียงก็ยังเป็นที่ที่อยู่ติดกับเซียนหลัว ที่นั่นแม้จะมีตระกูลใหญ่ในแถบนั้น ทว่าจะเข้าตาเว่ยเซิ่งเซียนที่ถือกำเนิดในหนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ได้ที่ใดเล่า?
เมื่อคิดว่าท่านอาเขยย้ายกลับมาใกล้เมืองหลวงอย่างฉับพลันในเวลานี้ โดยมากแล้วก็เพื่อให้บุตรสาวทั้งสองคนสามารถแต่งงานกับคนดีๆ จึงคิดหาหนทางเพื่อให้ได้ย้ายมา
ว่ากันตามตรงแล้ว ลูกผู้น้องทั้งสองล้วนมีหน้าตาไม่เลวเลย ดูไปแล้วนิสัยก็ไม่ได้ไม่ดี แม้จะเป็นบุตรสาวตระกูลซ่งในสายที่ห่างออกไป แต่ก็เป็นบุตรสาวบ้านใหญ่ ทรัพย์สมบัติใบบ้านก็มั่งคั่งพรั่งพร้อม ก่อนหน้านี้ท่านอาเขยใหญ่ก็เป็นเจ้าเมือง ยามนี้กลับมาอยู่ชานเมืองหลวงก็ยังเป็นเจ้าเมือง ซึ่งนับว่าเป็นตำแหน่งขุนนางนี้ที่ใช้ได้แล้ว ด้วยทั้งบิดามารดาล้วนเป็นบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ โดยเฉพาะเว่ยเซิ่งเซียนผู้เป็นมารดาก็ยังมีฐานะเป็นถึงบุตรสาวของประมุขตระกูลเว่ย จึงสามารถเลือกหาจากตระกูลใหญ่โตโดยมากได้ทั้งหมด
เว่ยฉางอิ๋งคิดใคร่ครวญในใจสักพัก รู้สึกว่าเรื่องนี้ตนยังพอมีความสามารถช่วยได้ จึงพยักหน้า “ท่านอาใหญ่โปรดวางใจ แม้ยามนี้หลานจะออกเรือนได้ไม่นาน ยังไม่ทันคุ้นเคยกับบรรดาคุณชายแต่ละตระกูลในเมืองหลวงเท่าใดนัก ทว่าท่านพี่มีสหายสนิทหลายคนอยู่ราชองครักษ์ทั้งสามซึ่งมีคนที่มีความสามารถมากมาย คิดว่าสามารถดูให้น้องสาวทั้งสองได้เจ้าค่ะ เพียงแต่นี่เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต หลานกลับไม่กล้ากำหนดให้น้องสาวทั้งสองเอง ถึงยามจึงยังต้องเชิญท่านอาไปดูด้วยตนเองจึงจะได้เจ้าค่ะ”
เว่ยเซิ่งเซียนกล่าวอย่างยินดีว่า “คนในราชองครักษ์ทั้งสามล้วนเป็นคนหนุ่มที่มีทั้งความสามารถและรูปงาม เช่นนั้นแล้วก็ต้องลำบากฉางอิ๋งเจ้าแล้ว”
เมื่อกำหนดเรื่องนี้ได้ดังนี้แล้ว ซ่งซีเยวี่ยและซ่งหรูเซวียนก็เพิ่งจะกลับมาจากห้องครัว บอกว่าอาหารเที่ยงตระเตรียมไว้พร้อมแล้ว และสอบถามว่าจะเข้าไปข้างในเลยหรือไม่
