CatNovel
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
Advanced
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
  • โดจิน
  • นิยายทั้งหมด
  • จบแล้ว
  • นิยายวาย Yaoi
ตอนก่อน
ตอนต่อไป
สล็อตเว็บตรง

ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 118 ขอพระราชทานอภัย

  1. Home
  2. ยอดสตรีฉางอิ๋ง
  3. ตอนที่ 118 ขอพระราชทานอภัย
ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ตอนที่ 118 ขอพระราชทานอภัย
Xiaobei
เว่ยเจิ้งอินนำหลานสาวขึ้นรถม้า รอจนออกเดินทางแล้วจึงเอียงหน้ามาถามนางว่า “เกิดเรื่องใดกับแม่สามีเจ้า? ดีๆ อยู่ไยจึงมาล้มป่วยเสียแล้ว? หม่านถิงที่เป็นคนมาบอกก็เอาแต่อ้ำๆ อึ้งๆ พูดไม่ชัดเจนเลย ข้าฟังได้ความคร่าวๆ ว่าถูกหลานสะใภ้ทำให้โมโห? นางเผยผู้นั้นก็เป็นเพียงบุตรสาวตระกูลเผย ด้วยความเก่งกาจของแม่สามีเจ้า เหตุใดจึงปล่อยให้เด็กรุ่นหลังเหิมเกริมกับนางได้?”

“ช่วงหลังเที่ยงวานนี้ พอดีว่าข้าออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ ยามกลับมาเรื่องก็จบแล้ว ได้ยินหม่านโหลวและพวกบ่าวชราในเรือนของท่านแม่บอกว่า น้องสะใภ้สี่เผยเหม่ยเหนียงเถียงคำไม่ตกฟาก จึงทำให้ท่านแม่และพี่หญิงใหญ่โมโหเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งจึงเล่าเรื่องราวที่ได้ยินจากหม่านโหลวให้นางฟังโดยคร่าวๆ

เว่ยเจิ้งอินเองก็อดสะเทือนใจไปด้วยไม่ได้ “ในบรรดาตระกูลมีชื่อต่างๆ กลับมีสตรีที่เหิมเกริมเพียงนี้ด้วย?” แล้วยิ้มพลางว่า “ก็มิน่าเล่าแม่สามีเจ้าจึงได้โมโหจนเป็นเยี่ยงนี้ หากข้าจำไม่ผิด นางเผยผู้นี้ก็ยังเป็นคนที่แม่สามีเจ้าไปหมั้นหมายให้น้องสามีของเจ้าด้วยตนเองด้วยกระมัง?”

เว่ยฉางอิ๋งทอดถอนใจ กล่าวว่า “ก็ผู้ใดว่าไม่ใช่เล่าเจ้าค่ะ? ดังนั้นวานนี้ข้าไปปลอบโยนท่านแม่ จึงไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดดีเจ้าค่ะ”

“ก็เอ่ยถ้อยคำสงสารเห็นใจนางไปสักสองสามคำเป็นพอแล้ว” เว่ยเจิ้งอินยิ้ม พลางว่า “เมื่อเทียบกับนางเผยผู้นี้ ยามนี้แม่สามีเจ้ามองดูสะใภ้ของตนคนใดแล้วจะไม่ดีกว่านางเผยเป็นพันเป็นหมื่นเท่า? คนเราล้วนต้องถูกนำมาเปรียบเทียบกันทั้งนั้น”

“อย่างไรท่านอาก็มองเห็นได้ทะลุปรุโปร่ง คืนวานนี้ข้ากลับคิดเรื่องนี้ไม่ออก ต้องขอคำชี้แนะจากท่านอาหวงจึงกล้าเข้าไปเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเป็นห่วงเรื่องเข้าขอพระราชทานอภัยที่กำลังจะไป รีบตอบคำหนึ่งจึงถามว่า “ท่านอาเจ้าค่ะ เรื่องที่เข้าวังมาวันนี้?”

