ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 109 ขนมกุหลาบกวนแป้ง
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 109 ขนมกุหลาบกวนแป้ง
ทั้งสองคนกำลังต่อล้อต่อเถียงกัน ดูไปแล้วกำลังจะทะเลาะกันขึ้นมาแล้ว เคราะห์ดีที่จูสือเข้ามารายงานว่า “จูเหล่ยผู้นั้นจัดกระดูกของท่านองครักษ์เจียงเข้าที่หมดแล้วเจ้าค่ะ ยามนี้อยากขอเชิญคุณหนูตวนมู่แปดไปดูให้อีกสักน้อยเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งถลึงตาใส่ตวนมู่ซินเหมี่ยวหนหนึ่ง …ตวนมู่ซินเหมี่ยวแค่นเสียงว่า “ท่านมาถลึงตาใส่ข้าทำสิ่งใด? ยามนี้องครักษ์ผู้นั้นก็มิใช่ไม่ได้เป็นสิ่งใดรึ?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งขบรมฝีปาก “หากท่านลุงเจียงดีขึ้น ข้าก็จะขอขมาเจ้า แต่…”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวได้ฟัง สีหน้าไม่พอใจก็พลันหายวับไป พริบตาเดียวก็ยิ้มหน้าบานเหมือนดอกไม้ เอ่ยอย่างอ่อนหวานว่า “ขอขมา ข้าจะกล้ารับไหวได้อย่างไร? หากนับเรื่องอายุ ข้ายังต้องเรียกท่านว่าพี่สาวเลย! ท่านช่วยข้าอีกสักน้อย ช่วยหาและรวบรวมเครื่องหยกเนื้อดีให้ข้าก็พอแล้ว!”
…เว่ยฉางอิ๋งกุมขมับ เนิ่นนานหลังจากนั้นจึงบอกว่า “หากสามารถรักษาท่านลุงเจียงได้ ข้าจะมอบให้เจ้าสองสามชิ้น!”
หยกชั้นดีต้องมอบให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอาไปทำลายทิ้ง เว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่ยอมใจอยู่แล้ว! มอบเครื่องหยกแล้วยังต้องเป็นตัวช่วยนางทดลองยา เว่ยฉางอิ๋งยิ่งไม่ยอมใจเข้าไปใหญ่!
แต่หากสามารถแลกให้เจียงเจิงหายดีได้ เว่ยฉางอิ๋งกลับรู้สึกว่าคุ้มค่า
อย่างไรเสีย สำหรับนางแล้วเครื่องหยกชั้นดีก็มิได้มีค่าอันใดนัก หากมิใช่ว่านางเพิ่งจะโกหกตวนมู่ซินเหมี่ยวไป เวลานี้ก็สามารถไปเปิดคลังหยิบออกมาให้หลายสิบชิ้นแล้ว
แม้จะเป็นเพียงคำสัญญาคำหนึ่ง ทว่าสองตาของตวนมู่ซินเหมี่ยวก็แวววาวขึ้นมาแล้ว นางเอาฝ่ามือประกบกำปั้น กล่าวว่า “พี่เว่ยโปรดวางใจได้! อาการบาดเจ็บขององครักษ์ที่ชื่อเจียงอันใดนั่น ยกให้ข้าจัดการ! หากข้ารักษาเขาไม่หาย… ก็ไปตีคนที่ทำร้ายเขาให้ตายแก้แค้นให้เขา! ไม่ว่าจะอย่างไร พี่เว่ยท่านก็อย่าได้ลืมเรื่องเครื่องหยกเสียเล่า!”
เพียงพริบตาเดียว แม้แต่แซ่ของเจียงเจิงนางก็จำขึ้นมาได้แล้ว แม้แต่งานแก้แค้นภายหลังนางก็ยังรับไปทำแล้ว…
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเรียบๆ ว่า “หากรักษาท่านลุงเจียงไม่หาย ข้าจะมีแก่ใจไปรวบรวมเครื่องหยกมาให้เจ้าได้ที่ใด?”
