ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 134-2 ข้าคิดถึงท่านปู่ท่านย่าเหลือเกิน
ตอนที่ 134-2 ข้าคิดถึงท่านปู่ท่านย่าเหลือเกิน
Xiaobei
หนังออกมาชั้นหนึ่งก็แปลกแล้ว! แต่ยามนี้กลับดีนัก เห็นชัดนางว่ามาก่อเรื่องในงานมงคลบ้านเราเสียแล้ว!”
เว่ยฉางเจวียนโกรธเสียจนหน้าซีด กำลังจะเอ่ยเรื่องราวที่แท้จริงออกมา แต่กลับถูกคนหยิกเอาหนหนึ่ง แล้วได้ยินเสียงหัวเราะเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “เอ๋ เหตุใดจึงมีคนตั้งมากมาย? น้องเว่ยเจ็ด เรื่องที่ข้าไหว้วานเจ้าเล่า?”
แล้วมองเห็นจากช่องว่างเป็นเส้นท่ามกลางฝูงชน หลิวรั่วเหยียในชุดเสื้อฤดูร้อนแขนแคบคอป้ายพื้นสีน้ำทะเละปักลายใบและดอกลำโพง คาดกระโปรงผ้าแพรบางสีชมพูมีกากเพชรสีเงิน ในมือถือพัดวงกลมรูปดอกสายใยรัก ค่อยๆ เยื้องกรายเข้ามาถึง วันนี้นางทำผมทรงเฟยเซียนจี้ ม้วนผมเป็นวงโค้งสองวงตั้งอยู่บนหัว ปักปิ่นหยกสองอันและปิ่นอุบะดอกพุดตาน มีผลึกแก้วห้อยย้อยลงมาข้างมวยผม ยามต้องแสงอาทิตย์ทำให้เกิดประกายแสงเจ็ดสีสาดลงมาที่ข้างแก้มขาวดังหิมะ ยิ่งขับให้ผิวนวลขาวสดใสยิ่งกว่าเก่า
เมื่อเห็นนางมา เว่ยฉางเจวียนพลันมีสีหน้าผ่อนคลายลง แล้วหันไปพยักหน้าให้นาง “พี่หลิว ท่านกลับมาแล้วหรือ?”
“สองวันมานี้พี่สิบของข้ามีอาการไอเล็กน้อย เมื่อครู่นี้ข้าก็ไปบอกกับนางว่าควรทานเครื่องดื่มเย็นให้น้อยสักหน่อย” หลิวรั่วเหยียมองไปรอบทิศด้วยความสงสัย กล่าวว่า “เพิ่งกลับมาก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ที่นี่ นี่คือ?”
ฟังดูแล้ว ก่อนหน้านี้พวกนางนั่งอยู่ด้วยกัน เวลานี้เว่ยฉางเจวียนจึงระงับโทสะเอาไว้แล้วจะเล่าเรื่องทั้งหมดโดยคร่าวๆ ให้พังสักหน่อยว่า “เสิ่นจั้งหนิงพูดจาเลอะเลือนจริงๆ เรื่องที่…”
เสิ่นจั้งหนิงเท้าสะเอวมองนาง ยกมุมปากขึ้นกำลังจะพูด …กลับเห็นหลิวรั่วเหยียค่อยๆ ยกพัดขึ้นมาปิดหน้าผากตนเองและขัดจังหวะนางด้วยท่าทีตื่นตระหนก “นี่… หรือว่าที่น้องเว่ยเจ็ดมาหาพี่เว่ยสาม ไม่ได้มาพูดเรื่องที่ข้าไหว้วานเจ้าเมื่อครู่นี้?”