เว่ยเจิ้งอินบอกว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ก็มิใช่แค่ว่าบ่าวติดตามผู้หนึ่งไปชนกับขบวนขององค์รัชทายาทหรอกหรือ? ลงทัณฑ์เขา องค์รัชทายาทก็ลงทัณฑ์ไปบนถนนแล้วนี่ คนในฐานะเช่นพวกเรา ไม่มีทางจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ไม่ยอมปล่อยหรอก ที่มาที่ตำหนักเว่ยยางในวันนี้ก็เพียงมาตามธรรมเนียมเท่านั้น”

“เรื่องนี้…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งคิดสักพัก เมื่อเห็นว่าสาวใช้และบ่าวในรถล้วนเป็นบ่าวคนสนิทของอาหลานทั้งสองคน คาดว่าคงไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องแผนการโค่นล้มองค์รัชทายาทซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่โตเพียงนี้กับท่านอาแท้ๆ ได้ แต่เรื่องที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิก็ยังสามารถพูดได้ จึงเล่าเรื่องหญิงเก็บบัวสิบกว่าคนนั้นให้นางฟัง “เกรงว่าเพราะองค์รัชทายาทยังคงคิดแค้นอยู่ในใจ จึงจงใจมาสร้างเรื่องครานี้เจ้าค่ะ!”

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” เว่ยเจิ้งอินได้ยินคำก็ตกตะลึงเช่นกัน สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไป คิดจะเอ่ยบางอย่าง ทว่าหลังจากมองดูคนในรถแล้วกลับบอกแต่เพียงว่า “ข้าเองก็ไม่ได้พบแม่สามีเจ้ามานานมากแล้ว ไม่คิดว่าครานี้นางจะถูกเด็กรุ่นหลังทำให้โมโหจนล้มป่วย …ประเดี๋ยวเมื่อกลับจากในวังแล้ว ข้าจะไปเยี่ยมนางกับเจ้าเสียหน่อย”

เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าเว่ยเจิ้งอินย่อมไม่ใช่แค่เพียงไปเยี่ยมเยือนพี่สามีธรรมดาๆ เท่านั้นแน่ จึงเม้มปากแล้วว่า “เจ้าค่ะ”

นางเอ่ยถามอีกว่า “แล้วการเข้าเฝ้าฯ องค์ฮองเฮาครานี้เล่าเจ้าคะ?”

“ก็ทำตามการขอพระราชทานอภัยโดยปกติเป็นพอแล้ว” เว่ยเจิ้งอินตอบไปอย่างใจลอย “ฮองเฮาทรงใจกว้างกับคนเช่นพวกเรานัก วันนี้เกรงว่าจะยิ่งใจกว้างเสียยิ่งกว่าปกติ”

เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจ “เจ้าค่ะ”

เมื่อมาถึงท้องพระโรงฉางเล่อ ปรากฏว่ายังไม่ทันรอให้เว่ยเจิ้งอินเล่าเรื่องราวต่างๆ แทนเว่ยฉางอิ๋งจนหมด ฮองเฮาก็ร้องขึ้นมาก่อน แล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าเพิ่งได้ยินคนเอ่ยถึงเมื่อวานนี้ ล้วนเป็นเพราะคนข้างกายองค์รัชทายาทที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ทั้งที่ได้ยินว่าคนที่มาชนขบวนนั้นไม่ได้พูดสำเนียงเมืองหลวง คาดว่าคงเป็นคนที่เพิ่งมาอยู่ในเมืองหลวง พอเห็นขวบนขององค์รัชทายาทเป็นคราแรก ก็รู้สึกตื่นเต้นจนยืนผิดที่ผิดทาง แค่ลงทัณฑ์เล็กน้อยไปสักหน่อย เพื่อให้เขาเข้าใจว่าคราหน้าควรทำเช่นใดเป็นพอแล้ว เหตุใดจึงต้องลงไม้ลงมือ ทั้งยังตีคนจนตายด้วยเล่า? คนเหล่านี้คู่ควรมาอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทที่ใดกัน! ดีที่เมื่อองค์รัชทายาทได้รู้เรื่องนี้เข้า หลังจากกลับมาที่ตำหนักตะวันออก จึงไล่พวกมันไปหมดแล้ว …ข้าเองก็เห็นควรว่าต้องทำเช่นนี้ เพื่อมิให้บ่าวไพร่ทำให้พระนามของผู้สืบราชบัลลังก์ต้องเสื่อมเสีย”