ด้วยเหตุที่เว่ยฉางอิ๋งเพื่อชิงอำนาจจากในมือของนางหลิวและนางตวนมู่มาได้ วันนี้แม้จะมาคารวะเว่ยเซิ่งเซียนแล้ว ทว่าในใจก็ยังคงคำนึงถึงเรื่องงานในเรือนอยู่ ดังนั้นหลังจากทานอาหารเที่ยงและนั่งอยู่อีกสักพัก จึงบอกไปอย่างอ้อมค้อมว่าวานนี้เหล่าพี่สะใภ้เพิ่งจะมอบหมายงานให้ตนทำ …บุตรสาวของเว่ยเซิ่งเซียนก็ใกล้จะออกเรือนแล้ว นางจึงเข้าใจเรื่องราวซับซ้อนต่างๆ ในเรือนหลังเป็นอย่างดี จึงไม่ได้รั้งตัวเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ เพียงแต่สั่งให้คนแบ่งผลึกหอมมาครึ่งหนึ่ง แต่กลับใส่ในกล่องสองกล่อง นางยิ้มน้อยๆ พลางว่า ยามนี้เจ้าอาศัยอยู่กับพ่อแม่สามี คิดว่าเครื่องหอมนี้ก็คงไม่อาจนำไปใช้เพียงผู้เดียว ข้าแบ่งเอาไว้ให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าดูกล่องใหญ่นี้ดูงดงามกว่าสักหน่อย ทว่าเครื่องหอมที่อยู่ภายในกลับมีน้อย ส่วนกล่องเล็กๆ นี้ดูธรรมดาไม่มีสิ่งใด …ให้เจ้าเก็บเอาไว้”
พูดไปพลางกระพริบตาและหรี่ตาใส่หลานสาว
เว่ยฉางอิ๋งอดจะยิ้มออกมาน้อยๆ ไม่ได้ และรู้สึกว่าเวลานี้ท่านอาใหญ่จึงจะเหมือนกับคนที่เติบโตมากับแม่เฒ่าซ่ง และยิ่งรู้สึกสงสัยวาเหตุใดอาสะใภ้รองและอาหญิงรองจึงพากันบอกว่าอาหญิงใหญ่ถูกญาติข้างสามีบีบบังคับอย่างหนักหนาสาหัส?
นอกจากผลึกหอมแล้ว เว่ยเซิ่งเซียนยังนำของกำนัลสี่สีมอบแก่ฮูหยินซูตอบกลับไปด้วย …เมื่อเว่ยฉางอิ๋งนำของเหล่านี้กลับไปที่จวน ของกำนัลสี่สีนั้น ฮูหยินซูกลับมิได้สนใจอันใดนัก เพียงแต่เอ่ยอย่างเกรงใจสักสองสามคำแล้วให้คนรับเอาไว้เท่านั้น แต่เมื่อได้ยินเว่ยฉางอิ๋งแนะนำผลึกหอม นางก็กลับดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันใด ของพิเศษพิสดารดังนี้ บรรดาสตรีชั้นสูงที่เกิดมาพรั่งพร้อมไม่มีผู้ใดไม่สนใจ
นางพลันเรียกให้คนยกหีบน้ำแข็งเข้ามา แล้วหยิบผลึกก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งจากกล่องใหญ่ที่เว่ยเซิ่งเซียนมอบให้ฮูหยินซู แล้วกลับเห็นว่าเครื่องหอมชนิดนี้ยามอยู่ในกล่องกลับมิได้มีกลิ่นใดๆ ทว่าเมื่อวางลงในน้ำแข็ง ก็กลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยออกมา
รอสักพัก กลิ่นหอมอ่อนๆ ก็ค่อยๆ แรงขึ้น ทว่าก็ไม่ได้แรงจนถึงขั้นขัดเคืองจมูก หากแต่เป็นกลิ่นหอมเย็นๆ แสนอ่อนโยน และมิได้เย็นยะเยือก ค่อยๆ กระจายออกไปทั่วห้อง ไม่มีกลิ่นควันกลิ่นไหม้ใดๆ เหมือนตอนที่จุดธูปหอม ทั้งบางเบาทั้งสะอาดสดชื่น ฮูหยินซูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด เอ่ยชมว่า “เป็นผลึกหอมที่ดีจริงๆ!”