เว่ยฉางเจวียนตกตะลึง เว่ยฉางหว่านรู้ว่าหลิวรั่วเหยียเป็นคนเจ้าแผนการ จึงรีบพูดไปว่า “น้องหลิวสิบเอ็ด เมื่อครู่นี้เจ้าไหว้วานให้ฉางเจวียนมาพูดกับฉางอิ๋งรึ? พวกเราไม่รู้เลย ยามนี้ต่างคนต่างพูด จึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่!”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วเข้ามา รู้ว่าอาการตื่นตกใจของเว่ยฉางเจวียนหลังจากฟังคำพูดของหลิวรั่วเหยียที่บอกว่าไหว้วานอันใดมานั้น หลิวรั่วเหยียจะต้องพูดส่งเดชแน่นอน แม้นางหลิวพี่สะใภ้ใหญ่จะบอกว่าสาเหตุที่ชื่อเสียงของตนต้องเสื่อมเสียเมื่อครั้งก่อนแต่งงานล้วนเป็นเพราะหลิวรั่วเหยียหมายปองเสิ่นจั้งเฟิง และเพราะการต่อสู้ของหลิวรั่ววั่วและหลิวซีสวินแห่งหรานหลีถัง แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจเชื่อถือได้ทั้งหมด ทว่าลูกพี่ซ่งไจ้สุ่ยก็ยังบอกว่าหลิวรั่วเหยียเป็นคนใจคอยากหยั่งถึง แม้มองดูว่าหลิวรั่วเหยียไม่ได้มีท่าทีเป็นศัตรู แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นมิตรเสมอไป ฉะนั้นที่ตอนนี้ปล่อยให้นางพูด ก็ยังไม่รู้ว่านางจะบิดเบือนเรื่องราวไปจนเป็นเช่นใดเลย!
เว่ยฉางอิ๋งกำลังคิดจะขัดคำหลิวรั่วเหยีย แต่กลับถูกคนหยิกเบาๆ หนหนึ่ง นางหันไปดู พบว่ากลับเป็นนางกู้
นางกู้ยกแขนเสื้อขึ้นมาบังปาก ขยับเข้ามากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูนางว่า “น้องสาวคนดี ช่วยพี่สะใภ้หน่อยเถิด พี่สะใภ้รู้ว่าวันนี้เจ้าถูกรังแกแล้ว แต่วันนี้ไม่เหมือนวันธรรมดาทั่วๆ ไป ก็ปล่อยให้ลูกผู้น้องบ้านหลิวไกล่เกลี่ยสถานการณ์ไปเสียเถิด จะได้ไม่ต้องวิวาทจนหมดสนุก ทำให้ไม่เป็นมงคล!”
“ข้าล้วนว่าตามพี่สะใภ้เจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังคำจึงรู้ว่าที่หลิวรั่วเหยียมาก็เพราะนางกู้แอบสั่งให้คนไปบอกนางมา เพื่อทำให้เรื่องนี้สงบลง ฉะนั้นนางย่อมไม่ยอมรบกวนวันดีที่ซูอวี๋ลี่ออกเรือนเป็นแน่ จึงล้มเลิกความคิดที่จะขัดคำหลิวรั่วเหยีย ไปเสีย แล้วพยักหน้าน้อยๆ เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “วันนี้ล้วนเป็นข้าที่พลอยทำให้พี่สะใภ้ต้องลำบาก”
นางกู้ได้ยินนางรับคำจึงโล่งใจ เมื่อเทียบกับเว่ยฉางเจวียนที่เป็นคนเข้ามาหาเรื่องจนทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตแล้ว เว่ยฉางอิ๋งที่ยอมเงียบเพื่อให้เรื่องนี้สงบลงก็นับว่าเป็นคนที่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราจริงๆ นางกู้จึงอดจะชมนางไปสองสามคำไม่ได้ “จะโทษเจ้าได้อย่างไร? ต้องโทษน้องเว่ยเจ็ดที่เอาแต่ใจไปสักหน่อย ไม่ว่าเรื่องจะใหญ่โตปานใดไยต้องมาก่อเรื่องในวันนี้เสียให้ได้ หากภายหลังให้ท่านอาสะใภ้สามและน้องหญิงใหญ่ทราบเข้า แล้วจะทำให้พวกนางขัดเคืองเพียงใด?”