น้ำเสียงของฮองเฮากู้ในครานี้ฟังไม่เสนาะหูกว่าก่อนมากมายนัก ทั้งยังมีความรู้สึกอ่อนเพลียเผยออกมา คล้ายว่าร่างกายไม่ใคร่ดีนัก

อาหลานทั้งสองไม่รู้เรื่องที่ฮองเฮาถูกองค์รัชทายาททำให้โกรธเสียจนเกือบล้มป่วยหนัก ทว่าก็คาดเดากันว่าเพราะฮองเฮากู้เกิดความกังวลจนทำให้อิดโรยหลังจากรู้เรื่ององค์รัชทายาทไปทำร้ายเจียงเจิง เว่ยฉางอิ๋งโพล่งเอ่ยไปว่า “ขอบพระทัยองค์ ฮองเฮาที่ทรงเป็นห่วงเพคะ ดีที่ท่านลุงเจียงยังไม่ตายเพคะ”

“ยังไม่ได้?” ฮองเฮากู้ตกตะลึง สักพักจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ต้องรักษาเขาให้ดี เขาก็น่าสงสารยิ่งนัก เจ้าเพิ่งแต่งมาอยู่ที่เมืองหลวงได้ไม่กี่วัน คิดว่าเขาก็คงยังไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วกลับต้องมาพบกับพวกคนรอบกายองค์รัชทายาทที่ไม่รู้จักเรื่องควรไม่ควร ต้องลงไม้ลงมือหนักด้วยเรื่องเพียงน้อยนิด นี่มิใช่ว่าจงใจทำให้องค์รัชทายาทเสื่อมเสียหรอกรึ!”

เว่ยฉางอิ๋งย่อมต้องเอ่ยสำทับไป และย้ำไปหลายครั้งว่าตนดูแลบ่าวไพร่ไม่ถ้วนถี่

“เดิมทีก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด” หลังจากฮองเฮากู้ถูกองค์รัชทายาททำให้โมโหหนักในวันนั้น ตกกลางคืนก็มีไข้สูง ทั้งยังอยู่ในวัยที่เป็นย่าคนแล้ว แม้ในวังจะมีแพทย์หลวงคนสนิทที่มารักษาได้ทันท่วงที แต่วานนี้ก็ต้องนอนพักหนึ่งวัน …จึงทำให้ตอบรับการขอเข้าเฝ้าฯ ของ ฮูหยินซูล่าช้า …ในขณะที่มารับการเข้าเฝ้าฯ และคำขออภัยจากอาหลานตระกูลเว่ย นางก็ยังต้องฝืนตัวเองอยู่บ้าง และมีความอ่อนแรงอยู่ในน้ำเสียง “จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะองค์รัชทายาทใจกว้างเกินไป จึงทำให้คนข้างกายเคยตัวจนพากันคิดการต่างๆ ด้วยตนเองไปเสียแล้ว! เหตุการณ์ครานี้กลับทำให้ข้าและองค์รัชทายาทล้วนตระหนักขึ้นมาว่า คนบางคนไม่อาจปล่อยปละได้เลยจริงๆ เมื่อปล่อยปละแล้วก็จะกำเริบเสิบสานเสียแล้ว! คืนวานองค์รัชทายาทก็มาบอกกับข้าว่าจะต้องจัดระเบียบคนในตำหนักตะวันออกทั้งหมดเสียใหม่! เพื่อมิให้มีคนอ้างชื่อของตำหนักตะวันออกมาทำลายพระนามอันดีงามขององค์รัชทายาทเช่นเรื่องในครานี้อีก!”