หลังจากได้ยินข่าว นางหลิวและนางตวนมู่ที่ก็มาดูด้วยกันว่าเป็นเช่นใดกันแน่ และไม่อาจหาข้อติของเครื่องหอมประหลาดนี้ได้ ฮูหยินซูเองก็เอ่ยชมไปแล้ว ต่อให้พวกนางไม่ยอมใจ ก็กลับไม่อาจเอ่ยชมตามไปสองสามคำ
เมื่อได้ยินว่าเป็นเครื่องหอมประหลาดที่พ่อค้าชาวเซียนหลัวนำมาขายที่เจ๋อโจวแล้วได้เว่ยเซิ่งเซียนเป็นคนซื้อเอาไว้ และเว่ยเซิ่งเซียนก็พบเพียงพ่อค้าผู้นี้คนเดียวที่ขายผลึกหอมนี้ ทุกคนก็ล้วนรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก นางหลิวทอดถอนใจว่า “พวกบ้านป่าเมืองเถื่อน นำของล้ำค่าเพียงนี้ไปขายที่เมืองเล็กๆ อย่างเจ๋อโจว แล้วจะทำให้ของเลื่องชื่อขึ้นมาได้อย่างไร? หากมิใช่ท่านอาเขยใหญ่ของน้องสะใภ้สามรับตำแหน่งอยู่ที่นั่น ก็เกรงว่าพ่อค้าชาวเซียนหลัวผู้นั้นขายไปอีกสองสามปีก็ยังขายไม่หมดเลย หากเขามาที่ในต้าเว่ยของเราซึ่งเป็นที่เจริญจริงๆ อย่าว่าแต่ทองพันชั่งเลย ทองหมื่นชั่งแล้วจะเป็นอย่างไร?”
แม้ยามนี้ต้าเว่ยมีแนวโน้มถดถอยลง ทว่าตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ทั้งหลายยังคงมีชีวิตสุขสบายมั่งคั่งจนคนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้ นับแต่ฮูหยินซูจนถึงเว่ยฉางอิ๋ง ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าทองพันชั่งซื้อเครื่องหอมหนึ่งกล่องนั้นไม่คุ้มค่า หากแต่พากันเสียดายเสียอีกที่ผลึกหอมมีจำนวนน้อยเกินไป ต่อให้มีทองคำก็ยังซื้อหามาไม่ได้
นางตวนมู่ กล่าวว่า “เซียนหลัวแคว้นเล็กๆ เพียงนั้น เกรงว่าเมื่อมาถึงเจ๋อโจวก็จะนึกว่าเจริญรุ่งเรืองหาใดเปรียบ และนึกเอาว่าต้าเว่ยก็ใหญ่โตเพียงเท่านั้น”
พี่สะใภ้ทั้งสองล้วนบอกวาดี เว่ยฉางอิ๋งย่อมต้องสัญญาจะว่าแบ่งส่วนของตนให้พวกนางสักหน่อย และแน่นอนว่าไม่อาจมากมายเท่ากับที่ให้ฮูหยินซู ครานี้นางหลิวและนางตวนมู่ล้วนไม่ปฏิเสธ ไม่เหมือนกับหนก่อนที่จะมอบนกแก้วให้
ด้วยเหตุที่รับของกำนัลของเว่ยฉางอิ๋งมาแล้ว นางหลิวและนางตวนมู่จึงไม่อาจพูดจากระแนะกระแหนใส่นางไปชั่วขณะ บวกกับกำลังอยู่ต่อหน้าฮูหยินซู จึงกลายมามีท่าทีปรองดองขึ้นมาอย่างมาก สะใภ้ทั้งสามหัวร่อต่อกระซิกพลางประจบฮูหยินซู จนถึงเวลาอาหารค่ำจึงได้แยกย้ายกันไป
คืนนี้ หลังจากเว่ยฉางอิ๋งและเสิ่นจั้งเฟิงพะเน้าพะนอกันแล้ว นางนอนหนุนแขนสามีแล้วเอ่ยถึงเรื่องที่เว่ยเซิ่งเซียนฝากฝังมาว่า “วันนี้ท่านแม่อนุญาตให้ข้าไปเยี่ยมท่านอาหญิงใหญ่ ได้พบกับลูกผู้น้องหญิงทั้งสอง ก่อนหน้านี้พวกนางล้วนติดตามท่านอาเขยใหญ่ของข้าไปรับตำแหน่งที่เจ๋อโจว จนวันนี้จึงเพิ่งได้พบกันเป็นคราแรก พวกนางล้วนเป็นคุณหนูผู้ดีที่งดงามเหนือคนทั่วไป ทั้งยังเรียบร้อยอ่อนน้อม ทว่าเพราะเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังไม่รู้จักผู้คนในตระกูลต่างๆ ท่านอาหญิงใหญ่จึงค่อนข้างเป็นกังวลถึงเรื่องใหญ่ในชีวิตของพวกนาง …ยามนี้ลูกผู้น้องหญิงทั้งสองก็ถึงวัยอันควรแล้ว”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าอยากให้ข้าช่วยเลือกหาคนในราชองครักษ์ทั้งสาม?”
