ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 116 ปลอบโยนฮูหยินซู
ตอนที่ 116 ปลอบโยนฮูหยินซู
Xiaobei
…นางหวงขยับเข้ามาพูดข้างหูว่า “ฮูหยินน้อยสี่แสดงออกมาชัดแจ้งว่านางไร้เหตุผลและจะตามรังควานไม่เลิกรา ประเด็นนี้ฮูหยินย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่ติดอยู่ที่ ฮูหยินน้อยสี่เป็นหลานสะใภ้มิใช่ลูกสะใภ้ ฮูหยินเกรงว่าหากขวางหนูก็จะถูกของแตก จึงได้โกรธเพียงนี้ วันนี้ฮูหยินน้อยใหญ่ ฮูหยินน้อยรอง ยังมีแม่นมเถาล้วนมาปลอบฮูหยินอยู่เป็นนานแล้ว แต่จนยามนี้ฮูหยินก็ยังเสียใจอยู่ ฮูหยินน้อยจึงไม่ได้ต้องคาดหวังว่าตนเองจะสามารถปลอบฮูหยินได้เลยเจ้าค่ะ อย่างไรก็พูดไปตามมารยาทสองสามประโยคแล้วก็ไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยคิดว่าเวลานี้ฮูหยินเองก็คงไม่มีแก่จะพูดสิ่งใดกับฮูหยินน้อยมากมายหรอกเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่านางหวงพูดมีเหตุผลยิ่ง ในเมื่อพี่สะใภ้ที่เก่งกาจทั้งสองก็ยังไม่อาจปลอบแม่สามีให้สงบลงได้ รวมทั้งคนสนิทของแม่สามีเช่นแม่นมเถาก็ยังทำไม่สำเร็จ สะใภ้เช่นตนเองที่เพิ่งแต่งเข้ามาก่อนเผยเหม่ยเหนียงสองเดือนก็ไม่ต้องไปคาดหวังว่าจะทำได้เลย
ไม่แน่ว่าสภาพจิตใจของแม่สามีเวลานี้อาจกำลังย่ำแย่อย่างหนัก จนอาจไม่มีแก่ใจจะมาพบปะตนเสียด้วยซ้ำ?
เพียงแต่ว่ากันว่ามาเร็วไม่สู้มาได้จังหวะ แม้แต่นางหวงก็ยังคิดไม่ถึงว่า แม่นมเถากำลังปลอบฮูหยินซูอยู่ข้างใน กำลังพูดถึงเรื่องที่ทำให้เศร้าใจ เมื่อได้ยินว่าเว่ยฉางอิ๋งที่อยู่ข้างนอกขอเข้ามาพบ จึงเรียกให้นางเข้าไป ฮูหยินซูสะอื้นไห้บอกให้นางไม่ต้องคารวะ มือกุมผ้าเช็ดหน้าทาบอยู่ตรงหน้าเอ่ยถามว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งจะบอกแก่เจ้า ครั้งฮุยเอ๋อร์แต่งนางเผยเข้าบ้านมาเจ้าก็คงเห็นแล้วเป็นข้าพาเจ้าและพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าดูแลจัดการวุ่นวายไปหมดด้วยตนเอง แต่ครั้งเจ้าแต่งเข้าบ้าน ข้ากลับให้พี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าเป็นคนทำ ส่วนตนเองก็แอบขี้เกียจ เขาอยากถามเจ้าว่าเจ้าเคยคิดถือโทษข้าหรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้งตกใจ รีบตอบไปว่า “สะใภ้ไม่เคยทราบเรื่องนี้เลยเจ้าค่ะ แต่สะใภ้ก็มิได้รู้สึกว่าตนเองแต่งเข้ามาแล้วมีเรื่องใดน่าน้อยเนื้อต่ำใจเจ้าค่ะ …พิธีต่างๆ ครานั้นก็ยิ่งใหญ่เพียงพอแล้ว สะใภ้กลับรู้สึกว่าตนเองยังดีไม่พอ ยังไม่คู่ควรพอเสียด้วยซ้ำเจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นนับแต่แต่งเข้ามา สะใภ้ก็ยังไม่อาจช่วยแบ่งเบาภาระของท่านแม่ กลับมักทำให้ท่านแม่ต้องเป็นกังวล จึงรู้สึกผิดยิ่งนัก แล้วจักกล้า…จักกล้ากล่าวโทษทั้งแม่ได้อย่างไรเจ้าคะ?”