ฮองเฮารีบพูดไปสักหน่อย นางจึงแอบหอบเบาๆ สองหนแล้วพูดต่อว่า “สองวันก่อนข้าวางหีบน้ำแข็งในห้องบรรทมหลายหีบเกินไป ทำให้สองวันมานี้ไม่ใคร่สบายนัก หาไม่แล้วก็จะไปสอบถามเรื่องนี้ด้วยตนเอง …และก็หาได้ถือโทษพวกเจ้าในเรื่องนี้ไม่ บ่าวติดตามตั้งมากมาย จักดูแลทั่วถึงไปหมดได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าอาหลานก็ออกเรือนมาเป็นภรรยา ล้วนอยู่แต่ภายในเรือนหลัง บ่าวไพร่ออกไปเดินถนนไม่ระมัดระวัง พวกเจ้าซึ่งอยู่แต่ในเรือนหลังก็จนปัญญาจะดูแล …ว่ากันตามตรง ครานี้ล้วนเป็นบ่าวไพร่ที่ทำงานไม่ตั้งอกตั้งใจเพียงพอ”

เว่ยฉางอิ๋งฟังออกว่า ฮองเฮากู้ยังคงต้องการทำให้เรื่องนี้เป็นเหมือนกับเรื่องของหญิงเก็บบัวที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ โดยการผลักความผิดไปไว้ที่ตัวคนข้างกายองค์รัชทายาท และบอกเป็นนัยว่าองค์รัชทายาทหาได้แค้นเคืองตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งไปกว่านั้นยังให้คำมั่นว่าจะกำจัดผู้คนที่ยุยงองค์รัชทายาทไปให้หมด

เมื่อได้ฟังดังนี้แล้วก็เห็นได้ว่าฮองเฮากู้ยังคงคำนึงถึงตระกูลสูงศักดิ์อยู่ …ด้วยประสบการณ์นับแต่ฮองเฮาพระองค์นี้เข้าวังมากอปรกับฐานะของนางในยามนี้ นางย่อมรู้ดีว่ากำลังอำนาจของตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหกในเขตทะเลมีมายมายจริงๆ แม้แต่ ฮองเฮาเองก็ยังไม่อาจไปล่วงเกินไป หาไม่แล้ว ในเมื่อฮองเฮาก็มิใช่คนขี้ขลาดตาขาวแต่อย่างใด… แต่ที่นางทำครานี้ก็คือพยายามผูกมิตรและประนีประนอมอย่างโอนโยนกับผู้คนที่อยู่ใกล้ตัวแล้ว!

เพียงแต่ เว่ยฉางอิ๋งพลันนึกถึงเรื่องที่สามีตนเริ่มเกิดความเคลือบแคลงใจขึ้นมา ซึ่งแม้แต่พ่อสามีเอง เขาก็ยังนำความไปแจ้งแล้ว แม้ว่าครานี้ฮองเฮาจะมีท่าทีเช่นนี้ แต่ก็เกรงว่าจะไม่ทำให้ความกังวลถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นภายหลังเซินสวินขึ้นครองราชย์ที่เคยมีมาแต่เดิมเลือนหายไป…นางจึงนิ่งใจลอยไปสักพัก เว่ยเจิ้งอินตอบไปแทนนางว่า “พระวรกายขององค์ฮองเฮาไม่ใคร่ดี พวกหม่อมฉันกลับยังมารบกวน ถือเป็นความผิดนักเพคะ” แล้วเอ่ยถามถึงพระพลานามัยของฮองเฮา

ฮองเฮากู้ย่อมไม่มีแก่ใจจะเอ่ยถึงสุขภาพของตน… ตอบไปไม่ทันสองประโยคก็วกกลับมาที่เรื่องของเจียงเจิง บอกเป็นนัยไปอีกหนว่าองค์รัชทายาทล้วนให้ความสำคัญกับตระกูลสูงศักดิ์ และไม่มีทางรู้สึกรังเกียจตระกูลสูงศักดิ์เป็นเด็ดขาด โดยเฉพาะเรื่องโกรธเคืองตระกูลสูงศักดิ์ยิ่งไม่มีทางใหญ่

เพียงแต่เว่ยเจิ้งอินก็เพียงคำนับไปอย่างนบนอบ ทั้งแสดงความห่วงใยในพระวรกายของฮองเฮา ทั้งชมเชยคุณธรรมและความกตัญญูขององค์รัชทายาท ทั้งบอกว่าหลานสาวยังเด็กไม่รู้ความ… ว่าไปว่ามาก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ไร้แก่นสารทั้งสิ้น

ฮองเฮาผิดหวังอยู่ในใจเสียยิ่งนัก แต่ก็รู้ว่าแม้เว่ยเจิ้งอินจะเชื่อนาง ทว่าก็จนปัญญาจะตัดสินใจในเรื่องนี้ เพราะอย่างไรเสียเว่ยเจิ้งอินก็ไม่ใช่ผู้ดูแลตระกูลเสิ่น… เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อบ่าวติดตามของเว่ยฉางอิ๋งเกิดเรื่อง เหตุใดจึงกลายเป็นเว่ยเจิ้งอินซึ่งเป็นอาของนางมาด้วย แต่มิใช่แม่สามีพามา?

