ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 132 ศิษย์แสนดี (2)
ตอนที่ 132 ศิษย์แสนดี (2)
Xiaobei
“ถ้าอาจารย์เป็นเพียงองครักษ์ธรรมดา แล้วตระกูลเว่ยมีองครักษ์ตั้งมากมาย เหตุใดจึงต้องมาเลือกอาจารย์ไปให้เป็นครูฝึกของฮูหยินน้อยเล่า?” จูเหล่ยรีบยอเขาเข้าไปอีก กล่าวว่า “อาจารย์มีหน้ามีตาและวรยุทธที่ไม่ธรรมดา ทั้งเปี่ยมด้วยความห้าวหาญ! วรยุทธล้ำเลิศ มีอายุแต่ยังแข็งแรงนัก ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นคนดีมีน้ำใจมีคุณธรรม! ถือเป็นชายที่แม้จะจุดโคมหาไปทั่วก็ยังหาได้ยากยิ่ง! หาไม่แล้ว ท่านอาเฮ่อที่คอยติดตามฮูหยินน้อยเรื่อยมา ก็มิใช่ว่าไม่เคยพบเห็นงานใหญ่โต เหตุใดสิบกว่าปีมานี้กลับเอาแต่รักอาจารย์เสมอมา?!”
“แม้จะเป็นดังนี้” จูเหล่ยเป็นคนที่เจียงเจิงอบรมเลี้ยงดูมาจนโต จึงรู้ดีกว่าสิ่งที่อาจารย์ภาคภูมิใจเป็นที่สุดก็คือวรยุทธของตนและทะนงในความเป็นคนดีอยู่ในทำนองคลองธรรม รู้จักแยกแยะบุญคุณความแค้น มีน้ำใจมีคุณธรรม คำพูดนี้เรียกว่าพุ่งตรงเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจของเจียงเจิงเลยทีเดียว พอจิตใจของเจียงเจิงร้อนระอุขึ้นมา ก็ยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าสูงวัยของตน เมื่อคิดถึงว่าตนเองต้องล้มลุกคลุกคลานมาตลอดชีวิต ก็อดจะเอ่ยระบายความในใจนานาออกมาไม่ได้ “แต่ยามนี้ อาจารย์ก็แก่แล้ว”
จูเหล่ยตอบไปทันใดว่า “แม้อาจารย์จะพอมีอายุบ้างแล้ว ทว่าเพราะฝึกวรยุทธมานานปี ดูไปแล้วกลับเหมือนเป็นศิษย์พี่ของศิษย์เช่นนั้น! ไม่ได้ดูแก่เลยสักนิด!”
เจียงเจิงถลึงตาใส่เขาหนหนึ่ง “พูดจาอย่างไรกัน? อาจารย์เป็นศิษย์พี่ของเจ้า?!”
“อาจารย์ไม่เชื่อ ศิษย์สามารถไปเรียกเวยเวยน้อยมาได้” จูเหล่ยยิ้มสู้ กล่าวว่า “เด็กเล็กๆ ล้วนพูดความจริง ลองถามเวยเวยน้อยดูว่าอาจารย์ดูแก่หรือไม่ก็รู้แล้ว!” เขารู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาในใจเล็กน้อย รู้แต่แรกน่าจะเหลือขนมเปี๊ยะไส้ข้าวเหนียวกุหลาบไว้สักก้อนสองก้อนคงดี ยามนี้ไม่แน่ว่ายังต้องวิ่งกลับไปอีกสักรอบ ดีที่เวยเวยน้อยไม่เลือกกิน ขนมส่วนใหญ่ก็กินได้ทั้งหมด …อีกประเดี๋ยวไปซื้ออะไรสักเล็กน้อยมาหลอกเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้ดีนะ?