เพียงแต่พอตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยคำนี้ นางก็ยิ่งเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ แทบจะรอไปรักษาเขาไวๆ ไม่ได้ เวลานี้จึงทิ้งห่างเว่ยฉางอิ๋งไปไกลโข คาดว่าคงไม่ได้ยินประโยคนี้เลยด้วยซ้ำ
นางไล่ตามตวนมู่ซินเหมี่ยวไป จนตามไปถึงห้องทางด้านข้างภายหลัง เมื่อครู่นี้ยังมีคนแออัดยัดเยียดกันอยู่ แต่ยามนี้กลับเหลือเพียงไม่กี่คน เสิ่นจวี้อยู่ข้างหน้าบ่าวผู้หญิงที่ตัวโตแข็งแรงสองคนยืนประสานมือรออยู่ที่ระเบียงทางเดิน เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งก็รีบเข้าไปขวางไว้ “คุณหนูตวนมู่แปดเข้าไปข้างในห้องแล้วขอรับ บอกว่าจะฝังเข็มให้ท่านองครักษ์เจียง ไม่อาจถูกรบกวนขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งกวาดสายตาไปข้างนอกดูว่าเห็นเงาของจูเหล่ยหรือไม่ คิดว่าชาวบ้านผู้นี้กตัญญูกับเจียงเจิงนัก เวลานี้เจียงเจิงเป็นตายเท่ากัน ตามหลักแล้วเขาไม่ควรห่างกายเจียงเจิง จึงถามอย่างประหลาดใจว่า “จูเหล่ยผู้นั้นก็อยู่ข้างในรึ?”
เสิ่นจวี้บอกว่า “คุณหนูตวนมู่แปดบอกว่าต้องให้จูเหล่ยคอยช่วยขอรับ…
“…” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างหมดคำพูดว่า “ข้างในนั้นยังมีผู้ใดอีก?”
เสิ่นจวี้รีบตอบไปว่า “คุณหนูตวนมู่แปดบอกว่า คนนอกนั้นก็ไม่จำเป็นแล้วขอรับ แต่บ่าวคิดว่าอาการบาดเจ็บขององครักษ์เจียงสาหัสเพียงนั้น อย่างไรก็ควรจะให้บ่าวผู้หญิงสักสองคนเข้าไปช่วยสักหน่อยเป็นดี หากคุณหนูตวนมู่แปดอยากจะเรียกใช้คนขึ้นมา แล้วอยู่ข้างในจะเรียกหาไม่ได้ขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งลอบปาดเหงื่อ ดีที่เสิ่นจวี้ไหวพริบดี รู้ว่าควรต้องส่งคนสองคนเข้าไปเป็นพยาน หาไม่แล้วหากเรื่องที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวเข้าไปอยู่ร่วมห้องกับหนึ่งอาจารย์หนึ่งศิษย์ที่เป็นชายแพร่ออกไป ตระกูลเสิ่นก็ไม่รู้ว่าจะบอกกับตระกูลตวนมู่เช่นใด!
นางสูดหายใจลึก สั่งความไปว่า “คุณหนูตวนมู่แปดน้ำใจงามเร่งร้อนเข้าไปรักษา แต่องครักษ์เจียงกลับเป็นชาย เรื่องในวันนี้…”
เสิ่นจวี้กล่าวอย่างเข้าใจดีว่า “ฮูหยินน้อยโปรดวางใจขอรับ บ่าวกำชับทุกคนไว้เรียบร้อยแล้วว่าอย่าได้ไปพูดมาก” คงเพราะเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งยังคงมีท่าทีไม่ใคร่วางใจ เขาจึงกดเสียงต่ำ กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องนี้ขอรับ คุณหนูตวนมู่แปดฝีมือแพทย์ล้ำเลิศทั้งมีเมตตา ผู้ใดกล้าเสียมารยาทกับคุณหนูตวนมู่แปด ไม่ต้องรอให้ฮูหยินน้อยสั่ง พวกเราก็จะไม่ปล่อยมันผู้นั้นไปแน่ขอรับ!”
เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว”
คำของเสิ่นจวี้เตือนสติเว่ยฉางอิ๋งว่า …แม้แต่คนระดับตระกูลสูงศักดิ์ยังไม่คิดผลีผลามไปล่วงเกินจี้ชวี่ปิ้งศิษย์อาจารย์ ประสาอะไรกับพวกบ่าวเช่นเสิ่นจวี้? ลำพังแค่ฐานะของตวนมู่ซินเหมี่ยวก็เพียงพอจะทำให้พวกเขาต้องรอรับผลที่จะตามมาแล้ว อีกประการหนึ่งหากตวนมู่ซินเหมี่ยวสามารถช่วยชีวิตเจียงเจิงไว้ได้ครานี้ ไม่แน่ว่าวันหน้าก็อาจจะช่วยพวกเขาด้วย
พวกบ่าวไพร่ไม่รู้ว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวใจดำใช้เจียงเจิงเป็นเครื่องทดลองยา เห็นแต่เพียงว่านางเอา “ยาลูกกลอนรักษาชีวิต” ที่จี้ชวี่ปิ้งทำเองกับมือออกมาช่วยองครักษ์ผู้หนึ่งที่มิใช่ญาติทั้งไม่ได้รู้จักกันมาก่อน เกรงว่าจะเห็นตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นหมอที่เป็นเลิศทั้งด้านวิชาแพทย์และคุณธรรม ชุบชีวิตคนได้ เป็นหนึ่งในใต้หล้า เปี่ยมไปด้วยปณิธานที่จะรักษาผู้คนประเภทนั้นเสียด้วยซ้ำ …คุณหนูผู้หนึ่งที่มีชาติกำเนิดสูงส่งแต่กลับยอมมารักษาชาวบ้านธรรมดาๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีฝีมือแพทย์ชั้นยอด อีกทั้งเบื้องหลังนางยังมีอาจารย์ซึ่งเป็นแพทย์เลื่องชื่ออันดับหนึ่งในเขตทะเล หากไปครหานินทาจนทำให้นางเสียชื่อเสียงทั้งที่ไม่ได้มีความแค้นใหญ่หลวงอันใด ก็เรียกได้ว่ามีแต่เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง แล้วจะทำเช่นนั้นไปไย?
เมื่อคิดถึงประเด็นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงโล่งอกและวางใจลงได้เสียที
เจียงเจิงได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงดังว่า ผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงเพิ่งจะออกมา พอนางออกมาก็ทำเอาเว่ยฉางอิ๋งตกอกตกใจยกใหญ่ …เห็นแต่เพียงว่าคุณหนูผู้นี้ยามเข้าไปยังดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่าดี เมื่อออกมาตัวทั้งตัวกลับเหมือนว่าเพิ่งขึ้นมาจากน้ำเช่นนั้น ทั้งปลายผมและชายแขนเสื้อล้วนมีน้ำหยดลงมา ทั้งสีหน้าก็ซีดเผือดอิดโรยยิ่งนัก เห็นชัดว่าการฝั่งเข็มครานี้ไม่ใช่ง่ายๆ เลย