“เจ้าก็ได้ยินแล้ว” ฮูหยินซูเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา หันหน้ามาพูดกับแม่นมเถาที่เวลานี้ก็กำลังมีน้ำตาเช่นกันว่า “เฟิงเอ๋อร์เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้าแท้ๆ แต่ยามเขาแต่งฉางอิ๋งเข้าบ้าน ข้าก็มอบหมายงานส่วนใหญ่ให้อี๋เอ๋อร์ทำ แต่ยามฮุยเอ๋อร์แต่งงาน ตั้งแต่ต้นจนจบข้าก็ไม่เคยให้ปล่อยผ่านไปเฉยๆ! ยามนี้ทั้งเฟิงเอ๋อร์และฉางอิ๋งที่ถูกข้าละเลยกลับไม่เคยกล่าวโทษข้าสักคำ กลับเป็นฮุยเอ๋อร์เสียอีกที่ไปเชื่อคำนางเผย แล้วพากันมาถามเอาผิดว่าข้าทำไม่ดีต่อนางเผย! สิบกว่าปีมานี้เข้าบ่มเพาะเลี้ยงดูบุตรธิดาของน้องรองประหนึ่งลูกแท้ๆ พอย้อนกลับมา กลับได้รับผลเช่นนี้รึ?”
พอสิ้นคำ ฮูหยินซูก็น้ำตาหลั่งดังสายฝน
เว่ยฉางอิ๋งรีบเข้าไปประคอง ช่วยกันเอาผ้าเช็ดหน้าซับหน้าให้แม่สามี ตนเองก็พลอยพูดเสียงสะอื้นปลอบไปว่า “ท่านแม่โปรดอย่าเสียใจอีกเลยเจ้าค่ะ น้องสะใภ้สี่อาจเพียงแค่เลอะเลือนไปชั่วครู่ชั่วยาม เมื่อกลับไปแล้วก็จะต้องคิดได้เป็นแน่ ว่ากันตามตรงแล้ววันนี้ล้วนเป็นน้องสะใภ้สี่เบาปัญญา คงเพราะน้อยเนื้อต่ำใจว่าตนมีชาติกำเนิดต่ำต้อย ยามมาอยู่ต่อหน้าจึงตื่นเต้นเกินไปและคิดไปนอกลู่นอกทางเช่นนั้น! น้องสะใภ้สี่ยังเด็กไม่รู้ความ ท่านแม่อย่าไปถือสานางเลยเจ้าค่ะ! รอจนนางเข้าใจแล้ว เกรงว่าคงไม่มีหน้ามาโขกหัวขอขมาท่านแม่เสียด้วยซ้ำ!”
ฮูหยินซูจับมือสะใภ้สาม เอ่ยพลางร่ำไห้ว่า “ยามนี้ข้าจะกล้าให้นางมาหาได้ที่ใดอีก? ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องโขกหัวเลย เชิญนางมาดีๆ ให้มาช่วยทัดทานจั้งจูด้วยกันสักคำ นางกลับไปลากฮุยเอ๋อร์มาหาว่าข้าทำไม่ดีต่อนาง! หากไปเรียกนางมาอีกก็มิใช่จะบอกว่าข้าจะฆ่านางหรอกรึ? เกรงว่าชาตินี้จะให้นางยอมโขกหัวให้ข้า ก็คงต้องเป็นที่ข้าเข้าไปนอนในโลงแล้วเท่านั้น!”
