ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 123 ข้าใจกว้างนัก!
ตอนที่ 123 ข้าใจกว้างนัก!
Xiaobei
นี่หาใช่เพราะเว่ยฉางอิ๋งแสร้งทำเป็นเฉยชา หากแต่นางดีใจไม่ไหวจริงๆ …เพราะวานนี้มีราชโองการให้องค์หญิงหลินชวนอภิเษกกับกู้เวย บุตรหลานตระกูลกู้แห่งหงโจวออกมาแล้ว
พร้อมๆ กับราชโองการสมรสพระราชทานที่ลงมา ก็ยังมีราชสาส์นถึงราชองครักษ์ที่ได้ตำแหน่งเก้าอันดับแรกด้วย
เดิมทีราชสาส์นนี้ควรจะลงมาตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ด้วยเรื่องการอภิเษกขององค์หญิงหลินชวน ซึ่งราชองครักษ์อันดับต้นๆ เหล่านี้ก็มีรายชื่ออยู่ในตัวเลือกพระสวามีขององค์หญิงด้วย จึงทำให้ล่าช้า …มีราชโองการให้พวกเสิ่นจั้งเฟิงทั้งเก้าคนซึ่งก็คือผู้ที่ประลองต่อหน้าพระพักตร์ได้สิบอันดันแรก …เว้นแต่กู้เวยที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นพระสวามีองค์หญิง ต้องไปประจำการที่ชายแดนในทันใด โดยมีกำหนดสามปี เพื่อไปสร้างผลงานในกองทัพ
ประเด็นหลักก็คือ ในสามปีนี้ ความชอบใดๆ หนึ่งครั้ง ล้วนนับเป็นความชอบสามเท่า
หลังจากครบสามปีก็นำมานับรวมกัน เพื่อกลับมารับบำเหน็จรางวัลเมื่อกลับมาที่เมืองหลวง
เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากชัยชนะครั้งใหญ่ที่ทางเหนือในเฟิ่งโจวเมื่อปีก่อน เมื่อ ฮ่องเต้ทรงทราบว่าซ่งตวนซึ่งสร้างผลงานใหญ่หลวงในศึกครั้งใหญ่ในสิบปีมานี้ที่ต้าเว่ยต่อสู้กับชนเผ่าอื่น เป็นบุตรหลานในวันหนุ่มแน่นของตระกูลซ่งแห่งเจียงหนาน ในขณะที่กำลังยินดีแทบคลั่งจึงทรงเอ่ยชมไปหลายคราว่า ‘เป็นวีรบุรุษอายุโดยแท้’ ภายหลังจึงให้เรียกตัวซ่งตวนเข้าเมืองหลวงมาเข้าเฝ้าฯ …ปรากฏว่า ‘วีรบุรุษอายุน้อย’ ผู้นี้กลับทำให้พวกหรงเคืองแค้นเป็นนักหนา แม้แต่ซ่งหานบิดาของเขาก็ยังถูกพวกหรงลอบสังหารเสียแล้ว…
ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังทรงเสียดายอย่างหนักจนทำให้หมดอารมณ์อยู่นั้น เมื่อมองไปยังราชองครักษ์ที่ถวายงานหน้าพระพักตร์แล้วเห็นว่าแต่ละคนล้วนรูปงามวรยุทธล้ำเลิศไม่ธรรมดา จึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา แล้วสอบถามผู้ที่มาแจ้งข่าวว่า “เมื่อเทียบซ่งตวนกับราชองครักษ์ข้างกายข้าแล้วเป็นเช่นใด?”