เพียงแต่ดวงตาทั้งคู่ของตวนมู่ซินเหมี่ยวยังคงสดใสมีพลัง พอพ้นประตูออกมาก็มองไปที่เว่ยฉางอิ๋ง …เว่ยฉางอิ๋งตระหนักได้เอง พลางกล่าวว่า “วันพรุ่งข้าจะไปรวบรวมเอาเครื่องหยกชั้นดีไปส่งที่บ้านเจ้า!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวทำให้คนรู้สึกเกินคาดได้ทุกครั้งไป หนนี้ก็ไม่ยกเว้น นางพูดอย่างฮึกเหิมว่า “เครื่องหยก? เรื่องนั้นยังไม่รีบ เมื่อครู่นี้ขณะที่ข้ากำลังฝังเข็มให้องครักษ์แซ่เจียงผู้นั้น พลันพบว่ายาที่ให้นั่น…”
“น้องตวนมู่ เห็นเจ้ามีเหงื่อท่วมตัวเช่นนี้ คิดว่าคงเหน็ดเหนื่อยนัก พวกเราไปที่ศาลา นั่งลงค่อยๆ พูดจากันเถิด” เว่ยฉางอิ๋งกลัวว่านางจะพูดออกมาทำนองว่า “ยาที่ทดลองกับองครักษ์แซ่เจียงของเจ้าผู้นี้ได้ผลเป็นเช่นนั่นเช่นนี้” …แม้นางจะไม่ได้กลัววาเจียงเจิงหรือจูเหล่ยจะมาแก้แค้น แต่เรื่องเช่นนี้อย่างไรก็อย่าได้แพร่ออกไปเลยจะดีกว่า จึงรีบขัดคำตวนมู่ซินเหมี่ยวในทันใด รีบเข้าไปคล้องแขนนางแล้วลากไปที่ศาลา
“ก็ดี เข้ากำลังหิวพอดีเชียว” ตวนมู่ซินเหมี่ยวคิดสักพัก กล่าวว่า “มิใช่ว่าวันนี้พี่ร่วมตระกูลของข้าผู้นั้นทำขนมกุหลาบกวนแป้งหรอกหรือ? ส่งมาแล้วหรือยัง?”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มน้อยๆ คิดในใจว่าเมื่อครู่นี้เจ้าเพิ่งจะพูดใส่นางตวนมู่จนไม่มีทางจะลง ครานี้กลับเป็นทองไม่รู้ร้อนคิดถึงขนมกุหลาบกวนแป้งของชาวบ้านขึ้นมา ต่อให้เจ้าเป็นหมอจึงไม่กลัวว่าผู้อื่นจะวางยา แต่เจ้าไม่กลัวว่านางตวนมู่จะถ่มเสมหะลงไปหรืออย่างไร?
นางยิ้มออกมาดังนี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวมองเห็นก็เข้าใจผิดเสียแล้ว นึกว่าเพราะนางตวนมู่ถูกตนเองจัดการจนไม่มีทางลง จึงไม่ส่งขนมกุหลาบกวนแป้งที่ตกลงกันไว้ดิบดีมาเสียแล้ว จึงเอ่ยด้วยโทสะว่า “ไร้เหตุผลสิ้นดี! เป็นนางเองที่สัญญาว่าจะเอาขนมกุหลาบกวนแป้งให้ข้า ไยยามนี้ก็ไม่อยากให้ข้าแล้ว? ข้าจะไปทวงถามเอากับนาง!”
“เจ้าช้าก่อน!” เว่ยฉางอิ๋งรั้งตัวนางไว้อย่างหมดคำพูด รีบเอ่ยไปว่า “เวลานี้พวกเราเอาแต่วุ่นวายอยู่ข้างหน้า บางทีพี่สะใภ้รองอาจนำมาส่งที่เรือนหลังแล้วก็เป็นได้?”
เจ้านี่ก็ไม่กลัวเสียหน้าบ้างเลย เพื่อขนมกุหลาบกวนแป้งจานเดียวก็จะวิ่งไปทะเลาะกับพี่สาวร่วมตระกูลเชียวรึ แต่เจ้ามาจากเรือนข้า แล้วภายหลังผู้ใดเล่าจะไม่นึกว่าเป็นข้ายุยงเจ้า! แล้วข้าจะถูกให้ร้ายหรือไม่เล่า!