“แน่นอนสิ” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางทุบเขาเบาๆ ไปหนหนึ่ง ถามเคืองๆ ไปว่า “มีคนที่เหมาะสมบ้างหรือไม่? คราก่อนมีคนมาเยี่ยมเจ้าตั้งมากมาย คงมิใช่ว่าทุกคนล้วนหมั้นหมายไปหมดแล้วกระมัง?”
เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวว่า “เจ้าให้ข้าคิดดูก่อน … ลูกผู้น้องหญิงของพวกเราเป็นคนเช่นใด?”
“ครานี้เพิ่งจะพบเป็นหนแรก ดูไปแล้วก็เป็นคนเรียบร้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมองออกว่าท่านอาหญิงใหญ่ของข้านอบรมพวกนางอย่างเข้มงวดนัก” เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดพลางว่า
“เจ้าว่าหลิวยิ้วเจ้าเป็นเช่นใด?” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ย
เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง กล่าวว่า “หลิวยิ้วเจ้า?”
“เขาเป็นหลานของเวยหย่วนโหว บิดามารดาล้วนเสียไปแล้ว ทั้งยังเป็นคนที่เวยหย่วนโหวสอนสั่งมาเองกับมือจนเติบใหญ่ และมองเขาเหมือนลูกแท้ๆ” เสิ่นจั้งเฟิงแนะนำ “เพราะบิดาของเขาเป็นลูกโทน เวยหย่วนโหวจึงรักและดูแลเขาเป็นอย่างมาก ด้วยเกรงว่าหากเขามีที่ใดขาดเหลือ แล้วตนจะสู้หน้าพี่น้องที่ล่วงลับไม่ได้ ดังนั้นบุตรชายของเวยหย่วนโหวล้วนอยู่ต้านพวกหรงที่ตงหู แต่กลับส่งเขามาที่เมืองหลวง ก็เพราะมีหลิวจี้เจ้าซึ่งเป็นลูกผู้พี่ของเขาเป็นตัวอย่าง กลัวว่าอาวุธในสนามรบไร้ดวงตาแล้วจะทำร้ายเขาเข้า จึงขืนให้เขาเข้ามาเป็นราชองครักษ์ชิน คอยถวายงานอยู่หน้าพระพักตร์ ทั้งมีอนาคตที่ยาวไกลและปลอดภัยกว่ามาก”
ด้วยสาเหตุจากเรื่องของเว่ยฉางเสียนและเรื่องที่ตนถูกตระกูลหลิวเล่นงาน …ที่อาจเป็นบ้านห้าในสายของหลิวซือฮวายเป็นคนลงมือ หรืออาจเป็นสายของหลิวซือจิ้งที่ลงมือ แต่สรุปแล้วก็ล้วนเป็นตระกูลหลิวทำทั้งสิ้น …บวกกับนับแต่ออกเรือนมา นางหลิวซึ่งเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ก็มิได้เป็นคนดีอันใด หากจะต้องมาเป็นดองกันอีกนางก็ไม่ใคร่ยินดีนัก
แต่อย่างไรเสียก็เป็นความคิดที่สามีเสนอมา ทั้งยังเป็นตนเองไปสอบถามกับสามีเอง นางนิ่งคิดสักพัก จึงเอ่ยอย่างเรื่องมากไปว่า “อาวุธที่หลิวยิ้วเจ้าใช้คือค้อนปาเป่าดอกเหมย คาดว่าเขามีเรี่ยวแรงไม่น้อย อีกทั้งท่าทีของเขาก็ยังสุขุมนัก ครั้งก่อนข้าเองก็ไม่ได้สังเกตเขามานัก… แต่ก็คิดว่าคนที่อ่อนนอกแข็งในโดยมากแล้วก็น่าจะเป็นคนอารมณ์รุนแรงกระมัง? ลูกผู้น้องของข้านั้นยังเล็กบอบบาง คิดว่าหากเป็นคนซื่อๆ สักหน่อยน่าจะน่าเชื่อถือขึ้นมาอีกสักนิด”