เอาเปาะเปี๊ยะสดที่อยู่ตรงข้ามปากทาง หรือว่าแป้งนึ่งที่อยู่ถัดไปถนนหนึ่งดี? หรือจะไปซื้อไก่ย่างสักตัวมาเสียเลย เวยเวยน้อยตัวเล็กเพียงนั้น ฉีกเนื้อให้นางสักหน่อย ที่เหลือก็ให้ตัวเองกิน…
“เอาล่ะ เอาล่ะ!” เจียงเจิงนิ่งเงียบอยู่เป็นนานพลางเอ่ยออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว “เรื่องนี้…อื่ม ค่อยว่ากันที่หลังเถิด! ยามนี้อาจารย์ต้องการรักษาอาการบาดเจ็บให้ดีๆ เรื่องพวกนี้… อื่ม… ยังจัดการไม่ได้หรอก เอาตามนี้ เอาตามนี้” พูดจบก็เอนหลังลงไป
จูเหล่ยได้รับการเลี้ยงดูดังบุตรชายของอาจารย์ แล้วจะไม่เข้าใจดีได้อย่างไรว่า เจียงเจิงเริ่มหวั่นไหวแล้ว ทว่าก็รู้สึกว่าเรื่องราวใหญ่โตเกินไป จึงยังไม่อาจตัดสินใจได้ในทันใด?
แต่ในเวลาเช่นนี้แล้ว หากไม่ตีเหล็กตอนร้อนๆ ภายหลังเมื่ออาจารย์เข้าใจเรื่องต่างๆ ขึ้นมา ทั้งยังรักษาอาการบาดเจ็บจนหายแล้ว อาจารย์จะต้องตีเขาเหมือนตีเหล็กเป็นแน่!
จูเหล่ยจึงตัดสินใจว่าจะย้ำเตือนเรื่องนี้ไปอีก “อาจารย์ ปกติแล้วท่านมิใช่สอนสั่งศิษย์เสมอมาว่า ชาวยุทธเช่นเราต้องยึดถือเรื่องบุญคุณความแค้น และเมื่อมีบุญคุณต้องทดแทนความแค้นต้องชำระ! ก็เหมือนกับครานี้ที่อาจารย์ทนให้องค์รัชทายาทป้ายสี ก็เพื่อจะทดแทนบุญคุณตลอดหลายสิบปีของตระกูลเว่ย! หาไม่แล้วด้วยกำลังยุทธของอาจารย์ มีหรือจะปล่อยให้พวกบ่าวเล็กๆ เหล่านั้นขององค์รัชทายาทมาลบหลู่ได้? มีแต่จะให้เจ้าพวกตัวเล็กๆ นั่นตายอย่างน่าอนาถเท่านั้น!”
เจียงเจิงรีบพลิกตัวมาตำหนิเขา “เจ้า ไอ้เจ้าคนไม่ได้ความ! คำพูดเช่นนี้เพียงคิดเป็นพอแล้ว สามารถพูดออกมาได้ที่ใด?”
“อาจารย์โปรดระงับโทสะ!” จูเหล่ยวางท่าทีได้ดียิ่งนัก เขารีบขอรับผิดในทันใดแต่จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “เพียงแต่ ศิษย์ไม่เข้าใจความคิดอ่านของอาจารย์ ก็ในเมื่ออาจารย์เห็นแก่บุญคุณที่ตระกูลเว่ยดูแลมาตลอดหลายสิบปี แล้วน้ำใจรักตลอดสิบกว่าปีของท่านอาเฮ่อ ไยอาจารย์จึงทนดูดายอยู่ได้? ทำให้หญิงที่มีใจมั่นคงเฝ้ารออย่างไรจุดหมาย แต่ก็จงใจทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น นี่เป็นการกระทำของชายชาตรีหรือขอรับ?”
เจียงเจิงขมวดคิ้วนิ่งเงียบ
จูเหล่ยพูดต่ออีกว่า “หากนับไปแล้วอายุของท่านอาเฮ่อก็มากแล้ว ศิษย์คิดว่าว่านางดูแล้วยังสาว แต่ไม่ว่าอย่างไรยามนี้ก็คงจะใกล้สี่สิบแล้วกระมัง? คนในวัยนี้…”
เจียงเจิงโพล่งออกมาโดยไม่ทันคิด “ครั้งหนึ่งเคยได้ยินคนพูด ปีนี้นางน่าจะสามสิบเจ็ด”
“สามสิบเจ็ด!” จูเหล่ยเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขังว่า “อาจารย์ขอรับ ความสาวของสตรีมีค่าปานใด? ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอาเฮ่อก็อายุไม่น้อยแล้ว นับแต่ฮูหยินน้อยออกเรือนก็คิดให้ท่านอาเฮ่อแต่งงานอีกครั้ง แต่จนยามนี้ก็ยังไม่มีวี่แววใดๆ …ดูท่าแล้วคงเพราะ ท่านอาเฮ่อปฏิเสธ! ท่านอาเฮ่อเป็นถึงแม่นมของฮูหยินน้อย หากข่าวนี้แพร่ออกไป ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น ลำพังแค่เป็นแม่บ้านซึ่งเป็นบ่าวติดตามของฮูหยินน้อย เกรงว่าต้องมีหลายคนคิดอยากแต่นางเป็นเมียเพื่อเอาใจท่านอาเฮ่อ! หากมิใช่ว่าในใจคำนึงถึงเพียงอาจารย์ ท่านอาเฮ่อจะคอยปฏิเสธครั้งแล้วก็ครั้งเล่าหรอกหรือขอรับ?”