เพื่อชื่อเสียงอันดีงามของตน เว่ยฉางอิ๋งดึงนางไว้แน่นๆ แทบจะลากนางมาตลอดทางเพื่อให้กลับมาที่เรือนหลังดังเดิม… ดีที่พอมาถึงเรือนหลัง สาวใช้ตัวน้อยจูหลานก็วิ่งมารายงานว่า “เมื่อครู่นี้ฮูหยินน้อยรองให้คนนำขนมกุหลาบกวนแป้งและน้ำกุหลาบมาให้คุณหนูตวนมู่แปดเจ้าค่ะ ท่านอาว่านเป็นคนรับเอาไว้ ยามนี้ขนมกุหลาบกวนแป้งกำลังนำไปอุ่นอยู่ในห้องครัวเล็กของเรา ส่วนน้ำกุหลาบก็แขวนแช่เย็นอยู่ในบ่อน้ำเจ้าค่ะ จะให้นำมายามนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ?”
“รีบไปเอามา!” ไม่รอให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวพยักหน้า เว่ยฉางอิ๋งก็รีบสั่งไป แอบยินดีในใจว่าอย่างไรเสียพี่สะใภ้รองของตนผู้นี้ก็ไม่กล้าล่วงเกินตวนมู่ซินเหมี่ยว แม้จะถูกตวนมู่ซินเหมี่ยวล่วงเกินเอา แต่ก็ยังคงเป็นฝ่ายมาทำดีกับนางต่อไป หาไม่แล้วก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะปลอบให้คุณหนูผู้นี้สงบลงได้เช่นใด
ในระหว่างที่รอคนไปยกขนมกุหลาบกวนแป้งและน้ำกุหลาบมา เว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองถูกตวนมู่ซินเหมี่ยวทำให้ตื่นตกใจ จนถึงยามนี้ก็ยังไม่ได้ถามถึงอาการของเจียงเจิงเลย หากเป็นหมอท่านอื่น หลังจากออกมาแล้วยังจะมีแก่ใจไปทะเลาะกับพี่สาวร่วมตระกูลเพื่อจะเอาขนมกุหลาบกวนแป้งได้ เช่นนั้นแล้วผลการรักษาก็จะต้องราบรื่นอย่างยิ่ง และคนเจ็บก็จะต้องปลอดภัยแล้วเป็นแน่
แต่ผู้ใดใช้ให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นศิษย์ของจี้ชวี่ปิ้ง สองศิษย์อาจารย์มีวิชาแพทย์ที่หมอโดยมากหวังจะเป็นได้ แต่มนุษยธรรมแม้สักน้อยก็ยังไม่มี กลับเป็นคนใจดำอำมหิตเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา เว่ยฉางอิ๋งเชื่อหมดหัวใจว่าต่อให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวรักษาจนเจียงเจิงตายอยู่ในนั้น ก็ไม่แน่ว่าพอออกมาแล้วก็ยังร้องรำทำเพลงได้อย่างเบิกบานใจ…
ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามไปอย่างระมัดระวังว่า “ท่านลุงเจียง…ยามนี้เป็นเช่นใดแล้ว?”
“คนผู้นั้นไม่เป็นไรแล้ว” เมื่อตวนมู่ซินเหมี่ยวถูกนางเตือนสติ จึงมีท่าทีตื่นเต้นยินดีขึ้นมา เข้าไปคว้าแขนเว่ยฉางอิ๋ง ยักคิ้วหลิ่วตา ทำมือทำไม้เหมือนกับเด็กเล็กๆ มองไม่เห็นความสงบเสงี่ยมของคุณหนูมีตระกูลในวัยเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย แล้วพูดโดยไม่หยุดหายใจหายคอว่า “พี่เว่ย! ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนที่ข้ากำลังฝั่งเข็มให้องครักษ์แซ่เจียงผู้นี้ของท่านข้าค้นพบสิ่งใด? ยาที่ท่านอาจารย์ปรุงมาก่อนหน้านี้ ที่แท้แล้วใช้… ข้าหลงนึกว่าตัวยาในนั้นน่าจะเป็น…แต่ปรากฏว่าครานี้…พบว่า…ความจริงแล้ว…ข้าจึงเปลี่ยนวิธี…จากนั้น…ก็ปรับเปลี่ยน…เปลี่ยนตัวยาสองสามตัว… ภายหลัง… ตัวยาที่รักษาชีวิตได้จริงๆ …ท่านอาจารย์….วิธีฝังเข็ม… ชีพจร …เลือดลม…หยินหยาง….”