จึงบอกว่า “อย่าได้เอาแต่ถามเรื่องสุขภาพของข้าอยู่เลย ข้าไม่เป็นอันใดมาก กลับเป็นฮูหยินซูเสียอีก สองวันนี้ไยจึงป่วยเสียได้? คงมิใช่ว่าเอาน้ำแข็งไว้ในห้องมากเกินไปหรอกนะ?”

ฮองเฮากู้ฟังออกโดยทันใดว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ จึงซักไซ้ขึ้นมา “ไม่สบายอย่างไร? ต้องเชิญแพทย์หลวงไปตรวจดูสักหน่อยหรือไม่ ข้าจะให้คนไปสั่งความที่หอแพทย์หลวงให้เดี๋ยวนี้”

“ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ” เว่ยฉางอิ๋งรีบเอ่ยขอบคุณแทนแม่สามี กล่าวว่า “แต่กลับไม่ต้อง…” ในขณะที่นางกำลังเค้นสมองคิดว่าควรตอบอย่างไรต่อไปดี นอกท้องพระโรงพลันมีเสียงเอะอะดังเข้ามา…

เสียงตวาดอย่างไม่พอใจที่แสนแจ่มชัดแต่แหลมสูงนั้นดังมาแต่ไกลอย่างรวดเร็ว “เจ้ามันตัวร้ายกาจ! ยังกล้ามาเล่นเล่ห์! เจ้านึกว่าเจ้าไปยุยุงเสด็จพ่อในตำหนักเซวียนหมิงแล้วข้าจะไม่รู้รึ? วันนี้ไม่มาพูดให้ชัดแจ้งต่อหน้าเสด็จแม่ไม่ได้เด็ดขาด!”

เว่ยฉางอิ๋งฟังออกว่านี่เป็นองค์หญิงอันจี๋ ไม่ต้องถามก็รู้ว่าคนที่นางกำลังด่าทออยู่เป็นผู้ใด… เวลานั้นเองเสียงสะอื้นก็ดังเข้ามาในท้องพระโรง คล้ายว่าองค์หญิงหลินชวนจะพูดบางสิ่งออกมาประโยคสองประโยคอย่างไม่ชัดเจน แล้วได้ยินเสียง ‘เพี้ยะ’ แสนแจ่มชัดครั้งหนึ่ง คล้ายเป็นองค์หญิงอันจี๋ผู้แสนดุร้ายตบหน้าพี่สาวผู้นี้ไปฉาดหนึ่ง จากนั้นก็ร้องตำหนิเสียงสูงไปอีกว่า “เจ้าไม่ได้ทำ? ไอ้เจ้าคนกล้าทำไม่กล้ารับ! เข้าไปกับข้า เดินให้มันเร็วหน่อย! หากยังชักช้าร่ำไร ข้าจะฉีกปากเจ้าให้เละ!”

เว่ยเจิ้งอินที่ก่อนหน้านี้ยังอยู่ในอาการสงบนิ่งพลันมีสีหน้ากลัดกลุ้มขึ้นมา มุมปากของฮองเฮาซึ่งอยู่บนบัลลังก์ก็พลันแข็งเกร็ง แล้วขืนดึงสติขึ้นมาสั่งบ่าวซ้ายขวาว่า “ข้างนอกเอะอะเพียงนี้ ไปดูซิ เหตุใดอิ๋งเอ๋อร์และจูเอ๋อร์ถึงทะเลาะกันอีกแล้ว?”