ราชองครักษ์ที่ถวายงานหน้าพระพักตร์มีผู้ใดบ้างที่ไม่ใช่บุตรหลานในสายหลักของตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ พวกเขาล้วนเป็นคนรุ่นหลังที่แต่ละตระกูลล้วนให้ความสำคัญและบ่มเพาะมาอย่างดี จึงสามารถเลือกสรรมาอยู่ต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ได้ แม้ผู้มารายงานจะได้รับคำสั่งจากเว่ยฉีว่าต้องชมเชยซ่งหานให้จงหนัก ทว่าก็ไม่ได้หน้ามืดตามัว ย่อมต้องตอบไปว่า “ซ่งหานผู้นี้ถือเป็นวีรบุรุษอายุน้อย ทว่านกทั่วไปหรือจะเทียบแม้เพียงด้านข้างของพญาหงส์? ราชองครักษ์ข้างพระวรกายฝ่าบาทล้วนเหนือกว่าซ่งหานมากนักพะยะค่ะ”
เช่นนั้นเอง ฮ่องเต้จึงรู้สึกว่าสาเหตุที่ในแคว้นจนบัดนี้เพิ่งจะมีชัยครั้งใหญ่ที่เฟิ่งโจว แต่มีข่าวเรื่องความอัตคัดยากแค้นไปทั่ว ล้วนเป็นเพราะผู้มีความสามารถล้วนมาอยู่ข้างกายตน จึงทำให้เกิดความคิดที่จะส่งบรรดาวีรบุรุษอายุน้อยที่คอยถวายงานหน้าพระพักตร์ไปประจำการที่ชายแดน เพื่อแผ่ขยายความเกรียงไกรให้แก่ต้าเว่ย
เพียงแต่สาเหตุที่บรรดาญาติผู้ใหญ่ของราชองครักษ์ที่ถวายงานต่อหน้าพระพักตร์นำบุตรหลานที่ได้รับความสำคัญอย่างยิ่งในตระกูลมาอยู่ใกล้ๆ ฮ่องเต้ ก็ด้วยหวังว่าหอสูงใกล้น้ำจะคว้าดวงจันทร์ได้ก่อน สามารถอาศัยการอยู่ได้หน้าพระพักตร์ ฮ่องเต้ทุกวี่วันหลบเลี่ยงเรื่องลำบากและอยู่อย่างสบายในกลางเมืองหลวง ทั้งยังมีอนาคตที่สดใสงดงาม แต่ยามนี้ฮ่องเต้ต้องการส่งคนเหล่านี้ไปชายแดน …เมื่อฮ่องเต้มีความสนพระทัยดังนี้ขึ้นมา ภายหลังก็จะต้องเลือกราชองครักษ์หน้าพระพักตร์ใหม่เข้ามาถวายงาน และหลงลืมคนเหล่านี้ไปสิ้น แล้วอนาคตของบุตรหลานที่พวกเขาฟูมฟักบ่มเพาะมาจะทำอย่างไร?
ดังนั้นบรรดาญาติผู้ใหญ่ทุกตระกูลจึงพากันเข้ามาทูลทัดทาน …ซึ่งเว่ยฉางอิ๋ง ก็ไม่รู้รายละเอียดของเรื่องนี้นัก สรุปก็คือ อาจเพราะฮ่องเต้ฝากความหวังกับคนมาแจ้งข่าวเกินไป หรืออาจเพราะเลอะเลือน หรืออาจเพราะความสนใจเพียงชั่วครู่ หรืออาจเพราะใจกลางเมืองหลวงก็มีกองกำลังรักษาพระองค์อยู่แล้ว …ไม่ว่าจะอย่างไรเมื่อกลับมาจากไปประจำการที่ชายแดนสามปีนี้ ก็จะมีโอกาสเลื่อนตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้แต่ละตระกูลล้วนพากันแย่งชิงตำแหน่งในการประลองเมื่อวันชูอิกปีที่แล้วอย่างเอาเป็นเอาตาย
ท้ายที่สุด รายชื่อผู้ที่ได้สิบอันดับแรก เรียงตามลำดับจากการประลองในวันชูอิกปีที่แล้วก็คือ เสิ่นจั้งเฟิงจากตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง กู้อี้หรานจากตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง ตวนมู่อู๋ยิวจากตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่ว กู้เวยจากตระกูลกู้แห่งหงโจว เติ้งจงฉีจากตระกูลเติ้งแห่งเมืองหรง ซูอวี๋อู่จากตระกูลซูแห่งชิงโจว หลิวยิ้วเจ้าจากตระกูลหลิวแห่งตงหู เฉียนเลี่ยนจากตระกูลเฉียนแห่งซิงเหอ กู้ซีเหนียนจากตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง เผยไค่จากตระกูลเผยแห่งยิวโจว
