ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 119 คนตระกูลเผยมา
ตอนที่ 119 คนตระกูลเผยมา
Xiaobei
จนกระทั่งออกมาพ้นประตูวัง อาหลานทั้งสองล้วนไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องวิวาทในท้องพระโรงฉางเล่อแม้แต่คำเดียว ด้วยเหตุที่ยังคงมีเรื่องค้างคาใจอยู่ เมื่อมาถึงข้างรถ เว่ยเจิ้งอินกุมมือหลานสาว กล่าวว่า “ไป ข้าจะไปที่จวนราชครูกับเจ้าด้วย” แล้วหันไปบอกกับเด็กรับใช้ที่ติดตามรถมาว่าให้แบ่งคนหนึ่งคนกลับไปรายงานกับแม่เฒ่าเติ้งที่จวนตระกูลซูให้ชัดเจน
เว่ยฉางอิ๋งแอบคาดเดาว่าเป้าหมายที่แท้จริงที่เว่ยเจิ้งอินไปเยี่ยมฮูหยินซูนั้นจะต้องมีความเกี่ยวพันกับเรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงคิด จึงรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาในใจ
พวกนางไม่ได้สนทนากันตลอดทาง เมื่อมาถึงจวนราชครู เว่ยฉางอิ๋งพาท่านอาตรงดิ่งไปที่เรือนหลัก เมื่อเข้ามาใจเรือน เพิ่งถึงระเบียงทางเดิน ก็ได้ยินนางหลิวซึ่งอยู่ภายในห้องเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “…หากมิใช่เพราะชื่นชอบจากใจจริง แล้วท่านแม่จะหมั้นหมายเจ้าเข้าบ้านหรือ น้องสะใภ้สี่เจ้าว่าเป็นตามเหตุผลนี้หรือไม่?”
เผยเหม่ยเหนียงไม่ตอบ กลับเป็นเสียงสตรีมีอายุอีกคนที่ทำใจดีสู้ เอ่ยอย่างขัดเขินและระมัดระวังยิ่งว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่กล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ล้วนเพราะพวกเราตระกูลเล็กๆ ไม่รู้จักธรรมเนียมประเพณี มิได้สอนสั่งลูกมาให้ดี จึงทำให้นางเกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้ เรื่องนี้ช่าง…”
คาดว่านี่คงจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของเผยเหม่ยเหนียงแล้ว กลับเป็นคนที่เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ดี ดูท่าว่านางกำลังพยายามทำท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวเพื่อให้ญาติฝังดองหายโกรธ …ไม่ว่าเป็นสะใภ้บ้านใดที่แต่งเข้าบ้านมาไม่ถึงเดือนก็ทำให้ญาติผู้ใหญ่โมโหโกรธาจนล้มป่วย แล้วยังจะมีชื่อเสียงในแง่ดีอันใดได้อีก? ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าวันหน้าเผยเหม่ยเหนียงจะยังสามารถอยู่ในบ้านสามีต่อไปได้หรือไม่ และไม่ต้องเอ่ยถึงว่าวันหน้าตระกูลเสิ่นจะไปกดขี่ตระกูลเผยด้วยเรื่องนี้หรือไม่ ว่ากันแต่เพียงเรื่องที่ตระกูลเผยทั้งตระกูลก็หาได้มีเผยเหม่ยเหนียงเป็นเด็กสาวในตระกูลเพียงคนเดียว ถัดจากนางลงไปก็ยังมีน้องสาวและหลานสาวที่ยังต้องออกเรือนอีก! ในเมื่อมีคนที่ไม่ดีงามเช่นนี้ภายในตระกูล แล้วจะให้คุณหนูทั้งตระกูลทำเยี่ยงใด?
น่าเสียดายก็แต่คนเป็นผู้ใหญ่เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว แต่เผยเหม่ยเหนียงกลับยังเลอะเลือนอยู่ เมื่อผู้ใหญ่ว่ามาดังนี้ นอกจากนางจะไม่ยอมลดละและขอขมาแล้ว ในทางกลับกันนางยังคงเอ่ยตัดหน้าไปด้วยเสียงเย็นชาว่า “เมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่ท่านป้าใหญ่หมั้นหมายข้า พี่สะใภ้ทั้งสามล้วนมีชาติกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ แต่เพราะสามีที่ข้าแต่งด้วยนั้นมิได้เป็นบุตรแท้ๆ ของท่านป้าใหญ่ จึงได้ให้ข้าซึ่งเป็นบุตรสาวชั้นตระกูลใหญ่แต่งเข้ามา ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าในใจท่านป้าใหญ่คิดเห็นเช่นใด?”