“นิสัยของหลิวยิ้วเจ้าถือว่าใช้ได้ ยังกลับอ่อนโยนว่าตวนมู่อู๋ยิวมากนัก” เสิ่นจั้งเฟิงอธิบาย “เขาก็เพียงเป็นคนไม่พูดมาก ทว่าก็ไม่ได้เงียบจนถึงขึ้นกู้เวยประเภทนั้น”
เมื่อเอ่ยถึงกู้เวย เว่ยฉางอิ๋งพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงกล่าวว่า “ครั้งพวกเราเพิ่งแต่งงานกัน แล้วเจ้ากลับบ้านไปกับข้า ระหว่างทางพบกับกู้จื่อหมิงและกู้เวย ตอนนั้นพวกเขาไปเยี่ยมจางผิงซวี… มิใช่เอ่ยถึงเรื่องการอภิเษกขององค์หญิงหลินชวนหรอกหรือ? เหตุใดยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดจนถึงตอนนี้?”
“เรื่องนี้ตกลงเอาไว้เกือบเรียบร้อยแล้วล่ะ” เสิ่นจั้งเฟิงแย้มยิ้ม กล่าวว่า “พระสวามีขององค์หญิงหลินชวน แปดหรือเก้าในสิบส่วนก็เป็นกู้เวยแล้ว”
“เป็นกู้เวยจริงๆ รึ?” เว่ยฉางอิ๋งประหลาดใจนัก
เสิ่นจั้งเฟิงพลิกตัวกลับมา ยื่นนิ้วออกไปลากบนสันจมูกนางเบาๆ ถามยิ้มๆ ว่า “เหตุใดไม่อาจเป็นกู้เวยเล่า?”
“คราก่อนในวันประสูติขององค์หญิง ข้าตามท่านแม่เข้าวังไปถวายพระพร เห็นว่าพระสนมเอกเชิญองค์หญิงให้เสด็จไปพักค้างที่ตำหนักหมิงกวงเป็นเวลาสั้นๆ องค์หญิงก็ตอบรับไปก่อน จึงหันไปทูลถามองค์ฮองเฮา” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างฉงนว่า “ข้าจึงคิดว่าองค์หญิงน่าจะทรงใกล้ชิดกับพระสนมเอกมากกว่า ยังหลงนึกว่าพระสวามีจะเป็นคุณชายตระกูลเติ้งเสียอีก!”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “เดิมทีนั้นทั้งพระสนมเอกและฮองเฮาแอบต่อสู้กันเรื่องตัวเลือกพระสวามีขององค์หญิงหลินชวนตลอดมา แต่ภายหลังคล้ายว่าทางเติ้งเสียงจือเป็นฝ่ายล่าถอยไปเอง ส่วนหลายชายคนอื่นๆ ของพระสนมเอกนั้น หากไม่แต่งงานไปแล้ว ไม่ก็อายุยังไม่ถึงวัย หรือไม่ก็ทั้งหน้าตาและความสามารถไม่ทันเทียมกับเติ้งเสียงจือ พระสนมเอกไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว จึงไม่มาวุ่นวายกับเรื่องนี้อีก”
“เหตุใดคุณชายเติ้งจึงถอนตัวเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะเติ้งจงฉีเคยช่วยนางเอวไว้ เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเติ้งจงฉีเสมอมา ยามเอ่ยถึงเขา แม้จะเอ่ยถึงลับหลังแต่ก็ยังตั้งใจเรียกขานเขาด้วยความนับถือว่า ‘คุณชาย’ เมื่อมาได้ฟังยามนี้จึงเอ่ยไปด้วยความไม่เข้าใจว่า “ข้าได้ยินมาว่าบิดามารดาของคุณชายเติ้งล้วนเสียไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเพราะความแค้นเคืองแต่หนหลังระหว่างผู้ใหญ่ ตระกูลเติ้งทั้งตระกูลจึงไม่ดีต่อคุณชายเติ้งพี่น้องเสียอย่างยิ่ง หากได้เป็นสวามีขององค์หญิงหลินชวนซึ่งเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของเขายิ่งขึ้น?”