ครานี้เป็นเพราะกู้เวยจะสมรสกับองค์หญิงหลินชวน ฮ่องเต้รักใคร่และสงสาร องค์หญิง จึงไม่อาจตัดใจให้ราชธิดาองค์นี้ไปจากเมืองหลวง ทั้งทนเห็นไม่ได้ว่าเมื่อองค์หญิงหลินชวนอภิเษกแล้วก็ต้องพรากจากสวามี ด้วยเหตุนี้จึงอาศัยการอภิเษกเลื่อนตำแหน่งให้กู้เวย เพื่อให้เขาได้อยู่กับองค์หญิงในเมืองหลวง
ดังนั้นคนที่เหลืออีกเก้าคนจึงไม่ได้มีเรื่องดีๆ ที่ไม่ต้องลงแรงแต่กลับได้ผลประโยชน์เช่นนี้ด้วย อย่างไรก็ยังคงต้องไปประจำที่ชายแดนตามการตัดสินพระทัยของฮ่องเต้ เมื่อกลับมาหลังจากสร้างคุณงามความดีสามปีจึงสามารถได้ตำแหน่งและบำเหน็จรางวัลต่างๆ …และก็นับเป็นการพิสูจน์พระปรีชาสามารถของฮ่องเต้ไปในเวลาเดียวกันด้วย
ส่วนเรื่องชายแดนต่างๆ ที่ต้องไปประจำการนั้น ยามนี้ชายแดนทางตะวันตกและทางเหนือของต้าเว่ย แบ่งเป็นตระกูลเสิ่นและตระกูลหลิวคอยประจำการอยู่ ทั้งสองตระกูลล้วนต้องรบราฆ่าฟันกับพวกตี๋และพวกหรงเรื่อยมาตลอดสิบกว่านี้ไม่เคยว่างเว้น ดังนั้นไม่ต้องถามก็รู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงและหลิวยิ้วเจ้าต้องไปที่ใด
ส่วนคนที่เหลือก็กระจายกันออกเป็นสองแห่ง …กู้อี้หราน เติ้งจงฉี และกู้ซีเหนียนไปหัวเมืองฝั่งตะวันตกกับเสิ่นจั้งเฟิง ส่วนตวนมู่อู๋ยิว ซูอวี๋อู่ เฉียนเลี่ยน และเผยไค่ไปตงหูกับหลิวยิ้วเจ้า
ตอนแรกที่ได้รู้การแบ่งสรรกำลังคนเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกงงงันนัก “เหตุใดจึงเอาแต่สนใจพวกชิวตี๋และพวกหรง? แล้วพวกโจรทั่วใต้หล้าเล่า?”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “ใต้เท้าทั้งหลายล้วนเข้าไปกราบทูลว่าก็เป็นเพียงพวกโจรกระจอก สามารถให้เจ้าเมืองและข้าราชการท้องถิ่นปราบปรามได้เอง เมื่อเทียบกับภัยจากพวกชนเผ่าที่ชายแดนแล้ว ก็เป็นเพียงเรื่องระคายหูเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยปากอย่างอดรนทนไม่ไหว “แม้ข้าจะเป็นเพียงสตรีทั่วไป ไม่รู้เรื่องทหารใหญ่โตอันใด ทว่า ระหว่างทางจากเฟิ่งโจวมาแต่งงานที่เมืองหลวงครานั้น ข้าได้เห็นได้ฟังมาว่าโจรส่วนมากเดิมทีก็เป็นชาวบ้านธรรมดา เพราะไร้เสื้อผ้าอาหาร อับจนหนทางจนต้องกลายเป็นโจร แต่ในขณะเดียวกันก็มีไร้นาที่อุดมสมบูรณ์มากมายที่ถูกพวกขุนนางโฉดขูดรีดจนทำได้เพียงต้องทิ้งไร่น่าเป็นไปเวลานาน ใต้หล้าล้วนเป็นดังนี้ หากยังไม่ปราบปรามและสร้างความสงบสุข เกรงว่าจะไม่ใคร่ดีกระมัง?”
“คำพูดนี้อย่าไปเอ่ยข้างนอกเล่า” แม้น้ำเสียงของเสิ่นจั้งเฟิงจะอ่อนโยน ทว่าแววตากลับเคร่งเครียดเสียยิ่งนัก “ฮ่องเต้ไม่โปรดฟังคำเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องโจรผู้ร้ายที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง หากจะปราบปรามก็ต้องใช้เวลายาวนาน และได้ความชอบเพียงน้อยนิด แล้วผู้ใดจะยอมไปทำเล่า?”
เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปากพูดไม่ออก ก่อนหน้านี้ เมื่อฮ่องเต้คิดจะส่งราชองครักษ์ข้างกายไปสร้างความชอบที่ชายแดน ก็ล้วนถูกตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ทูลทัดทานแล้ว จนกระทั่งฮ่องเต้ทรงให้คำสัญญาว่าความชอบที่ได้มาจะนับเป็นสามเท่า แต่ละตระกูลก็กลับเริ่มแย่งชิงกันขึ้นมา …ฮ่องเต้ไม่โปรดฟังคนพูดว่าในแคว้นมีโจรผู้ร้ายชุกชุม แต่กลับโปรดจะฟังรายงานเรื่องเผ่าอื่นๆ เบื้องบนมีสิ่งที่โปรดปราน ชนชั้นล่างได้ผลประโยชน์ ดีชั่วอย่างไรผู้ที่ขัดสนจนแทบมีชีวิตอยู่ไม่ได้ในยามนี้ก็คือชาวบ้าน เหล่าตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ยังคงมีอาภรณ์ชั้นเลิศอาหารชั้นยอด เมื่อฮ่องเต้โปรดความชอบทางด้านใด แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องส่งบุตรหลานไปทำทางด้านนั้น…
ส่วนพวกชาวบ้านต่ำต้อยที่กำลังจะขาดใจตาย อย่างไรเสียพวกขุนนางชั้นสูงที่วันๆ อยู่แต่ในภายในเรือนโอ่อ่าก็มีโอกาสได้เห็นกับตาน้อยเต็มทน หรือต่อให้ได้เห็นแล้ว ก็ยังคงมีเจ้าเมืองที่สามารถผลักภาระหรือเอาไว้โยนความผิดให้ได้
ทว่าต่อให้สงสารเหล่าชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยาก ซึ่งนางได้พบเห็นตลอดทางครั้งมาแต่งงานที่เมืองหลวงอีกมากมายเพียงใด ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่อาจเอ่ยปากออกมาว่าให้เสิ่นจั้งเฟิงละทิ้งอนาคตอันยิ่งใหญ่ที่จะไปสร้างผลงานที่ซีเหลียง แล้วให้มาปราบปรามพวกโจรในแคว้นแทน ฟังออกว่าข้อเสนอที่ว่าความชอบจะได้มาสามเท่าตัว อีกทั้งต้องพิจารณาจากผลงานในการต่อสู้กับพวกตี๋และหรงนี้ เสิ่นเซวียนจะต้องออกแรงไปไม่น้อย
ราชองครักษ์ที่ถวายงานหน้าพระพักตร์ต้องไปสร้างความชอบที่ชายแดนในครานี้ ดูไปแล้วคล้ายว่านอกจากกู้เวยซึ่งเป็นว่าที่พระสวามีองค์หญิงแล้ว ก็มีคนอีกเก้าคน ความจริงแล้วพูดได้ว่ามีเพียงสองคน ซึ่งก็คือ
เสิ่นจั้งเฟิง และหลิวยิ้วเจ้า
อย่างไรเสียในพื้นที่ของซีเหลียงและตงหู ไม่ว่าผู้ใดในทั้งเก้าคนนี้สามารถสร้างคุณงามความดีได้ ผลงานหลักๆ ก็ต้องยกให้แก่เสิ่นจั้งเฟิงและหลิวยิ้วเจ้าไป …เสิ่นหลิวกินเนื้อ นอกนั้นดื่มน้ำแกง ในสายพระเนตรของฮ่องเต้ นี่คือการส่งผู้มีความสามารถที่ถวายงานใกล้ตัวไปสร้างความเกรียงไกรให้แก่แคว้น แต่ในสายตาของเหล่าตระกูลสูงศักดิ์แล้ว กลับเป็นโอกาสดีเยี่ยมในการบ่มเพาะบุตรหลาน ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากร่วมใจกันไปเกลี่ยกล่อมฮ่องเต้ได้สำเร็จแล้ว ต่างฝ่ายก็ต่างแบ่งสรรปันส่วนโอกาสในครานี้อย่างเด็ดขาดตรงไปตรงมานัก
ด้วยเหตุที่ตระกูลหลิวมีการต่อสู้ภายในตระกูล หลิวซีสวินที่เดิมทีเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของตระกูลต้องพลาดท่าอย่างคาดไม่ถึง ไม่ได้โอกาสในคราวนี้ จึงทำได้เพียงปล่อยให้หลิวยิ้วเจ้ารับโอกาสนี้ไปแทน