“ยิ่งไปกว่านั้นตามคำของท่านอาหวง ก็เป็นฮูหยินน้อยไปสอบถามความรู้สึกของท่านอาเฮ่อเอง อาจารย์ขอรับ! ดูท่าว่าฮูหยินน้อยเองก็ร้อนใจแล้ว หาไม่แล้ว จะให้พวกเราศิษย์อาจารย์ล่วงรู้เรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร??”
เดิมทีเจียงเจิงก็ถูกข่าวคราวนี้ทุบเสียจนออกจะหัวหมุนตาลาย ยามนี้ทั้งถูกจูเหล่ยซักไซ้ทั้งพูดจาลึกซึ้งนานาใส่ไปอีกยกใหญ่ จับต้นชนปลายไม่ถูกแต่ก็ยังรู้สึกว่าคล้ายตนเองจะทำไม่ค่อยถูกนัก จึงพูดติดๆ ขัดๆ ไปว่า “แต่อาจารย์อายุมากแล้ว เดิมทีก็ตัดสินใจว่าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องแต่งงานอีก เพียงแต่คอยดูแลเจ้าจนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว มองดูเจ้าสร้างเนื้อสร้างตัวก็นับว่าสมปรารถนาแล้ว…”
“อาจารย์ท่านช่างเลอะเลือนนัก!” จูเหล่ยเอ่ยออกมาอย่างแทบจะร้องห่มร้องไห้ “อาจารย์คอยคิดถึงแต่ศิษย์ แล้วศิษย์จะทนดูอาจารย์โดดเดี่ยวไปชั่วชีวิตได้หรือ? ยามนี้ศิษย์กล้าชี้นิ้วขึ้นฟ้าสาบานว่า ศิษย์จะกตัญญูต่ออาจารย์ประหนึ่งบิดาแท้ๆ! หากอาจารย์แต่งกับอาจารย์หญิง ศิษย์ก็จะมองนางประหนึ่งมารดาแท้ๆ เช่นกัน!”
แล้วว่า “อาจารย์ไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรคิดถึงอาจารย์ปู่บ้างนะขอรับ! อาจารย์ปู่มีอาจารย์เป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ศิษย์ต้องคอยจุดธูปให้ตระกูลจู ไม่อาจเปลี่ยนมาแซ่เจียง อย่างมากก็ทำได้เพียงวันหน้าเลือกบุตรชายสักคนมาเป็นบุตรบุญธรรมคอยจุดธูปให้อาจารย์ แต่อย่างไรก็ไม่ใช่คนสกุลเจียงที่แท้จริง หากศิษย์มิได้พบคนสักคนที่มีใจจริงต่ออาจารย์เช่นท่านอาเฮ่อก็ยังแล้วไป แต่ในเมื่อวันนี้ได้พบแล้ว ศิษย์ยังคงเอาแต่นั่งมองอาจารย์พลาดโอกาสดีนี้ไป แล้วภายภาคหน้าศิษย์จะมีหน้าไปพบอาจารย์ปู่ในปรโลกได้อย่างไร? หากอาจารย์เลยผ่านหมู่บ้านของท่านอาเฮ่อไปแล้ว ก็จะไม่มีร้านของท่านอาเฮ่ออีกแล้วนะขอรับ!”