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะเกิดในตระกูลที่มีชื่อด้านบุ๋นที่สุดในเขตทะเล แต่เพราะเอาแต่สนใจร่ำเรียนวรยุทธ จึงเรียนรู้ทางบุ๋นมาไม่มาก ยิ่งไม่ต้องบอกว่าจะเหมือนกับเว่ยฉางเฟิงน้องชายของนางที่แม้แต่ตำราแพทย์ก็ยังพอจะเข้าใจเลย ตวนมู่ซินเหมี่ยวร่ำเรียนวิชาแพทย์มาจากแพทย์เลื่องชื่อในเขตทะเล มีฝีมือแพทย์ล้ำลึก เรื่องหลักการแพทย์ที่นางว่ามา เกรงว่าต่อให้เป็นหมอระดับแพทย์หลวงมาอยู่ที่นี่ก็ยังเพียงแค่พอถูไถเข้าใจได้บ้าง แล้วประสาอะไรกับเว่ยฉางอิ๋งที่ไม่ได้มีพื้นฐานใดๆ เรื่องการแพทย์เลย? แรกๆ นั้นนางก็ยังพอจะทั้งเดาทั้งฟังรวบๆ จนเข้าใจได้สักน้อย แต่พอพูดไปสามคำห้าคำ ตวนมู่ซินเหมี่ยวพรรณนาออกมาเป็นชุดๆ ไม่หยุดไม่หย่อน เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกเพียงว่าในสมองหมุนคว้างไปหมด …นางล้วนรู้จักทุกคำ แต่เหตุใดเมื่อนำมาเรียงต่อกันแล้วกลับฟังไม่ได้ความเล่า?
ดังนั้นเมื่อรอจนตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดน้ำไหลไฟดับออกมาจนจบ สองตาของเว่ยฉางอิ๋งก็พลันล่องลอย ฝืนยิ้มพลางว่า “คุณหนูแปดเป็นผู้ปราดเปรื่องในทุกด้านจริงๆ เก่งกาจนัก เก่งกาจจริงๆ!” นางรู้สึกว่าเหมือนตนเองฟังคัมภีร์สวรรค์อยู่เช่นนั้น
ตวนมู่ซินเหมี่ยวได้ฟังก็ยินดีปรีดาขึ้นมา สองตาส่องประกายแวววาวพลางเข้าไปกุมมือนาง กล่าวว่า “โธ่เอ๊ย พี่เว่ยก็เข้าใจเรื่องเหล่านี้ด้วยนี่? คิดไปแล้วข้านี่โง่เป็นที่สุด ท่านอาจารย์พูดไปสองรอบข้าก็ยังไม่เข้าใจแต่กลับไม่กล้าถามท่าน รู้แต่แรกข้าก็จะมาถามพี่เว่ยแล้ว ที่ว่า… ใน ‘ภาคหลิงซู” บอกว่า… ‘ภาคซู่เวิ่น’ เป็นดังนี้… ‘คัมภีร์หวงตี้เน่ยจิง[1]’ … ‘คัมภีร์จินกุ้ยเย้าเลวี่ย[2]’ …ข้านี่ช่างโง่เหลือเกิน! เหตุใดจึงไม่เคยคิดถึงมาก่อนนะ? พี่เว่ยเป็นบุตรสาวตระกูลแห่งเฟิ่งโจว ผู้ที่เข้าใจตำราเลื่องชื่อเหล่านี้ได้แจ่มแจ้งกว่าพี่เว่ยคงไม่มีอีกแล้ว รีบบอกกับข้าสักหน่อยว่าที่ข้าคิดครานี้ถูกต้องแล้วใช่หรือไม่?”