ส่วนตระกูลเสิ่น ด้วยความสัมพันธ์พี่น้องเสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้วเหนียวแน่นนัก ต่างร่วมใจเป็นหนึ่งบ่มเพาะเสิ่นจั้งเฟิง จนทำให้เสิ่นจั้งเฟิงได้อันดับหนึ่งได้อย่างราบรื่น และสามารถคว้าโอกาสแสนงามในการหาความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วเอาไว้ได้อย่างแม่นมั่น
จะว่าไปแล้วเสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้วเองล้วนยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ แต่สาเหตุที่พวกเขากำหนดให้เสิ่นจั้งเฟิงรับช่วงต่อหมิงเพ่ยถังเสียแต่เนิ่นๆ ก็เพื่อให้เขาสามารถสร้างชื่อเสียงความเกรียงไกรให้เร็วที่สุด โอกาสแสนงามครานี้ก็ไม่รู้ว่าทั้งเสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้วต้องแลกมากับสิ่งใดบ้าง ต้องลงทุนลงแรงไปมากมายเท่าใด สองพี่น้องต้องร่วมมือกันขัดแข้งขัดขาเหล่าตระกูลบู๊บุ๋นทั่วสารทิศเพื่อให้ช่วงชิงโอกาสนี้มาได้ แล้วผู้ใดจะกล้าไปขัดขวาง อย่าว่าแต่ลูกสะใภ้เลย แม้แต่ฮูหยินซูเอง เสิ่นเซวียนก็จะต้องไม่ยอมให้แน่
ยิ่งไปกว่านั้น เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่ยินยอมจะเสียสละอนาคตอันรุ่งโรจน์ของสามีด้วย …แผ่นดินนี้ เป็นแผ่นดินของฮ่องเต้ หาใช่แผ่นดินของตระกูลเสิ่น ฮ่องเต้ล้วนไม่สนใจความเป็นตายของราษฎร ต่อให้ผู้อื่นไปสนใจแล้วจะทำได้สักเท่าใด?
นางนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ข่มความทุกข์ในใจเอาไว้ แล้วจึงเอ่ยออกไปว่า “จะไปยามใดเล่า?”
“คงในสองวันนี้แล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงรู้ว่านางอาลัยอาวรณ์ พลันเอื้อมมือไปจัดมวยผมให้นาง เอ่ยปลอบโยนว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล พวกเราล้วนยังหนุ่มยังสาว เวลาสามปีจะว่าไปก็ไวนัก รอข้ากลับมาแล้ว หากวันหน้าต้องไปจากเมืองหลวงอีก ก็สามารถเอาเจ้าไปด้วยได้”
เว่ยฉางอิ๋งอดถามไม่ได้ว่า “ครานี้ไม่อาจพาข้าไปด้วยหรือ?” เมื่อถามคำถามนี้ออกไปก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย สองแก้มนางพลันแดงขึ้นมา ตามองไปยังดอกไม้ในแจกันที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก พึมพำเสียงเบาว่า “เอ่อ ข้าไม่เคยไปที่ซีเหลียง อยากรู้นักว่าที่นั้นเป็นที่เช่นใด…”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางหยิกแก้มนางหนหนึ่ง กล่าวว่า “ที่นี่ก็หามีผู้อื่นอยู่ เจ้าอาวรณ์ข้าก็ยังอายจะบอกหรือ?” แล้วว่า “ซีเหลียงหนาวเหน็บแสนสาหัส กลัวว่าเจ้าจะปรับตัวกับสภาพอากาศที่นั่นไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่ได้รับพระราชโองการครานี้ ท่านพ่อคิดว่าให้ข้าไปผู้เดียวเป็นดี อย่างไรเสียพวกตี๋ก็ออกปล้นสะดมไปทั่วทิศ เมื่อข้าไปถึงที่นั่นแล้วก็เกรงว่าต้องอยู่อย่างไม่เป็นหลักแหล่ง ต่อให้เจ้าไปที่ซีเหลียง โดยมากแล้วคงต้องอยู่แต่ภายในจวน ต้องรออยู่เปล่าๆ ไม่ได้พบหน้าไม่ได้สนทนากันยังไม่ว่า ญาติพี่น้องในสายที่แตกแขนงออกไปก็ล้วนไม่เคยคุ้น มิสู้อยู่ที่เมืองหลวง”