ความหมายของคำพูดนี้ก็คือแอบบอกนางว่าภายหลังให้ไปฟ้องกับเว่ยเจิ้งอินและซูอวี๋ลี่เสีย …ทว่าเว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เท่าใดนัก เพียงแต่กำลังตั้งใจฟังว่าหลิวรั่วเหยียจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร…
แล้วได้ยินหลิวรั่วเหยียพูดจาแย้มยิ้มเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “เรื่องเป็นเช่นนี้ คราก่อนข้าไปที่เรือนพี่หญิงเจ็ด ฟังพี่เจ็ดว่าที่เรือนพี่เว่ยสามจัดแจงได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยนัก สองวันก่อนพี่สิบบอกว่าห้องที่อยู่นั้นเล็กเกินไป อยากเปลี่ยนเป็นห้องที่ใหญ่ขึ้นสักหน่อย ท่านแม่จึงให้พวกเราพี่น้องเปลี่ยนเรือนกันทั้งคู่เสียเลย เรือนใหม่ว่างเปล่ายังไม่มีสิ่งใด นึกขึ้นได้ว่าพี่เจ็ดเคยชมว่าเรือนของพี่เว่ยสามงดงามนัก ข้าจึงคิดว่าหากสามารถทำแผนผังออกมาเพื่อใช้อ้างอิงสักหน่อยได้คงจะดี เพียงแต่ก่อนนี้ข้าเพิ่งเคยพบหน้ากับพี่เว่ยสามเพียงสองหน จึงกลัววาหากเอ่ยไปดังนี้แล้วก็จะเป็นการบุ่มบ่ามเกินไป เมื่อครู่จึงบังเอิญไปเอ่ยกับน้องเว่ยเจ็ด น้องเว่ยเจ็ดจึงว่านางจะช่วยไปลองถามพี่เว่ยสามให้ข้า …มีอันใดหรือ เรื่องราวมิได้เป็นดังนี้หรือเจ้าคะ?”
เสิ่นจั้งหนิงจึงเอ่ยถามตามที่นางพูดไปก่อนนี้ว่า “แล้วพอเว่ยฉางเจวียนมา ก็เริ่มมาชมท่านพ่อท่านแม่ของข้าก่อน จากนั้นก็ชมทุกๆ คนในบ้านข้า แต่กลับไม่เอ่ยถึงข้า แล้วเอ่ยถึงแผนผังและเรื่องเรือนอันใดอีกสองสามหน?”
ทุกคนล้วนมีสีหน้าฉงน เรื่องที่พูดกันสองรอบนี้ก็ไม่เหมือนกันเกินไปแล้วกระมัง? ทั้งยังมีคนเอ่ยเตือนว่า “เมื่อครู่นี้พี่เว่ยสามยังบอกว่าน้องเว่ยเจ็ดมาเอ่ยเรื่องบ้านสามีบ้านฝั่งมารดา จากนั้นจู่ๆ นางก็ร้องไห้ออกมาแล้ว?”
หลิวรั่วเหยียโบกพัดหนหนึ่งด้วยความประหลาดใจ กล่าวว่า “ไม่ใช่กระมัง?” แล้วหันไปถามเว่ยฉางเจวียนว่า “น้องเว่ยเจ็ด เรื่องนี้คือ…?”
ก่อนหน้านี้ เว่ยฉางเจวียนถูกนางหยิกเบาๆ หนหนึ่ง รู้ว่าเวลานี้ไม่เหมาะจะวิวาทกันต่อไป จึงไตร่ตรองอยู่ว่าจะพูดอย่างไรดี แล้วว่าไปตามน้ำว่า “ข้าคิดว่า แม้พี่หลิวท่านจะอยากได้แผนผัง ทว่าหากได้ไปดูเรือนเองน่าจะดีกว่า แต่ข้ารู้ว่าปกติแล้วพี่สามของข้าผู้นี้มีงานยุ่งนัก อีกประการจะมีผู้ใดเอ่ยปากขอเข้าบ้านไปรบกวนผู้อื่นเล่า? จึงคิดว่า…อื่ม ปรากฏว่าจึงยังไม่ได้เอ่ยไปถึงเรื่องนี้เสียที….”
เพราะอยากเข้าไปดูในเรือนจินถงที่เว่ยฉางอิ๋งอยู่ แต่จนใจเหลือที่เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้เชื้อเชิญ เว่ยฉางเจวียนจึงต้องเอ่ยถึงทุกคนในบ้านเสิ่นแทน เพื่อบอกเป็นนัยๆ …แม้คำอธิบายนี้จะฟังดูแปลกๆ แต่ก็พอจะถูไถไปได้
ทุกคนต่างพากันร้องโอ๊ะคำหนึ่งเป็นการบอกว่าเข้าใจแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่ไม่เข้าใจ กล่าวว่า “แล้วเหตุใดเจ้าจึงร้องไห้เสียแล้วเล่า? หรือเพราะน้องเว่ยสามไม่ยอมเชื้อเชิญเจ้า?”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างราบเรียบไปว่า “คำนี้ถือเป็นการให้ร้ายข้าจนถึงตายเชียว แม้ยามนี้ข้าจะรับคำสั่งของท่านแม่ให้คอยเป็นผู้ช่วยของพี่สะใภ้ใหญ่ ทว่าต่อให้ยุ่งสักเพียงใดก็ไม่ถึงกับไม่มีเวลาว่างต้องรับน้องสาวจากบ้านฝั่งมารดาหรอก ข้าจะทำเช่นนั้นกับน้องเจ็ดของตนเองได้อย่างไร?”