น่าสงสารตัวข้า ที่แม้แต่สิ่งที่เจ้าว่านั้นคือสิ่งใดข้าก็ล้วนฟังไม่เข้าใจ รู้สึกแต่ว่ามันช่างสูงส่งล้ำลึกเกินหยั่งและสุดยอดเหลือเกินเท่านั้น! เจ้าจะให้ข้าบอกกับเจ้า หากไม่ใช่เพราะห่วงหน้าตา ข้าก็ยังอยากจะถามเจ้าเลยว่าเจ้าพูดสิ่งใดกันแน่… ต่อให้ตายเว่ยฉางอิ๋งก็จะไม่ยอมรับว่าบุตรสาวบ้านใหญ่ตระกูลเว่ยเช่นตน แม้แต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดสิ่งใดอยู่ก็ยังฟังไม่รู้ความเลย นางฝืนยิ้มทำท่าขึงขัง กล่าวว่า “เรื่องที่เจ้าพูดมานี้ ข้าจะไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ จะพูดแต่เรื่องจริงจังเรื่องหนึ่งว่า ดูจากเหงื่อที่ท่วมตัวเจ้าอยู่ในยามนี้ สีหน้าก็ไม่น่าดู คิดว่าการรักษาเมื่อครู่นี้เจ้าจะต้องเสียกำลังไปมายิ่ง ในเมื่ออยากจะทานขนมกุหลาบกวนแป้งและน้ำกุหลาบ อย่างไรก็รีบทานเสีย พอมีกำลังวังชากลับมาแล้วค่อยพูดเถิด เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
“แต่…” เห็นชัดวาตวนมู่ซินเหมี่ยวยังพูดไม่จบ และยังอยากจะพูดบางสิ่งอีก แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับหันหน้าไปขึ้นเสียงอย่างขุ่นเคืองว่า “เหตุใดยังไม่นำขนมกุหลาบกวนแป้งกับน้ำกุหลาบมาอีก? ระวังน้องตวนมู่หิวมากแล้วจะจัดการพวกเจ้าเอา!”
จริงๆ เชียว! ไม่เห็นหรือว่าเวลานี้นายหญิงเช่นข้าแทบจะไม่มีหนทางลงแล้ว? พวกเจ้ายังไม่รีบเอาน้ำเอาของว่างมาอีก จะได้กลบเกลื่อนให้เรื่องนี้ผ่านไปเสีย!
พอร้องไปดังนี้ ก็เห็นว่าจูหลานที่อยู่ข้างนอกกำลังยกถาดไม้อูมู่เข้ามา พึมพำเสียเบาว่า “เมื่อครู่นี้ข้าน้อยก็เตรียมเสร็จแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่อยู่ข้างนอกได้ยินสิ่งที่คุณหนูตวนมู่แปดพูด …ได้ฟังแล้วก็ตกตะลึงไปเจ้าค่ะ จึงได้…”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวสะดุ้ง แล้วมองเว่ยฉางอิ๋งด้วยสายตายกย่องเทิดทูล “ได้ยินมาตลอดว่าตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวเลื่องชื่อด้านบุ๋น เดิมทีคิดว่าตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วของเราก็เป็นคนในตระกูลบุ๋นเช่นกัน ชำนาญด้านบุ๋นยิ่งนัก ไม่คิดว่าตระกูลเว่ยจะสูงส่งล้ำลึกเพียงนี้ แม้แต่สาวใช้ตัวน้อยคนหนึ่งก็ยังสามารถฟังหลักการแพทย์ที่ข้าพูดเข้าใจด้วย?”