เว่ยฉางอิ๋งเองก็เคยได้ยินฮูหยินซูเอ่ยว่า แม้ตระกูลเสิ่นจะมีสายหลักในนามหมิงเพ่ยถังเพียงสายเดียว ทว่าสายรองต่างๆ ก็มิใช่ว่าจะไม่คิดอ่านเป็นอื่น สมัยนั้นเพราะปู่ของเสิ่นจั้งเฟิงเสียไปเร็ว เหลือเพียงเสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้วสองพี่น้อง พี่น้องทั้งสองคนคอยประคับประคองซึ่งกันและกัน ต้องคอยระมัดระวังอย่างมากอยู่หลายปีจึงสามารถทำให้ตำแหน่งประมุขของตระกูลมั่นคงอยู่ได้
เพียงคิดก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของคนตระกูลเสิ่นที่อยู่ทางซีเหลียงกับราชครูและเซียงหนิงปั๋วที่เมืองหลวงทั้งสองจวนนี้จะต้องไม่ใคร่ดีนัก
บวกกับซีเหลียงหนาวเหน็บแสนสาหัส ย่อมไม่สู้อยู่ในเมืองหลวง
“ผู้ใดอาลัยอาวรณ์เจ้ากัน?” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเสียใจอยู่ในใจ แต่กลับกรอกตาขาวใส่เขาหนหนึ่ง แต่กลับพุ่งตัวตามเข้าไปในอกเขา แค่นเสียงหึๆ ว่า “ข้าคิดว่า เจ้าไปครานี้ก็ต้องไปถึงสามปี สามปีจากนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะพาน้องสาวกี่คนกลับมาให้ข้า? ไม่แน่ว่าเมื่อเจ้ากลับมาก็อาจมีคนต้องเรียกข้าว่าแม่แล้ว? หืม?”
พูดไปพลาง เอื้อมแขนไปโอบเอวเขาไปพลาง
มือหนึ่งเสิ่นจั้งเฟิงกอดนางเอาไว้ อีกมือหนึ่งก็เล่นพู่ที่ห้อยลงมาจากเสื้อสาบเสื้อของนาง ยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่ง กล่าวว่า “ดีล่ะ สามียังหลงนึกว่าที่อิ๋งเอ๋อร์กังวลใจมากมายเพียงนี้ ด้วยอาลัยอาวรณ์สามี แต่ที่แท้กลับเป็นเพราะความหึงหวง กลัวว่าสามีจะรับอนุที่ซีเหลียงรึ?”
จึงกระเซ้านางว่า “เช่นนั้นครานี้เจ้าก็อยู่กับสามีให้ดี เพื่อให้สามีคอยคิดคำนึงถึงแต่สิ่งดีๆ ของเจ้า พอไปถึงซีเหลียงแล้วก็จะได้ไม่ชายตาแลสตรีที่นั่น?” พูดไปพลาง มือไม้ก็อยู่ไม่เป็นสุขขึ้นมา
“ความจริงแล้วในสามปีที่เจ้าต้องไปนี้ จะรับสักคนสองคนไว้ปรนนิบัติ ก็มิเป็นไร” เว่ยฉางอิ๋งกรอกตาไปมา เงยหน้ามองเขา
เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งอึ้ง จู่ๆ ก็หยุดมือไม้ลงทันใด จากนั้นก็หัวเราะพลางว่า “คราก่อนที่ ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ พวกหญิงเก็บบัวเหล่านั้นเย้าแหย่สามีไม่กี่คำ อิ๋งเอ๋อร์ก็ยังทนไม่ไหวแล้ว ยามนี้ไยจึงใจกว้างนัก?”
“ความจริงข้าเป็นคนใจกว้างยิ่งนักเสมอมา! แต่หญิงเก็บบัวเหล่านั้นหน้าตาอัปลักษณ์ แล้วจะคู่ควรกับท่านพี่ของเข้าได้อย่างไร?” เว่ยฉางอิ๋งพูดเสียงหวานว่า “ท่านพี่ ท่านว่าถูกหรือไม่?”