เมื่อเอ่ยไปดังนี้ ไม่เพียงทำให้นางหลิวซึ่งอยู่ในห้องต้องโกรธจนหน้าเขียวและพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แม้แต่เว่ยเจิ้งอินที่อยู่ข้างนอกเองก็ยังมีสีหน้างงงันไปเช่นกัน นางกระซิบเสียงเบาเอ่ยถามหลานสาวอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “นะ…นี่ก็คือนางเผย น้องสะใภ้สี่ของเจ้าผู้นั้น?” เดิมทีเว่ยเจิ้งอินเพียงนึกว่าที่บอกว่าเผยเหม่ยเหนียงไม่ดีงาม ก็เพราะนางมีนิสัยคิดเล็กคิดน้อยเท่านั้น แต่เมื่อนางมาอยู่ต่อหน้าจริงๆ อย่างไรก็น่าจะรู้จักเกรงกลัวบ้าง
แต่กลับไม่คิดว่าหญิงผู้นี้จะปากกล้าได้ถึงขั้นนี้ คำพูดเช่นนี้นางก็ยังพูดออกมาต่อหน้าธารกำนัลได้ นี่นางกำลังมุ่งหน้าไปสู่หนทางที่จะทำให้ถูกหย่าร้างและไล่กลับบ้านแล้วใช่หรือไม่? เว่ยเจิ้งอินไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าในตระกูลเลื่องชื่อยังมีคนเช่นนี้อยู่ด้วย…
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มเจื่อนๆ พลางพยักหน้า “เป็นนางเจ้าค่ะ”
“…ข้ารู้แล้วว่าแม่สามีเจ้าล้มป่วยได้อย่างไร” หากเป็นเว่ยเจิ้งอินแล้วมีลูกสะใภ้เช่นนาง ก็คงต้องป่วยหนักอย่างขาดเสียมิได้ เว่ยเจิ้งอินทอดถอนใจ กล่าวว่า “เมื่อสถานการณ์เป็นดังนี้ ข้าก็จะไม่เข้าไปแล้ว จักได้ไม่ยิ่งวางตัวลำบาก… เจ้าสั่งให้คนสักคนพาข้าตรงเข้าไปในห้องของแม่สามีเจ้าทางด้านหลังเถิด ส่วนเจ้าก็เข้าไปช่วยพี่สะใภ้ทั้งสองคนของเจ้าพูดสักหน่อย หาไม่แล้วจะทำให้แม่สามีเจ้านึกว่าเจ้าไม่ยอมออกหน้าช่วยนางเอาได้! ทว่าเจ้าก็เป็นสะใภ้สาม เรื่องใดๆ ก็ให้พี่สะใภ้ทั้งสองคนของเจ้านำหน้า …ข้าดูว่านางเผยผู้นี้หาใช่คนพาลไร้เหตุผลทั่วๆ ไป หากต้องเผชิญหน้ากับคนชนิดนี้ ก็เท่ากับเป็นการลดตัวจริงๆ!”