เจียงเจิงลังเลอยู่เป็นนาน กล่าวว่า “แต่นางเฮ่อเป็นคนร้ายกาจดุร้าย หากวันใดนางแต่งเข้ามาแล้วไม่ดีต่อเจ้า…”
“อาจารย์หญิงสอนสั่งศิษย์ย่อมเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ศิษย์จะไม่บ่นแม้แต่คำเดียว!” จูเหล่ยเอ่ยอย่างหนักแน่นเป็นตะปูตรึงท่อนเหล็ก!
เจียงเจิงจึงว่า “อาจารย์แก่แล้ว แม้ยามนี้จะแต่งเมียมีลูก เกรงว่าภายภาคหน้าก็ยากจะทันอยู่เห็นลูกสาวลูกชายโตเป็นผู้ใหญ่”
“อาจารย์อายุมากแต่ยังแข็งแรงนัก มีเรื่องใดต้องกลัว?” จูเหล่ยย้อนถาม “หากอาจารย์ไม่วางใจ ศิษย์ยังสาบานได้อีกว่า บุตรของอาจารย์ก็เหมือนน้องชายแท้ๆ ของศิษย์ บุตรสาวของอาจารย์ก็เหมือนน้องสาวแท้ๆ ของศิษย์ด้วย! วันหน้าหากอาจารย์มีเรื่องใดขัดข้อง อาจารย์เลี้ยงดูศิษย์มาอย่างไร ศิษย์ก็จะดูแลพวกเขาเช่นนั้น! หากผิดคำสาบาน…”
เจียงเจิงอดร้องห้ามเขาไม่ได้ “อาจารย์ก็พูดไปเช่นนั้นเอง เจ้าไม่ต้องมาสาบดสาบานอันใด!”
แม้จะว่าไปดังนั้น แต่เจียงเจิงก็ยังรู้สึกประทับใจอยู่ภายในใจนัก …เขานิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานจึงว่า “เอาเถิด เห็นแก่ที่เจ้าขอร้องนักหนา ยิ่งไปกว่านั้นนางเฮ่อนี่ก็รักใคร่อาจารย์มาหลายปี น่าสงสารยิ่งนัก อาจารย์ก็จะเมตตานาง รอจนอาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้ว ก็จะไปเอ่ยเรื่องขอแต่งงานกับฮูหยินน้อยก็แล้วกัน!”
จูเหล่ยยินดีเสียจนแทบหลั่งน้ำตา เอ่ยชมไปหนแล้วหนเล่าว่า “อาจารย์สมเป็นชายชาตรีจริงๆ ขอรับ!”
“เอาล่ะ จวนถึงเวลาเจ้าต้องฝึกวรยุทธแล้ว อย่ามาเสียเวลากับเรื่องนี้เลย” เจียงเจิงมองที่ถังทองแดงหยดน้ำที่มุมห้องหนหนึ่งพลางเอ่ยไล่คน “เจ้าไปเถิด อาจารย์จะนอนพักสักหน่อย”
เมื่อไล่จูเหล่ยไปแล้ว เจียงเจิงจึงมาใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ …เพราะก่อนหน้านี้ถูก จูเหล่ยพูดจาโน้มน้าว เจียงเจิงเองก็รู้สึกว่านางเฮ่อต้องแอบรักตนมาหลายปีแล้วเป็นแน่ … สำหรับคนสักคน โดยเฉพาะกับคนที่เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว และพบว่ามีคนเพศตรงข้ามที่อายุอ่อนกว่าตนสิบกว่าปี มีฐานะไม่ต้อยไปกว่าตน และหน้าตาก็ยังไม่ย่ำแย่ คนผู้นี้แอบรักตนเองมาสิบกว่าปี นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นตะลึงและน่าภูมิใจยิ่ง…
ครั้งจูเหล่ยยังอยู่ก่อนหน้านี้ เจียงเจิงยังวางท่าสงบ ยามนี้ไล่ศิษย์ออกไปแล้ว เจียงเจิงจินตนาการถึงนางเฮ่อตั้งแต่ที่นางได้พบเขาก็ล้วนมีท่าทีดุร้ายน่ากลัวนักหนา แต่ภายหลังกลับมายืนอยู่ตรงหน้าตนด้วยท่าทีเหนียมอาย เอ่ยทักทายตนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล ทั้งยังมาปรนนิบัติตนเองอย่างประจบเอาใจเป็นหนักหนา… รู้สึกแต่เพียงว่าภาพตลอดสิบกว่าที่เขาถูกนางเฮ่อด่าทอเสียจนเมื่อเห็นนางก็รู้สึกปวดหัว ได้ยินเสียงนางก็แทบจะกระโดดกำแพงเดินอ้อมไปนั้นหายวับไปกับตา!