แม่นมเถารีบเช็ดหน้าตนอย่างลวกๆ พูดพลางสะอื้นไห้ว่า “ฮูหยินที่แสนดีของบ่าว โปรดอย่าพูดไปด้วยอารมณ์เช่นนี้เลย เพื่อเด็กคนหนึ่งไม่คุ้มเลยเจ้าค่ะ!”
“ไยท่านแม่กล่าวคำเช่นนี้?” เว่ยฉางอิ๋งเองก็เอ่ยคำอย่างร้อนรน “ท่านแม่ยังอยู่แข็งแรงดี วันเวลายังอีกนานนักเจ้าค่ะ! เหตุใดจึงเอ่ยเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาเล่า!” แล้วว่า “ยามนี้ท่านแม่เสียใจนักแล้ว! ท่านแม่โปรดฟังสะใภ้สักคำ ท่านแม่เห็นน้องชายสี่เป็นดังลูกในไส้เสมอมา ครานี้เมื่อน้องชายสี่แต่งงาน ท่านก็ไปช่วยจัดการงานให้แต่ต้นจนจบ ไม่มีเรื่องใดที่ไม่ได้ไถ่ถามด้วยตนเอง ไม่มีที่ใดที่ปล่อยปละละเลย! ต่อให้ท่านอาสะใภ้รองมาจัดการเรื่องนี้เองก็ยังไม่อาจเรียบร้อยรอบคอบเท่าท่านแม่เลย! ท่านแม่รักใคร่น้องชายสี่และน้องสะใภ้สี่เพียงนี้ ทุกคนในบ้านเรา ทั้งคนภายนอก ผู้ใดจะไม่มองเห็นอยู่ในสายตาเล่า? น้องสะใภ้สี่เบาปัญญา แต่คนบ้านนางย่อมไม่มีทางเบาปัญญาไปด้วยกับนาง ท่านแม่โปรดให้สะใภ้ส่งคนไปปรึกษากับพี่สะใภ้ทั้งสอง วันพรุ่งต้องเชิญคนตระกูลเผยมาที่จวนเพื่อพูดจาเรื่องนี้ให้ชัดเจนให้จงได้ …เพราะท่านแม่รักน้องชายสี่และน้องสะใภ้สี่ วันนี้จึงทนยอมน้อยอกน้อยใจ ทว่าพวกสะใภ้กลับอดทนดังท่านแม่ไม่ไหวเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินซูเกรงว่าเรื่องนี้จะกระทบกับความสัมพันธ์พี่น้องของเสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้ว กลัวว่าเสิ่นจั้งฮุยยังเด็ก กำลังหลงภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันมาใหม่ๆ และเชื่อคำของเผยเหม่ยเหนียงไปเสียทุกเรื่อง นางกลัวว่าด้วยเรื่องของเผยเหม่ยเหนียงเพียงคนเดียวจะทำลายความสัมพันธ์ของตนเองกับสามี และกับเสิ่นจั้งฮุยซึ่งนางเลี้ยงดูประหนึ่งบุตรชายแท้ๆ มาจนเติบใหญ่ …เพราะนางเป็นคู่กรณีจากเหตุการณ์น่าอดสูอย่างยิ่งครานี้ นางต้องใคร่ครวญถึงหลักการต่างๆ ให้รอบด้าน และต้องเป็นคนหาทางให้เรื่องราวยุติลงและอยู่ด้วยกันได้อย่างสุขสงบ ทว่าเพียงคิดก็รู้แล้ว ว่าแม่สามีผู้นี้จะยอมกล้ำกลืนละลืมความขัดเคืองนี้ไปได้อย่างไร!