“ก็มิใช่หรือเจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งถอนใจ แล้วสั่งฉินเกอให้ไปเรียกหม่านโหลวมาพาเว่ยเจิ้งอินเดินอ้อมไปพบฮูหยินซู ส่วนตนเองก็จัดแจงเสื้อผ้า แล้วฝืนเดินเข้าประตูไป…
เมื่อเข้าไปภายในห้อง กลับเห็นว่านางหลิวนั่งอยู่ในที่นั่งรองถัดจากที่นั่งหลักซึ่งฮูหยินซูนั่งประจำไปทางซ้ายมือ ฝั่งตรงข้ามของนางเป็นฮูหยินสูงวัยที่แต่งกายงดงามผู้หนึ่ง นางสวมอาภรณ์และเครื่องประดับงดงามมั่งคั่ง มีใบหน้าละม้ายเผยเหม่ยเหนียงอยู่หลายส่วน น่าจะเป็นมารดาของเผยเหม่ยเหนียง ถัดลงไปก็ยังมีฮูหยินในชุดหรูหรางดงามอีกสองสามคน คาดว่าล้วนเป็นคนตระกูลเผย แต่ละคนมีสีหน้ารู้สึกผิดและกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เผยเหม่ยเหนียงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งถัดออกมาที่สุดกลับเชิดหน้าสูง กำลังเหลียวมองไปซ้ายขวาด้วยใบหน้าที่ปราศจากความกลัวใดๆ ไร้ซึ่งความเสียใจ ไร้ความสำนึกผิด ไม่รู้สึกว่าตนทำความผิดใด ท่าทีเช่นนั้นของนางกลับคล้ายว่านางต่างหากที่เป็นคนที่ถูกรังแกถูกให้ร้ายผู้นั้นเสียเอง และยามนี้กำลังรอให้นางหลิวและ นางตวนมู่ซึ่งนั่งถัดมาจากนางหลิวมาขอขมาตนเช่นนั้น
เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งเข้ามา นางหลิวซึ่งโกรธเสียจนคำพูดจุกปากก็สามารถหาเรื่องพูดได้แล้ว นางจึงยิ้มเยาะแล้วว่า “น้องสะใภ้สามเจ้ามาได้จังหวะพอดี! ชั่วชีวิตข้ายังไม่เคยได้ยินคำพูดไร้แก่นสารเช่นนี้มาก่อนเลย เจ้าน่าจะได้รู้ว่าเมื่อครู่นี้น้องสะใภ้สี่พูดสิ่งใด?”
“คำที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้ พูดอีกทีจะเป็นไรไป?” หารู้ไม่ว่าเว่ยฉางอิ๋งยังไม่ทันตอบความ เผยเหม่ยเหนียงก็กลับแย่งพูดไปเสียก่อน นางเบะปากพลางว่า “ก่อนหน้านี้ ครั้งข้าเพิ่งได้รับการหมั้นหมาย ข้าก็คิดว่าท่านพี่เป็นบุตรชายคนโตของจวนเซียงหนิงปั๋ว ไยจึงมาหมั้นหมายกับข้าซึ่งเป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ให้เป็นภรรยาเอก? ภายหลังในวันแต่งเข้าบ้าน ปรากฏว่าว่าพี่สะใภ้ใหญ่ท่านและพี่สะใภ้รองก็พยายามล้อข้าอยู่ตลอดเวลา… บอกว่าเป็นการล้อเล่น แต่ทั้งกริยาวาจาล้วนดูแคลนถึงชาติกำเนิดของเข้า นึกว่าข้าฟังไม่ออกจริงๆ รึ?”
นางหลิวโกรธเสียจนแทบจะเอาถ้วยชาในมือไปราดบนหัวนาง “วันแต่งเข้าบ้าน…การเย้าหยอกในห้องหอนั้นมิใช่ประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณหรอกหรือไร?! อย่าว่าแต่เป็นเจ้า ต่อให้เป็นพิธีอภิเษกของฮ่องเต้ พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทก็จะต้องกระเซ้าเย้าแหย่กันสองสามคำเช่นกัน! ในห้องหอวันนั้นก็หาได้มีเพียงพวกสะใภ้เราไม่กี่คน ข้าจักบอกเจ้าให้ วันนั้นมีทั้งสาวใช้ บ่าวชราตั้งเท่าใดต่อเท่าที่พากันห้อมล้อมเข้ามาอยู่ทั้งนอกห้องในห้อง ล้วนสามารถเรียกพวกนางเข้ามายืนยันให้ชัดแจ้งได้ว่า พวกเราก็เพียงกระเซ้าเย้าแหย่เจ้าสองสามประโยคเพื่อให้ห้องหอครึกครื้นสักหน่อย หรือว่าดูแคลนชาติกำเนิดของเจ้ากันแน่!”