เว่ยฉางอิ๋งเองก็มองจูหลานอย่างประหลาดใจหนหนึ่ง เห็นนางเอาแต่ก้มหน้ามองไม่เห็นสีหน้า เกิดสงสัยอยู่ในใจจึงพูดกลบเกลื่อนไปว่า “คิดว่าน้องตวนมู่คงเข้าใจผิดแล้ว เด็กเล็กๆ เช่นนางจะไปเข้าใจสิ่งใดได้? เกรงว่าเพราะได้ยินพวกเรากำลังสนทนากันอยู่จึงไม่กล้าเข้ามา จึงกลับรบกวนเวลาทานของว่างของน้องเสียแล้ว”
ด้วยกลัวว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวจะดึงจูหลานมาอภิปรายเรื่องหลักการแพทย์ ไม่ว่าจูหลานจะฟังเข้าใจหรือไม่ ดีชั่วคนเป็นนายเช่นเว่ยฉางอิ๋งก็ต้องคอยอยู่ฟังอยู่คุยด้วยอย่างหนีไม่พ้นอยู่แล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วรับเอาจานในมือของจูหลานมา ยกไปว่างตรงหน้าตวนมู่ซินเหมี่ยว แล้วเอ่ยอย่างขึงขังว่า “น้องตวนมู่ วันนี้ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ ต้องโทษข้าที่ใจร้อนนัก ก่อนหน้านี้เข้าใจผิดน้องหนแล้วหนเล่า เคราะห์ดีที่น้องใจกว้างไม่ได้ถือสาข้า ยามนี้ขอใช้น้ำกุหลาบแทนสุราคราวะเจ้าจอกหนึ่ง เป็นการขอขมาที่ข้าผิดต่อเจ้าเถิด!”
“พี่เว่ยพูดสิ่งใดกัน?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวมีความระแวดระวังตัวเป็นพิเศษ เมื่อรับน้ำกุหลาบมาในมือ ก็กลับไม่ดื่ม แต่พูดให้ชัดเจนเสียก่อนว่า “ข้าหาได้ต้องการให้พี่ขอขมาไม่ ส่วนเรื่องเครื่องหยกนั้น?”
“พี่จำได้! ไม่มีวันลืมแน่นอน!” เว่ยฉางอิ๋งอดจะชี้นิ้วขึ้นฟ้าสาบานเป็นการรับประกันไม่ได้… ปรากฏว่าไม่ว่าจะทำมือทำไม้แบบใดๆ นางก็ทำออกมาแล้ว ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวคอยตามตื๊อจะเอาเครื่องหยกจากตน ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกไม่พอใจ เมื่อเทียบกับการที่ตนถูกตวนมู่ซินเหมี่ยวลากมานั่งอภิปรายเรื่องหลักการแพทย์ในเวลานี้ เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าอย่างไรตนเองก็ควรจะมอบหยกให้นางไปแต่โดยดีเสียดีกว่า อย่างไรก็ดีกว่าทำให้ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวต้องเสียหน้ายับเยินต่อหน้าบุตรสาวบ้านใหญ่ของตระกูลตวนมู่…
_______________________________
[1] คัมภีร์หวงตี้เน่ยจิง เป็นตำราแพทย์โบราณที่เอ่ยถึงศาตสตร์การแพทย์แบบกว้างๆ ทั้งร่างกายมนุษย์ ความสัมพันธ์กับธรรมชาติ หลักการวินิจฉัยโรค แบ่งเป็นสองภาคคือ ซู่เวิ่น (คำถามทั่วไป) และ จิงหลิง (แกนมหัศจรรย์) เป็นตำราพื้นฐานการแพทย์จีนที่ยังคงใช้อ้าอิงมาจนถึงปัจจุบัน
[2] คัมภีร์จินกุ้ยเย้าเลวี่ย (เค้าโครงตู้ทอง) เป็นตำราแพทย์ที่เอ่ยถึงการรักษาโรคทั่วไป เหมือนตำราอายุรศาสตร์ในปัจจุบัน