คนที่เลอะเลือนในวันนี้เป็นตัวเสิ่นจั้งฮุยเอง ยังมีหน้ามาบอกอีกว่าขอให้อดทนเพื่อเห็นแก่หลานชายที่ตนเองเลี้ยงดูมาจนโต ทั้งที่จริงแล้วคนที่ก่อเรื่องกลับเป็นหลานสะใภ้ต่างหาก! ทั้งยังเป็นหลานสะใภ้ที่หลอกให้หลานชายที่ตนเองเลี้ยงดูมากับมือหลงเชื่อด้วย! ต่อให้เป็นท่านป้าใหญ่บ้านใดย่อมไม่อาจไม่ไปตามไล่เรียงเอาความได้
เพียงแต่เผยเหม่ยเหนียงกลับก่อเรื่องจนใหญ่โตโดยไม่ได้สนใจสิ่งใด แต่ฝ่ายฮูหยินซูกลับคอยคิดถึงแต่หน้าตาของทุกๆ คน ดังนั้น ฮูหยินซูจึงยอมร้องไห้บ่นว่าระบายความน้อยใจไปสักหนก็ปล่อยผ่านไปแล้ว… คนเป็นสะใภ้รู้สึกสงสารแม่สามี ทนเห็นน้องสะใภ้สี่รังแกญาติผู้ใหญ่เช่นนี้ไม่ไหว การไปหาตระกูลเผยเพื่อขอให้ชี้แจงเรื่องนี้มาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว ดังนั้นเสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้วจึงไม่อาจมาบอกว่าพวกสะใภ้ทำไม่ถูกด้วยเรื่องนี้
ดังนั้นเมื่อฟังเว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเช่นนี้ เสียงร้องไห้ของฮูหยินซูก็เบาลงเล็กน้อย แล้วปรามนางว่า “ไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก เด็กคนนี้เพิ่งแต่งเข้ามากี่วัน? หากเรื่องนี้แพร่ออกไปก็จะมีแต่คนบอกว่าพวกเราดูแคลนและจงใจหาเรื่องนางจริงๆ”
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าเมื่อครู่นี้ยังเรียกว่า ‘นางเผย’ อยู่เลย แต่คราวนี้กลับเป็น ‘เด็กคนนี้’ ไปเสียแล้ว ทำให้เห็นได้ว่าแม่สามีมีความปรารถนาที่แจ่มชัดเพียงใดเพื่อให้ตนสามารถรักษาชื่อเสียงการเป็นคนใจกว้างเอาไว้ได้? นางจึงพูดออกไปโดยไม่ทันยั้งคิดว่า “แต่ไรมาท่านแม่ก็มองน้องชายสี่เทียบเท่ากับบรรดาพี่น้องทุกคนของท่านพี่ และเดิมทีน้องสะใภ้สี่ก็เป็นภรรยาที่ท่านแม่เลือกหามาให้น้องชายสี่ หากท่านแม่รู้สึกว่านางไม่ดีหรือดูแคลนเรื่องชาติกำเนิดของนางแล้ว ท่านแม่จะหมั้นหมายนางให้น้องชายสี่ทำสิ่งใดเจ้าคะ? และเมื่อพูดย้อนกลับมา ในบรรดาตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหกของเราก็มิใช่ว่าไม่มีสตรีผู้ดีที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับน้องสะใภ้สี่ แต่ท่านแม่กลับยังหมั้นหมายน้องสะใภ้สี่ซึ่งเกิดในชั้นตระกูลใหญ่ให้น้องชายสี่ นี่ก็เห็นแล้วว่าท่านแม่ออกจะเข้าข้างน้องสะใภ้สี่เสียด้วยซ้ำไป!”
ฮูหยินซูเช็ดน้ำตา กล่าวว่า “หากจะว่าไปแล้วเจ้ากับเหม่ยเหนียงเจ้าเด็กคนนั้นก็มีอายุไล่เลี่ยกัน แต่งเข้าบ้านมาก่อนหลังห่างกันเพียงสองเดือน เจ้าก็ยังมองเห็นชัดเจน แล้วเหตุใดนางจึงได้เลอะเลือนเพียงนี้? หากข้าดูแคลนนางแล้วยังจะหมั้นหมายนางทำสิ่งใด? หรือผู้ใหญ่เช่นข้าที่มิได้มีความแค้นใดกับนาง ต้องลำบากไปหมั้นหมายนางให้แต่งเข้าบ้านมาเป็นหลานสะใภ้เพื่อจะได้รังแกนางรึ?! ใต้หล้านี้ยังมีเรื่องที่เหลวไหลกว่านี้อีกหรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจหนหนึ่ง กล่าวว่า “จึงได้บอกว่ามิใช่น้องสะใภ้สี่เบาปัญญาหรอกหรือเจ้าคะ? เหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถเข้าใจได้ มีแต่นางเท่านั้นที่ไม่เข้าใจเจ้าค่ะ!”