“เมื่อว่ามาดังนี้แล้ว หากผู้ที่มาเย้าแหย่สามีเป็นหญิงหน้าตางดงาม อิ๋งเอ๋อร์ก็จะไม่ถือสาแล้ว?” เสิ่นจั้งเฟิงขยับเข้ากระซิบข้างหูนางด้วยเสียงแหบพร่า จากนั้นก็จูบที่หลังใบหูนาง
เว่ยฉางอิ๋งปล่อยให้เขาทำตามใจ ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ ท่านพี่ท่านหล่อเหลาองอาจไม่ธรรมดา สตรีในตระกูลสูงศักดิ์ที่แอบชื่นชมท่านก็ไม่รู้ว่ามีอยู่เท่าใด ประสาอะไรกับสตรีที่มีฐานะต่ำต้อย? หากมิใช่หญิงงามอันดับหนึ่ง แล้วจะคู่ควรเป็นอนุของท่านได้อย่างไร? พวกหญิงเก็บบัวที่ได้เจอก่อนหน้านี้หน้าตาอัปลักษณ์เป็นหนักหนา หากรับเข้าบ้านมา พอพูดออกไปแล้วก็ล้วนทำให้ท่านเสียหน้า…”
“อิ๋งเอ๋อร์พูดมีเหตุผลนัก” เสิ่นจั้งเฟิงพลันเงยหน้าขึ้นมา แล้วพูดด้วยสีหน้าขึงขังว่า “ทว่าจนใจเหลือที่หัวใจของสามีล้วนผูกแน่นอยู่ที่ตัวอิ๋งเอ๋อร์ ไม่มีแก่ใจจะรับอนุจริงๆ”
เว่ยฉางอิ๋งเอียงตาแลเขาแล้วเอ่ยอย่างไม่เชื่อว่า “ไม่รับ?”
“ใช่ ไม่รับแน่นอน!” เสิ่นจั้งเฟิงพูดอย่างหนักแน่น
เว่ยฉางอิ๋งถอยหายใจครั้งหนึ่ง เอื้อมมือไปประคองหน้าเขาไว้ เอ่ยด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้นว่า “ท่านพี่ เช่นนี้จะไม่ทำให้ท่านต้องกล้ำกลืนฝืนเกินไปหรือ?”
“เจ้าและข้าเป็นสามีภรรยา ไยต้องเอ่ยคำเกรงใจเช่นนี้?” เสิ่นจั้งเฟิงเองก็จดจ้องนางด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้น พลางเอ่ยด้วยใจจริงว่า “ความรู้สึกที่สามีมีต่ออิ๋งเอ๋อร์ ฟ้าดินเป็นพยานได้ ดวงตะวันดวงเดือนบ่งบอกได้ ไปซีเหลียงครานี้ก็เพียงแค่สามปี จะมีใจเป็นอื่นได้อย่างไร? อิ๋งเอ๋อร์ก็ดูแคลนสามีเกินไปแล้ว! ว่ากันว่า ‘เคยชมทะเลกว้าง ยากชื่นชมน้ำแหล่งอื่น นอกจากเมฆาบนเขาสูง เมฆาอื่นไม่จับตา’ นับแต่สามีได้พบเจ้า ดวงตานี้ก็ไม่อาจมีคนที่สองได้อีก!”
“คำนี้ของท่านพี่ทำให้ข้าซาบซึ้งใจนัก!” เว่ยฉางอิ๋งประคองหน้าเขาต่อไป พลางเอ่ยด้วยดวงตาแสนอ่อนโยนหมื่นเท่าพันทวี
เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “อิ๋งเอ๋อร์!”
“หืม?” เว่ยฉางอิ๋งกระพริบตาทั้งใบหน้าไม่รู้ไม่ชี้
ว่าแล้วเสิ่นจั้งเฟิงก็พูดเอาใจว่า “ในเมื่ออิ๋งเอ๋อร์ซาบซึ้งเพียงนี้แล้ว เช่นนั้น… ปิ่นปลายแหลมที่จ่ออยู่ที่ด้านหลังตรงหัวใจสามีตั้งแต่เมื่อครู่นี้ ก็เอาลงได้แล้วกระมัง?
______________________________________