ท่านองครักษ์เจียงที่อายุเกือบครึ่งร้อยก็พลันเหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่นอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มแอบปลื้มปิติยินดี “นางเฮ่อหนอนางเฮ่อ ถึงเขาจะว่ากันว่าตีคือจูบ ด่าคือรัก แต่เจ้าก็เป็นหญิงที่ไม่ได้อัปลักษณ์อันใด นี่ก็หลายปีแล้ว เจ้าก็เพียงแค่อาศัยจังหวะที่ไม่มีคน แล้วมอบผ้าเช็ดหน้ารูปนกเป็ดน้ำให้ข้า ข้าก็ไม่ได้โง่นี่ แล้วจะไม่เข้าใจได้อย่างไร? แต่กลับฝืนใจด่าข้ามาตั้งหลายปี จนต้องให้ฮูหยินน้อยเอ่ยถามจึงยอมเปิดปาก! ถึงข้าจะเป็นชายชาตรี ไม่เหมาะจะไปถือสาเจ้ามากมาย …แต่รอจนเจ้าแต่งเข้าบ้านมาแล้ว คอยดูว่าข้าจะหัวเราะเจ้าอย่างไร! หึๆ!”
เมื่อคิดกลับมาก็เริ่มวางแผน “เดิมทีข้าคิดจะเป็นโสดไปจนตาย จึงไม่ได้สะสมทรัพย์สินใด หากแต่เอาไปใช้กับเหล่ยเอ๋อร์จนหมด เดิมทีกลับไม่เป็นอันใด …แต่เวลานี้จะแต่งนางเฮ่อ เบี้ยหวัดก็คงต้องเก็บออมเอาไว้สักหน่อยแล้ว หาไม่แล้วหากไม่พอให้นางเฮ่อเอามาใช้จ่ายในบ้าน แล้วข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด?”
แล้วคิดเรื่องต่อจากนั้นไปอีก “แล้วหากมีลูกชายลูกสาวสักคนก็ไม่เลว ข้ามองเหล่ยเอ๋อร์เป็นดังบุตรชายแท้ๆ และเขาเองก็เป็นเด็กกำพร้า ญาติคนอื่นๆ ก็อยู่ห่างไกลนักจนแทบจะเหมือนกับคนแปลกหน้า หากเขามีน้องชายหรือน้องสาว วันหน้าก็จักได้ไปมาหาสู่กัน ไม่ต้องเหงา”
ดีชั่วนอนพักรักษาตัวก็น่าเบื่อ เจียงเจิงจึงวางแผนเรื่องแต่งงานกับนางเฮ่อ เรื่องหลังจากแต่งงานกับนางเฮ่อ และเรื่องต่างๆ นานาวนไปวนมา แม้เขาไม่เคยมีประสบการณ์แต่งงานมาก่อน แต่เพราะเป็นอาจารย์ในสำนักคุ้มภัย และคนในสำนักคุ้มภัยย่อมต้องมีความละเอียดรอบคอบระมัดระวังจนเคยตัวแล้ว เขาจึงวางแผนรายละเอียดต่างๆ ในสถานการณ์ต่างๆ กลับไปกลับมาหลายรอบ จะว่าไปก็มีรสมีชาติดี …เมื่อคิดถึงว่าชีวิตที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของตน จู่ๆ ก็เกิดเรื่องพลิกผันเช่นนี้ วันหน้าก็ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นคนมีวาสนาได้มีลูกหลานเต็มบ้าน หากมิใช่เพราะได้ศิษย์จูเหล่ยคอยเตือนสติอย่างยากลำบาก ตนเองจะต้องไม่กล้ามาแต่งงานเอาตอนอายุปูนนี้แน่ ว่าแล้วก็อดจะยินดีในอกเฒ่าๆ ไม่ได้ว่า “เหล่ยเอ๋อร์ช่างเป็นศิษย์ที่ดีจริงๆ ศิษย์ดีจริงๆ!”