เสิ่นจั้งเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า กล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่รู้สาเหตุ อย่างไรเสียทั้งกู้เวยและเติ้งเสียงจือล้วนเป็นสหายร่วมงานกัน อีกทั้งก่อนหน้านี้ ข้าก็ยังเป็นคนนำราชโองการไปสอบถามจางผิงซวีด้วย เกรงว่าหากไปถามก็จะทำให้พวกเขาเข้าใจผิดเอาได้”
แล้วคาดคะเนว่า “เติ้งเสียงจือรักใคร่น้องสาวร่วมท้องของเขาดังดวงใจ คงเป็นเพราะน้องสาวกระมัง? อย่างไรเสีย องค์หญิงหลินชวนก็มิได้เป็นคนเข้ากับคนง่ายนัก คงกังวลว่าเมื่ออภิเษกกับองค์หญิงแล้ว ก็จะทรงทะนงตนว่าเป็นกิ่งทองใบหยกและไปรังแกน้องสาวของเขา”
เว่ยฉางอิ๋งเคยได้ยินซ่งไจ้สุ่ยเล่าว่าเติ้งวานวานได้รับความรักและการเอาใจใส่ดูแลจากพี่ชายของนางมากเพียงใด ทั้งยังเคยได้ยินมาว่าเหล่ากิ่งทองใบหยกในรัชสมัยนี้ทะนงในฐานะสูงส่งของตนอีกทั้งใช้อำนาจบาตรใหญ่ต่อผู้คน และดูแคลนสวามีเช่นใด จึงคิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด “เวลานี้คุณชายเติ้งก็เข้าพิธีสวมหมวกแล้ว แต่ก็ยังคงไมได้แต่งงาน ทั้งยังปฏิเสธจะเป็นเขยหลวงเพราะคำนึงถึงน้องสาว ช่างเป็นพี่ชายแสนดีตัวอย่างจริงๆ …เอ๋ คุณชายเติ้งยังไม่มีภรรยา ด้วยกลัวว่าองค์หญิงจะไปรังแกน้องสาวของเขา แต่เจ้าว่าลูกผู้น้องหญิงคนโตของข้าเป็นเช่นใด? ลูกผู้น้องหญิงคนโตของข้านิสัยดีทีเดียวนะ จักต้องไม่ที่ใดที่เข้ากับเติ้งวานวานไม่ได้เป็นแน่”
เสิ่นจั้งเฟิงใคร่ครวญแล้วว่า “เสียงจือเป็นคนดียิ่งนัก เพียงแต่ยามนี้มีเพียงเราสองคน ข้าจักบอกความจริงกับเจ้าสักคำ ข้ากลับไม่สนับสนุนให้แต่งกับเขา”
เว่ยฉางอิ๋งพลันเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “เหตุใด?”
___________________________________