แล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เจ้าเป็นภรรยาเอกที่ท่านแม่เป็นคนไปหมั้นหมายให้แก่น้องชายสี่ด้วยตนเอง ไม่ว่าเจ้าจะมีชาติกำเนิดอย่างไร เมื่อเข้าประตูตระกูลเสิ่นมาแล้วก็คือคู่สะใภ้ของพวกเรา พวกเราล้วนมีฐานะเดียวกันนั่นก็คือสะใภ้ตระกูลเสิ่น! หากไปเหยียดหยามดูแคลนผู้ใดก็มิเท่ากับไม่เคารพท่านแม่หรอกหรือ? เจ้าลองออกไปถามดูว่าพวกเราสะใภ้ทั้งสองคนนับแต่ออกเรือนมาหลายปีนี้ เคยทำเรื่องไม่เคารพต่อผู้ใหญ่ ไม่รักใคร่คนในรุ่นเดียวกัน ไม่เมตตาคนรุ่นหลังหรือไม่!” ว่าไปพลางตบโต๊ะแรงๆ ไปหนหนึ่ง!
คำกล่าวนี้ทำเอาบรรดาสตรีชั้นสูงแห่งบ้านเผยที่มาในวันนี้ล้วนอับอายจนแทบตาย ฮูหยินที่อยู่ตรงข้ามนางหลิวไม่ได้สนพิธีรีตองใดๆ อีกแล้ว นางลุกพรวดพราดขึ้นอย่างรวดเร็ว ปรี่เข้าไปข้างหน้าเผยเหม่ยเหนียง แล้วตบหน้านางไปหนหนึ่ง ตวาดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ตอนอยู่บ้านเจ้าก็ดีๆ อยู่ แล้วพอออกเรือนเจ้าเกิดบ้าอันใดขึ้นมา?!”
เพื่อให้คนตระกูลเสิ่นคลายโทสะ ที่นางตบไปครานี้จึงไม่เบาเลย หัวของเผยเหม่ยเหนียงถึงกับเอียงไปน้อยๆ แก้มเนียนสีขาวหิมะอมชมพูมีรอยนิ้วมือห้านิ้วปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน ดูไปแล้วน่ากลัวนัก คล้ายว่านางเองก็ถูกตบจนมึนงงไปเช่นกัน พลันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ฮูหยินที่ตบหน้านางอาศัยโอกาสนี้ร่ำไห้และขอขมากับนางหลิวและเว่ยฉางอิ๋ง “ล้วนเป็นเพราะข้าอบรมบุตรสาวไม่ดีเอง จนทำให้บ้านท่านต้องพลอยลำบากไปด้วย ยามนี้ก็ไม่กล้าให้นางอยู่ปรนนิบัติที่เรือนท่านอีกแล้ว พวกเราจะพานางกลับไปเดี๋ยวนี้! วันหลังจึงค่อยมาขอขมา!” เดิมทีหวังว่าหากวันนี้ทำทีเจียมเนื้อเจียมตัวก็จะสามารถแก้ไขเรื่องนี้ไปได้ กลับไม่คิดว่าบุตรสาวตนจะหัวแข็งปานนี้ กลับไปล่วงเกินทุกคนในบ้านสามีจนแทบถึงตาย!
เดิมทีอันดับของตระกูลเผยก็ไม่เทียบเท่าบ้านสามีอยู่แล้ว เผยเหม่ยเหนียงยังมาทำเช่นนี้อีก กลัวว่าตนเองจะไม่ถูกหย่าร้างและส่งตัวกลับบ้านหรือไร? หากมิใช่ว่ายามนี้ยังอยู่ที่บ้านเสิ่น บรรดาญาติผู้ใหญ่ของเผยเหม่ยเหนียงที่อยู่ที่นี่ก็ล้วนอยากจะจับเผยเหม่ยเหนียงมาเค้นถามเสียเดี๋ยวนี้ว่านางไปถูกสิ่งใดครอบงำจิตใจ จึงได้เลอะเลือนจนเป็นเช่นนี้?