“พวกเจ้าแยกกันไปบอกกล่าวกับนางให้ชัดเจนก็แล้วกัน ส่วนเรื่องที่จะไปรบกวนถึงตระกูลเผย ข้าเห็นว่าอย่าดีกว่า หากเรื่องในวันนี้แพร่งพรายออกไป บ้านตระกูลเผยก็คงจะทำตัวลำบาก บ้านเราเองก็จะเสียหน้า แล้วต้องทำไปไย?” ฮูหยินซูกำชับกำชา
เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจว่า นี่คือการบอกตนว่าอย่าลืมเป็นอันขาด ว่าต้องไปเรียกคนบ้านเผยมาสอบถามว่าพวกนางอบรมสั่งสอนบุตรสาวมาเช่นใด นางรับรู้อยู่ในใจ กล่าวว่า “คำพูดของท่านแม่นี้ ทำให้สะใภ้ลำบากใจแล้ว เรื่องที่ท่านแม่สอนสั่งสะใภ้มาก่อนนี้สะใภ้ยังจำได้ พวกเราและบุตรธิดาของท่านอารองล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน อย่าทำให้ความสัมพันธ์พี่น้องต้องขุนเคืองด้วยเรื่องความบาดหมางส่วนตัว แต่ยามนี้น้องสะใภ้สี่ไม่มีเหตุมีผลนี่เจ้าค่ะ ท่านแม่และพี่หญิงใหญ่พูดกับนางดีๆ นางกลับบอกว่าท่านแม่และพี่หญิงใหญ่ร่วมมือกันรังแกนาง! พวกสะใภ้จักกล้าแยกกันไปพูดกับนางได้อย่างไร? สะใภ้คิดว่าถึงนางจะไม่เชื่อถือพวกเรา แต่อย่างไรก็ควรต้องเชื่อคนฝั่งบ้านมารดาของตน มิสู้เชิญคนบ้านตระกูลเผยมาปรึกษากันให้ชัดแจ้งเถิดเจ้าค่ะ เพื่อมิให้น้องชายสี่ต้องมาเหินห่างกับพวกเราทางนี้เพราะเรื่องของนางเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูกดที่ลำคอกระแอมไอสองหน แล้วเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “วันนี้ข้า…ข้าไม่มีเรี่ยวแรงแล้วจริงๆ วันพรุ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะลุกไหวหรือไม่… เวลานี้รู้สึกเวียนหัว และไม่กระปรี้กระเปร่าดังปกติ จึงไม่รู้ว่าจะพูดกับเจ้าอย่างไร? อย่างไรก็ตาม อย่าให้น้องชายสี่ของพวกเจ้ารู้สึกว่าถูกรังแกเล่า รู้หรือไม่?”