ความจริงแล้วที่เว่ยฉางเจวียนเอ่ยไปเช่นนั้น ก็เพราะอยากบอกไปในความหมายนั้นอยู่แล้ว แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ยอมรับ หลิวรั่วเหยียก็แอบไปชนนางเข้าหนหนึ่ง นางจึงได้แต่เอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้ ที่บอกว่าผู้ใหญ่ทุกคนในบ้านเสิ่นดีนั้น ข้าก็เอ่ยถึงท่านปู่ท่านย่าของเราขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว …จะว่าไปแล้วครั้งนั้นที่ท่านปู่ท่านย่า ท่านลุงใหญ่ ท่านป้าใหญ่ ท่านอาสาม อาสะใภ้สาม และบรรดาพี่น้องคนอื่นๆ ในรุ่ยอวี่ถังล้วนกลับไปที่เฟิ่งโจว ข้ายังไม่เกิดเลย! ไม่เคยได้พบพวกเขามาก่อน แล้วเฟิ่งโจวก็อยู่ห่างไกลนัก คิดอยากยกน้ำชาให้บรรดาญาติผู้ใหญ่หลายท่านนั้นก็ไม่อาจทำได้ …ในใจข้าจึง…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรู้สึกว่าถูกรังแก หรือเพราะเป็นกังวล หรือว่าเสแสร้งเก่งมาแต่กำเนิด ดวงตานางก็พลันแดงขึ้นมา สะอึกสะอื้นพลางว่า “ข้าคิดถึงท่านปู่ท่านย่า ญาติผู้ใหญ่และพี่น้องทุกคนที่เฟิ่งโจวเหลือเกิน!”
ภาพนี้ยามอยู่ต่อสายตาทุกคนแล้ว ดูเป็นความรู้สึกที่แสดงออกมาจากใจจริง จนทุกคนพากันเอ่ยอย่างสะเทือนใจว่า “น้องเว่ยเจ็ดช่างกตัญญูจริงๆ”
นางกู้อาศัยจังหวะนี้เข้าไปบอกว่า “ข้าก็ยังนึกว่าเป็นเรื่องใดกัน? ที่แท้ล้วนเป็นการเข้าใจผิดกัน น้องเว่ยเจ็ดเองก็กระดากอาย อยากไปเป็นแขกที่เรือนจินถงของน้องฉางอิ๋ง เจ้าพูดตรงๆ ก็ไม่สิ้นเรื่องแล้วหรือ? ยามนี้ลูกผู้น้องชายสามบ้านเสิ่นไปซีเหลียง พวกเจ้าพี่น้องไปมาหาสู่กันที่เรือนของน้องฉางอิ๋งก็กำลังสะดวกเชียว!”
หลิวรั่วเหยียจึงตอบรับคำพร้อมรอยยิ้มหวาน “พี่สะใภ้กล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ล้วนต้องโทษว่าข้าเรื่องมาก…”
เว่ยฉางอิ๋งทำได้เพียงพูดให้สอดคล้องไปว่า “ครานี้น้องหลิวสิบเอ็ดเห็นข้าเป็นคนอื่นคนไกลเกินไปแล้ว แม้พวกเราเพิ่งจะพบกันสองครั้ง ทว่าเจ้าก็เป็นลูกผู้น้องแท้ๆ ของพี่สะใภ้ใหญ่ของข้า หาใช่คนนอกไม่ หากอยากได้แผนผัง อยากมาดูที่เรือนจินถง ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เจ้านี่ ทั้งเจ้าและน้องเจ็ดล้วนเห็นข้าเป็นคนอื่นคนไกล! เรื่องนี้ทำให้ข้าโกรธจริงๆ!”
“พี่เว่ยสามท่านโปรดอย่าโกรธเคือง ล้วนเป็นพวกเราไม่ดีเอง…”
พวกนางหัวร่อต่อกระซิก ทั้งขอขมาทั้งแสดงท่าทีไม่พอใจกันไปเช่นนี้ ที่สุดก็ทำให้งานเลี้ยงกลับมาสนุกสนานคึกคักขึ้นอีกหน…
__________________________________________