วานนี้ ฮูหยินซูล้วนบอกเป็นนัยๆ กับพวกนางหลิวสามสะใภ้ว่าต้องการให้เผยเหม่ยเหนียงหย่าและกลับบ้านไปเสีย แต่ยามนี้เผยเหม่ยเหนียงออกปากตำหนิว่าสาเหตุที่นางเกิดความเคียดแค้นอยู่ในใจก็เพราะตนถูกพวกนางทั้งสองรังแก นางหลิวและนางตวนมู่กลับต้องการจะพูดจาเรื่องนี้ให้ชัดเจนเสียก่อนจึงค่อยปล่อยนางไป ทันใดนั้น นางตวนมู่จึงกล่าวว่า “ฮูหยินหมิ่น ท่านอย่าเพิ่งเร่งร้อน เรื่องนี้ยังไม่ได้พูดให้ชัดแจ้ง …ข้อหาว่าไปรังแกน้องสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านมาใหม่ด้วยทะนงในชาติกำเนิดของตนนี้ ข้าและพี่สะใภ้ใหญ่ล้วนไม่อาจรับได้!”
แล้วหันไปพูดกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “ฮูหยินหมิ่นท่านดูน้องสะใภ้สามของพวกเราผู้นี้ เมื่อครู่บุตรสาวที่รักของท่านต่อว่าข้าและพี่สะใภ้ใหญ่ แต่กลับไม่ได้ต่อว่าน้องสะใภ้สาม คาดว่านางคงคิดว่าน้องสะใภ้สามมิได้รังแกนาง เช่นนั้นยามนี้ก็ให้น้องสะใภ้สามเอ่ยคำอย่างเป็นกลางเถิด ว่าในคืนวันส่งตัวนั้นพวกเราได้ดูแคลนคุณหนูเผยหรือไม่กันแน่?”
เมื่อเห็นว่านางตวนมู่ไม่แม้จะเรียกว่าน้องสะใภ้สี่แล้ว แต่กลับเรียกว่า ‘คุณหนูเผย’ แทน เป็นการแสดงออกว่าต้องการตัดขาดกับนางมากมายเพียงใด? แม้ฮูหยินหมิ่นมารดาของเผยเหม่ยเหนียงบอกออกมาเองแล้วว่าจะพาลูกสาวกลับบ้าน แต่ก็ยังเก็บโอกาสรอดสักเส้นหนึ่งเอาไว้ หวังว่าเมื่อกลับไปแล้วอาจยังสามารถอบรมหรือตบตีนาง อย่างไรก็จะทำให้บุตรสาวยอมอ่อนลงให้จงได้ จากนั้นจึงค่อยมาขอขมาฮูหยินซู นางหลิวและคนอื่นๆ ในภายหลัง บางทีอาจยังมีโอกาสได้เป็นสะใภ้บ้านเสิ่นต่อไป
แต่นางตวนมู่กลับไม่ได้หลงกล ในขณะที่กำลังพูดถึงเรื่องที่นางจะรับบุตรสาวกลับบ้าน นางตวนมู่ก็กลับไม่ยอมรับเผยเหม่ยเหนียงเป็นน้องสะใภ้แล้ว! นางหมิ่นรู้สึกแต่เพียงว่าในสมองวิงเวียนไปหมดจนเกือบจะหมดสติลงไปทันใด สองหูได้ยินเพียงเสียงอื้อๆ ไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดออกมาได้อยู่เป็นนาน ได้แต่มองเหม่อไปยังเว่ยฉางอิ๋งอย่างเลื่อนลอย
ก่อนเว่ยฉางอิ๋งจะเข้ามาก็ถูกเว่ยเจิ้งอินกำชับมาแล้วว่าทุกเรื่องต้องปล่อยให้ นางหลิวและนางตวนมู่ไปจัดการ ตนเองอย่าได้วู่วามออกหน้าเด็ดขาด …ตัวนางเองก็ไม่อยากไปมีเรื่องกับคนที่คบหาลำบากเช่นเผยเหม่ยเหนียงเช่นกัน หรือว่าแค่เพียง จี้ชวี่ปิ้งและกู้หน่ายเจิงยังทำให้นางรำคาญใจไม่พอ?