ยังไม่ทันรอให้นางกำนัลที่ฮองเฮาสั่งออกไปจากท้องพระโรง พลันมีร่างคนปรากฏขึ้นมาที่ประตูทางเข้าท้องพระโรง จากนั้นก็มีเงาผ่านเข้ามาหลังฉากกั้นลม แล้วเห็นองค์หญิงอันจี๋ซึ่งสวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่มีหน้าตาดุดัน มือข้างหนึ่งกุมไหล่ขององค์หญิงหลินชวนเอาไว้แน่น แล้วลากองค์หญิงหลินชวนเดินโซซัดโซเซผ่านฉากกั้นลมเข้ามาในท้องพระโรง!

พอเข้ามาในท้องพระโรงก็ยังไม่เลิกแล้ว องค์หญิงหลินชวนที่น่าสงสารกุมข้างแก้มเอาไว้แน่น คิดว่าคงเพราะถูกองค์หญิงอันจี๋ตบหน้าเอาเมื่อครู่นี้ …พลันถูกน้องสาวผลักจนเซไปหลายก้าว จนแทบจะหกล้มลงไป

เมื่อมาถึงตำแหน่งที่ต้องแสดงความเคารพ องค์หญิงอันจี๋จึงปล่อยนางไปทั้งสีหน้าเคร่งเครียด ไม่รอให้ฮองเฮากู้เอ่ยถามเรื่องที่นางลงมือกับพี่สาว นางก็ถวายคำนับและรายงานออกมาเสียก่อนว่า “เสด็จแม่เพคะ พระพี่นางไปยุยงต่อเสด็จพ่อด้วยหวังให้ลูกอภิเษกไปอยู่แดนไกล ทั้งที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่ของลูกก็ยังอยู่ครบ พระมารดาก็ยังอยู่ พระเชษฐาอนุชาล้วนยังอยู่ …ไยเรื่องอภิเษกจึงต้องให้พระพี่นางเป็นผู้ตัดสินใจ? เห็นชัดว่าที่พระพี่นางทำเช่นนี้เพราะชิงชังลูก ไม่อยากให้ลูกอยู่ต่อหน้า! หากเป็นดังนี้ ก็ควรเอ่ยให้ชัดแจ้งต่อหน้าลูกตรงๆ ลูกหรือจักกล้ามาอยู่ขวางหูขวางตาพระพี่นาง? พระพี่นางไปยุยงต่อเสด็จพ่อ ด้วยหวังอาศัยพระหัตถ์เสด็จพ่อไล่ลูกไปให้ไกล! ช่างต่ำช้าไร้ยางอาจเสียจริงๆ! ลูกไม่ยินยอม เสด็จแม่โปรดทวงถามความยุติธรรมให้ลูกด้วย!”

เมื่อมาถึงหน้าพระพักตร์ฮองเฮา ในที่สุดองค์หญิงหลินชวนก็เอ่ยคำออกมาได้อย่างชัดเจนทั้งเสียงสะอื้นว่า “ข้าไม่ได้ทำ!” นางขึ้นเสียงไปคำหนึ่งก่อน จากนั้นจึงเพิ่งตระหนักว่ามีสตรีชั้นสูงอยู่ด้วย พลันรีบเปลี่ยนมาใช้ถ้อยคำอย่างเป็นทางการ “ทูลเสด็จแม่ ลูกมิได้ไปยุยงต่อเสด็จพ่อแต่อย่างใดเพคะ! เพียงแค่ครั้งลูกไปถวายงานพู่กันและหมึกให้เสด็จพ่อนั้น ได้ยินเสด็จพ่อตรัสชมว่าจวี้โจวมู่เป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถ มีชาติกำเนิดในตระกูลเลื่องชื่อทั้งยังมิได้แต่งภรรยา ลูกนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ทันเลือกสวามีให้อันจี๋ จึงเอ่ยเล่นไปประโยคหนึ่งว่าแล้วอันจี๋เป็นเช่นใด…ลูกก็เพียงพูดเล่นเท่านั้นเองเพคะ!”

“เชอะ!” องค์หญิงอันจี๋ได้ยินคำพลันโมโหโกรธายกใหญ่ หากมิใช่เพราะ ฮองเฮาที่อยู่บนบัลลังก์รีบหยัดตัวขึ้นมานั่งตัวตรงแล้วถลึงตาใส่นางอย่างน่าเกรมขามแล้ว นางก็เกือบจะเข้าไปลงมือต่อทีเดียว “เสด็จพ่อตรัสชมจวี้โจวมู่เพียงคำ เจ้าก็ถามว่าข้าเป็นเช่นใด ภายหลังหากเสด็จพ่อตรัสชมคนตาย เจ้าก็อยากให้ข้าไปแต่งกับคนตายด้วย… สรุปก็คือหากข้ายังอยู่ในวังเจ้าก็จักไม่เป็นสุข?! ใช่หรือไม่!”

เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าองค์หญิงอันจี๋เข้าไปจี้ถามจนเกือบติดถึงตรงหน้าองค์หญิงหลินชวน จนองค์หญิงหลินชวนมีท่าทีหวาดผวาทั้งตัวสั่นงันงก จนไม่อาจเอ่ยคำว่า “ใช่” ที่อยู่ในใจออกมาได้ น่าสงสารเป็นยิ่งนัก จึงได้แต่ถอนใจยาวๆ อยู่ในใจ…

ส่วนข้างฮองเฮากู้นั้นกลับถอนใจออกมายาวๆ อย่างเห็นได้ชัด แล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “พวกเจ้าทะเลาะกันคึกคักปานนี้ ด้วยต้องการมาให้ข้าช่วยตัดสิน หรือเกี่ยงว่าที่ตำหนักของข้านี้มีเพียงแม่นางเว่ยอาหลานจะไม่คึกคักพอ จึงตั้งใจมาทะเลาะให้ข้าดู?”

องค์หญิงหลินชวนเช็ดน้ำตากำลังจะเอ่ยคำ องค์หญิงอันจี๋ที่ไม่ได้ร้องไห้กลับรีบโน้มตัวลงรวดเร็วเสียยิ่งกว่านางแล้วเอ่ยเสียงดังว่า “ลูกมิกล้าเพคะ!”

แล้วรีบปิดโอกาสที่องค์หญิงหลินชวนจะเอ่ยปาก พลันขอร้องไปว่า “ลูกขอร้องให้เสด็จแม่ตัดสินให้ลูกด้วย เสด็จพ่อเสด็จแม่ทั้งพระมารดาของลูกล้วนยังอยู่ ก่อนหน้าลูกก็ยังมีพระเชษฐาทั้งหลาย ถัดจากลูกไปก็ยังมีพระอนุชาอีกหลายองค์ เรื่องสำคัญในชีวิตเช่นนี้มีหรือจะยอมให้พี่สาวต่างมารดาที่มิได้เกิดจากภรรยาเอกมาตัดสินเพคะ?”

นางยิ้มเยาะแล้วว่า “พระพี่นางท่านต้องการเป็นคนดูแลจัดการเรื่องต่างๆ คงมิใช่ว่าท่านเลอะเลือนไปเสียแล้ว? ข้าเป็นคนชนิดที่ให้เจ้าจัดการได้ตามใจรึ? เสด็จแม่ก็มิใช่ผู้ที่จะยินยอมให้เจ้ามาทำให้กฎระเบียบต้องสับสนวุ่นวาย!

ทุกคำพูดขององค์หญิงอันจี๋ทำเอาองค์หญิงหลินชวนไม่รู้ว่าควรเอ่ยเช่นใดดี เพียงร่ำไห้และพร่ำพูดแต่ว่าตนเองไม่ได้ยุยง …เดิมทีฮองเฮากู้ก็กำลังเป็นกังวลกับ องค์รัชทายาทยิ่งนัก ที่ใดเล่าจะมีแก่ใจมาตัดสินเรื่องขององค์หญิงสองพระองค์ที่มิใช่ธิดาแท้ๆ ของตนเอง นางพลันมีสีหน้าเย็นเฉียบและไม่เอ่ยพระนามจริงขององค์หญิงแล้ว กล่าวว่า “อันจี๋ เจ้าว่าพระพี่นางของเจ้าไปยั่วยุต่อพระพักตร์เสด็จพ่อของพวกเจ้า เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”