ไม่ทำให้เสิ่นจั้งฮุยรู้สึกว่าถูกรังแก …การไม่ให้เขามีภรรยาไม่ดีไร้สมองก็คือการไม่ให้เขารู้สึกว่าถูกรังแกแล้วอย่างไร ในความหมายที่ว่านี้สามารถคิดออกไปได้กว้างขวางนัก
เว่ยฉางอิ๋งรับคำอย่างเชื่อฟัง ฮูหยินซูเห็นว่าสั่งความเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้ว จึงบอกว่าไม่สบายและให้นางกลับไปก่อน
เมื่อออกมาจากเรือนหลัก มีลมราตรีโชยมา เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าแผ่นหลังนางเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลออกมาเหมือนจะร้องไห้เป็นเพื่อนนาง และรู้สึกเย็นนัก จนตอนนี้จึงเพิ่งรู้สึกว่าตนเองเหนื่อยอ่อนเหลือเกิน นางหวงยกมือขึ้นประคองนาง เดินไปพูดเสียงต่ำๆ ไปว่า “ฮูหยินอยากให้นางเผยกลับบ้านมารดาไปเสียเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้” เว่ยฉางอิ๋งเองก็เอ่ยเสียงเบาว่า “เรื่องนี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว หากวันนี้ทั้งพวกบ่าวชราและหม่านโหลวล้วนไม่ได้พูดจาส่งเดช นางเผยก็ทำเกินไปแล้วจริงๆ หากให้คนตระกูลเผยรู้เข้าก็ไม่มีหน้าจะให้นางอยู่ต่อแล้ว แต่ข้าเห็นว่าน้องชายสี่ชอบนางเผยผู้นี้ยิ่ง?” หากให้กำจัดนางเผยไป ย่อมต้องเป็นการล่วงเกินเสิ่นจั้งฮุย แม้จะพูดได้ว่าน้องชายสามีไม่น่าจะทำสิ่งใดกับตนได้ ทว่าอย่างไรก็เป็นคนในรุ่นเดียวกันในบ้านสามี ทั้งยังเป็นบุตรชายคนโตของสายเสิ่นโจ้วด้วย หากไม่ไปล่วงเกินได้ก็อย่าไปล่วงเกินเสียเป็นดี
นางหวงยิ้มจางๆ บอกว่า “ฮูหยินน้อยก็หาใช่สะใภ้ใหญ่นี่เจ้าคะ”
“ท่านอากล่าวถูกต้องแล้ว พี่สะใภ้ทั้งสองก็ทั้งเก่งกาจทั้งมีความสามารถเพียงนั้น เวลานี้ท่านแม่ถูกข่มเหง พวกนางก็ไม่ควรคอยแต่อยู่ข้างหลังจึงจะถูก” เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจแล้ว จึงสั่งฉินเกอและเยี่ยนเกอว่า “อาศัยเวลานี้ที่พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองคงยังไม่เข้านอน พวกเรารีบไปเชิญคนบ้านเผยมาอธิบายว่าท่านแม่และพี่หญิงใหญ่หาได้รังแกน้องสะใภ้สี่แต่อย่างใด”
ฉินเกอและเยี่ยนเกอรับคำสั่งแล้วจากไป เว่ยฉางอิ๋งพาคนที่เหลือกลับไปเรือนจินถง แต่กลับเห็นว่าในเรือนชั้นหน้าจุดโคมไปไว้สว่างไสว กลายเป็นว่าเรือนชั้นที่สองซึ่งเป็นที่พำนักของสองสามีภรรยากลับไม่ได้จุดโคมใด นางรู้สึกสงสัยในใจ จึงเรียกบ่าวแถวนั้นมาสอบถาม “ท่านพี่มีแขกรึ? วันนี้จะค้างที่นี่หรือไม่?”
บ่าวผู้นั้นประสานมือรายงานว่า “เรียนฮูหยินน้อย เดิมทีคุณชายเชิญท่านเหนียนมาหารือที่จวนขอรับ ทว่าเมื่อครู่นี้จู่ๆ คุณชายสี่ก็มาหา ยามนี้ก็อยู่ข้างในด้วยขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำพลันขมวดคิ้วหนแล้วหนเล่า นี่นับว่าเป็นหนแรกที่เสิ่นจั้งฮุยมาเรือนจินถงเสียด้วย เมื่อตอนกลางวันเผยเหม่ยเหนียงภรรยาของเขาก็เพิ่งทำให้ฮูหยินซูและเสิ่นจั้งจูโกรธ ยามนี้เขาวิ่งมาหาเสิ่นจั้งเฟิง หรือว่าที่สุดก็ตระหนักขึ้นมาแล้ว และอยากขอให้เสิ่นจั้งเฟิงไปช่วยพูดให้?
_____________________________________