ไม่คิดว่านางกลับเข้ามาได้จังหวะเสียเหลือเกิน มาถูกนางตวนมู่ผลักให้มาพูดให้เป็นกลางเสียอีก จึงพูดได้แต่เพียงว่า “วันนั้นข้ากลับไม่ได้ยินว่าพี่สะใภ้และพี่สะใภ้รองพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินหมิ่นได้ยินแล้วหรือไม่?” นางตวนมู่ยิ้มหยันพลางมองไปทางคนบ้านเผยทุกคน กล่าวว่า “หากท่านทั้งหลายยังไม่เชื่อน้องสะใภ้สามของพวกเรา…”
“ฮูหยินน้อยรองเอ่ยสิ่งใดกันเจ้าคะ?” นางหมิ่นทั้งโกรธทั้งชิงชังจนพูดไม่ออก คู่สะใภ้ของนางซึ่งนั่งในที่นั่งถัดไปจึงไม่อาจไม่ลุกขึ้นมาตอบแทน พลางยิ้มเจื่อนๆ เป็นการขอขมา …ไม่คิดว่าเผยเหม่ยเหนียงพลันยิ้มเยาะ กล่าวว่า “พี่สะใภ้สามไม่ได้ยินคำที่น้องสาวเจ้าเอ่ย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าในคำพูดที่นางเอ่ยวันนั้นมีความนัยใดแอบแฝงอยู่?”
แล้วหันมามอง เว่ยฉางอิ๋งหนหนึ่ง แค่นเสียงหึเบาๆ กล่าวว่า “ประสาอะไรกับที่พี่สะใภ้สามก็เพิ่งจะแต่งเข้ามาก่อนข้าเพียงสองเดือน ยังนับว่าเป็นคนใหม่ในเรือนแห่งนี้อีกด้วย? แล้วจักกล้าไม่ว่าตามคำพี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองเช่นพวกเจ้าได้อย่างไร?”
คำพูดนี้ทำเอาทุกคนล้วนตกตะลึง รีบหันไปตำหนิว่านางพูดจาส่งเดชสร้างความบาดหมาง นางตวนมู่ทั้งตกใจทั้งเคืองโกรธ บอกว่า “น้องสาวข้า?”
“ลูกผู้น้องฝั่งบิดาเจ้า ตวนมู่อู๋เซ่อ สะใภ้รองของท่านใต้เท้าซ่งเสนาบดีฝ่ายพิธีการ นับแล้วยังเป็นภรรยาของลูกผู้พี่รองของพี่สะใภ้สามอีกด้วย!” เผยเหม่ยเหนียงกุมข้างแก้มแล้วลุกขึ้นยืน จับจ้องไปที่นางตวนมู่ด้วยสายตาไม่เกรงกลัวและไม่เป็นมิตร พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นางเอ่ยกับข้ากับปากว่า สาเหตุที่ฮูหยินท่านราชครูหมั้นหมายข้าเป็นภรรยาของท่านพี่ ก็เพราะข้ามีชาติกำเนิดไม่ทัดเทียมกับพวกเจ้า จึงวางแผนไว้ว่ายามแต่งเข้ามาแล้วก็จะได้รังแกได้ง่ายๆ และได้กดท่านพี่ไปในเวลาเดียวกัน เพื่อมิให้ไปคุกคามต่อฐานะภายในตระกูลของพี่ชายสาม! พี่สะใภ้สามก็เป็นเพียงคู่สะใภ้ของเจ้าเท่านั้น จะใกล้ชิดเท่ากับน้องสาวของเจ้าได้ที่ใด? ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าทั้งสองคนก็ออกจะเก่งกาจ จึงร่วมมือร่วมแรงกันมารังแกพวกเราคู่สะใภ้ทั้งสองคนที่เพิ่งแต่งเข้าใหม่ พี่สะใภ้สามกลัวเจ้า แต่ข้าไม่กลัว! ว่ากันว่าหากไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ ก็จงอย่าทำ! พวกเจ้าแสร้งทำเป็นล้อเล่น ความจริงแล้วกลับซ่อนเจตนาร้าย! หารู้ไม่ว่าข้าได้ฟังความจริงจากตวนมู่อู๋เซ่อมาตั้งนานแล้ว… นึกว่าข้ายังจะถูกพวกเจ้าหลอกเอารึ?”
ยามนั้นถึงคราวนางตวนมู่แทบจะเป็นลมล้มพับไปแทนเสียแล้ว!
____________________________________