…ในเวลานี้ จูเหล่ยศิษย์แสนดีกลับกำลังปาดเหงื่อและแอบยินดีว่า “ดีที่ข้าฝีปากดี! จึงส่งเสริมให้อาจารย์ไปขอนางเฮ่อนั่นแต่งงานเสียเลย! หาไม่แล้ว นางเฮ่อที่เป็นหญิงดุร้ายปานนั้น หากรู้ว่าเพราะข้าต้องการทำให้นางไม่มาด่าอาจารย์อีก จึงคิดทำลายชื่อเสียงนาง แล้วจะไม่มาถลกหนังข้าเอาหรือ? อุ๊ ข้าก็ไม่ได้กลัวนาง แต่ข้าเป็นชายอกสามศอก หากไปลงไม้ลงมือกับผู้หญิง ทั้งยังอายุมากกว่าข้าเท่าหนึ่ง จะขายหน้าเท่าใด? หากเป็นดังนี้แล้วภายภาคหน้าข้าจะเป็นจอมยุทธเลื่องชื่อได้อย่างไร? เพียงแต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อยแต่กลับพูดถูกเสียอย่างนั้น! นางเฮ่อนี่มาแอบรักอาจารย์จริงๆ ด้วย …เช่นนี้ก็กลับเหมาะเจาะพอดี เพียงแต่อาจารย์ที่น่าสงสาร หากมีอาจารย์หญิงที่เป็นแม่เสือเช่นนี้ วันหน้าก็ไม่รู้ว่าจะถูกรังแกจนอยู่ในสภาพใด? ไม่ได้การ เมืองหลวงนี่ข้าคงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าต้องรีบคิดสักหน่อย หาสักทีไปซ่อนตัว! หาไม่แล้วพออาจารย์ถูกอาจารย์หญิงรังแกเอา ยามสำเหนียกขึ้นมาได้ก็จะต้องมาตีข้าระบายความแค้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!”
เขาใคร่ครวญอยู่ในใจก็มีที่ไปทันใด “ใช่แล้ว ยิวเยี่ยนมีชาวยุทธอยู่มากมายแต่โบราณมา อาจารย์สอนสั่งข้ามาหลายปี ก็มิใช่ด้วยหวังว่าข้าจะไปเผชิญยุทธภพสร้างชื่อเสียง ทำให้ชื่อเสียงของวรยุทธสกุลเจียงขจรขจายไปทั่วหรอกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้พวกหรงก็มารุกรานชายแดนทางเหนือ ชาวยุทธที่มีใจแทนคุณให้แผ่นดิน เกรงว่าโดยมากแล้วก็จะไปรวมตัวกันอยู่ที่ยิวเยี่ยน เช่นนั้นข้าก็ไปลองเปิดหูเปิดตาดูบ้าง หากพอไหวก็ยังพอสร้างชื่อเสียงได้เล็กๆ น้อยๆ …แม้การเข้ากองทัพในวันหน้าย่อมไม่อาจไม่พึ่งพาหน้าตาของอาจารย์ และต้องอาศัยบารมีของตระกูลเสิ่นหรือตระกูลเว่ย ทว่าหากตัวข้าเองพอจะมีชื่อเสียงบ้าง อาจารย์ก็จะพลอยได้หน้าไปด้วย”
จูเหล่ยแอบวางแผนขึ้นมาทันใดว่าคราวหน้าต้องหาทางพูดให้เจียงเจิงรับปากให้เขาไปแถบยิวเยี่ยนลองเผชิญยุทธภพดู “รอจนบาดแผนของอาจารย์หายดี และแต่งกับอาจารย์หญิงเฮ่อแล้ว ข้าก็ต้องไปในทันใด! หากชักช้าจะกลายเป็นว่าถูก อาจารย์ลากกลับมาตีระบายความแค้นอยู่วันละสามหน!”
จากนั้นก็ปาดเหงื่ออีกรอบ แล้วสวดภาวนาในใจอย่างหวาดผวาว่า “สวรรค์ทรงโปรด ขอให้ข้าได้มีชีวิตในช่วงนี้อย่างสงบสุขด้วยเถิด!”
__________________________