“ตอนแรกนั้นพระพี่นางเข้าไปประจบยามเสด็จพ่อกำลังทรงอ่านข้อราชการ ภายหลังเมื่อเสด็จพ่อตรัสชมผู้ใด ขอเพียงเป็นผู้ที่อยู่ห่างไกลและยังมิได้แต่งงาน นางก็ล้วนคิดอยากให้ลูกแต่งกับคนผู้นั้น โดยไม่แม้จะถามว่าเป็นคนดีหรือโง่เง่าเพียงใด และไม่ไถ่ถามถูกผิดเพคะ… เสด็จแม่ไม่เชื่อก็สามารถส่งคนไปสอบถามที่ตำหนักเซวียนหมิงได้เพค่ะ!” องค์หญิงอันจี๋หลบเลี่ยงไม่บอกถึงลู่ทางที่ตนได้ข่าวสารนี้มาได้อย่างเจ้าเล่ห์

แต่เวลานี้ฮองเฮากู้ก็ไม่มีแก่ใจจะไปซักไซ้ถึงที่มาของข่าวสารนี้ แล้วมองไปที่ องค์หญิงหลินชวนอีกครั้ง “หลินชวน เจ้าทำเช่นนี้จริงรึ?”

“เสด็จแม่เพคะ พระน้องนางกล่าวคำเลอะเลือนเพคะ!” หลินชวนเอ่ยอย่างร้อนใจ “ลูกจะมีปัญญาใดเข้าไปยุยงยามเสด็จพ่ออ่านข้อราชการเล่าเพคะ? ยามลูกไปฝนหมึกให้เสด็จพ่อ ลูกก็เพียงได้ยินเสด็จพ่อทรงชมเชยจวี้โจวมู่ จึงเอ่ยเล่นไปประโยคหนึ่งเท่านั้นเพคะ!”

“เจ้าคิดว่าจวี้โจวมู่ดีเพียงนั้น เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปแต่งกับเขาเล่า!” อันจี๋เอ่ยไปทันใด “เจ้าเองก็มิใช่ว่ายังไม่ทันเลือกสวามีเรียบร้อยนี่? เจ้าชื่นชอบจวี้โจวมู่เพียงนั้น…”

“อันจี๋!” ฮองเฮากู้ไม่อาจไม่ขึ้นเสียงหยุดยั้งองค์หญิงที่ปากคอเราะร้ายเฉียบคมผู้นี้ …นางสู้อุตส่าห์กำหนดให้หลานชายของตนมาเป็นสวามีขององค์หญิงหลินชวนได้เป็นการภายในแล้ว จึงไม่อยากถูกองค์หญิงอันจี๋อาละวาดจนเสียการ! ต้องรู้เสียก่อนว่านางเว่ยอาหลานยังอยู่ตรงหน้านี่ด้วย!

ปรากฏว่าฮองเฮาพลันให้เว่ยเจิ้งอินและเว่ยฉางอิ๋งออกไปก่อน “พวกเจ้าก็เข้าวังมาสักพักแล้ว ฮูหยินซูเองก็กำลังล้มป่วย คิดว่าพวกเจ้าก็คงกำลังเป็นห่วงอยู่ เช่นนั้นข้าก็จะไม่รั้งตัวพวกเจ้าไว้แล้ว”

เว่ยเจิ้งอินและเว่ยฉางอิ๋งหาได้มีความสนใจใดๆ ต่อองค์หญิงทั้งสองพระองค์ที่กำลังวิวาทกันอยู่ตรงหน้าไม่ เมื่อได้ยินคำก็พลันโล่งอก แล้วขอตัวกลับไปด้วยความรู้สึกขอบพระทัยฮองเฮาอย่างล้นเหลือ!

____________________________________

ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ความคิดเห็นทั้งหมดของ "ตอนที่ 118 ขอพระราชทานอภัย"

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*

*

  • อ่านนิยาย
  • แทงหวย24

© 2020 cat-novel.com
เว็บอ่านนิยาย นิยาย pdf เว็บ “cat-novel.com” เว็บอ่านนิยายสนุกๆ เพลิดเพลินไปกับนิยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิยายวาย, นิยายจีน, นิยายรัก, แฟนตาซี, กำลังภายใน, ผจญภัย สุดยอดวิชากำลังภายใน อัพเดททุกวัน พร้อมรองรับการอ่านบนมือถือ คอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือแท็บเล็ต อ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีโฆษณา อ่านนิยายฟรีต้อง เว็บ ”cat-novel.com”
นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์