ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 135-2 เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปเสียเถิด
ตอนที่ 135-2 เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปเสียเถิด
Xiaobei
เว่ยฉางเจวียนขบริมฝีปากกล่าวว่า “พอข้าร้อนใจขึ้นมา กลับลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย”
แล้วว่า “แต่พี่สามของข้าก็เกินไป ต่อหน้าผู้คนมากมายก็ทำเสียจนข้าหาทางลงไม่ได้ ข้าเป็นน้องสาวฝั่งบ้านมารดาของนางแท้ๆ นางกลับดีนัก เอาแต่ไปช่วยน้องสามีรังแกข้า!” พูดไปตาก็แดงขึ้นมา
หลิวรั่วเหยียเอ่ยด้วยเสียงอ่อนละมุนว่า “ยามสตรีออกเรือนแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดย่อมต้องยึดถือบ้านฝั่งสามีเป็นหลัก อีกประการพี่เว่ยสามเพิ่งแต่งเข้าได้ยังไม่นาน ฐานะในบ้านสามียังไม่มั่นคง แล้วจักกล้าล่วงเกินเสิ่นจั้งหนิงได้ที่ใดกัน?”
เว่ยฉางเจวียนแค่นเสียงหึ กล่าวว่า “เสิ่นจั้งหนิงน่ะหรือ …ข้าเห็นว่าพี่สามนางเก่งกล้านัก กลับหันมายุยงให้เสิ่นจั้งหนิงช่วยนางเอาเรื่องข้าเสียอีก! ไม่เห็นกลัวเสิ่นจั้งหนิงที่ใดเลย?”
“เอาล่ะๆ อย่าโกรธไปเลย” หลิวรั่วเหยียปลอบนางให้ดื่มน้ำสระแหน่สักจอกเพื่อให้คลายโทสะ “มีบางเรื่องข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรบอกเจ้าดีหรือไม่?”
เว่ยฉางเจวียนตะลึง กล่าวว่า “พี่หลิวมีเรื่องใด โปรดบอกมาได้เลย”
หลิวรั่วเหยียจึงกดน้ำเสียงลงต่ำบอกว่า “น้องเจ็ดอย่าโทษว่าข้าละลาบละล้วง… ข้าเคยได้ยินได้ฟังเรื่องของรุ่ยอวี่ถัง ซึ่งก็คือเรื่องระหว่างบิดาของเจ้าและคุณชายเว่ยห้า มิใช่ว่าข้าจะต่อว่าน้อง เมื่อครู่นี้แม้ว่าน้องจะหาทางพูดไกล่เกลี่ยไม่ได้ไปชั่วขณะ ไยจึงไม่เงียบปากเอาไว้ ให้ข้าช่วยพูดแทนเจ้าเล่า? ปรากฏว่าน้องพูดไปลอยๆ ว่าคิดถึงญาติๆ ที่เฟิ่งโจว น้องโปรดคิดดู หากท่านอาสะใภ้เว่ยหรือพี่เว่ยสามนำความนี้ไปบอกฮูหยินผู้เฒ่า แล้วเกิดฮูหยินผู้เฒ่าทำตามที่ความต้องการของน้อง…”
สีหน้าของเว่ยฉางเจวียนพลันเปลี่ยนไปในบัดดล!
เพราะนางเพิ่งเกิดทีหลัง ไม่เคยพบแม่เฒ่าซ่งผู้เป็นย่าของตนมาก่อน เพียงเคยได้ฟังจากบิดามารดาและพี่ชายพี่สาวเอ่ยถึงท่านย่าผู้นี้ว่าทั้งใจร้ายและลำเอียงเพียงใด นางจึงรู้สึกรังเกียจแม่เฒ่าซ่งมากกว่าหวาดกลัวมากนัก ทว่าปีก่อน ครั้งแม่เฒ่าซ่งเขียนจดหมายเรียกตัวเว่ยฉางซุ่ยพี่ชายรองของนางให้กลับไปที่เฟิ่งโจว ทุกคนในบ้านทั้งเด็กผู้ใหญ่ล้วนพากันเดือดเนื้อร้อนใจขนานหนัก ภาพที่ฮูหยินตวนมู่มารดาของนางถึงกับร้องห่มร้องไห้ด้วยความเป็นกังวลหลายครั้งหลายหนในเวลาที่ไม่มีคนอยู่ด้วย กลับยังคงประทับแน่นอยู่ในสมองของนาง
นับแต่ครานั้น เว่ยฉางเจวียนก็ยิ่งชิงชังท่านย่าผู้นี้ยิ่งกว่าเก่า และท่าทีประหนึ่งต้องจากกันจนตายทั้งยังเป็นๆ อยู่ของเว่ยฉางซุ่ยยามออกเดินทางนั้น ก็ทำให้ภาพของเฟิ่งโจวในความรู้สึกของเว่ยฉางเจวียนกลายเป็นสถานที่ประหนึ่งดงเสือบ่อจระเข้… ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ล้วนเป็นเพราะ…. แม่เฒ่าซ่ง!
เว่ยฉางเจวียนสามารถจินตนาการได้เลยว่า หากตนต้องกลับไปที่เฟิ่งโจว จะมีชะตากรรมเช่นใดเฝ้ารอตนอยู่?
เว่ยฉางซุ่ยเป็นคนที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวเป็นที่สุดยามอยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าซ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งตระกูลหลิวร่วมมือกับจือเปิ่นถังทำลายชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยเซิ่งอี๋และฮูหยินตวนมู่ที่ยังอยู่ที่เมืองหลวงก็ยังให้ความช่วยเหลือเต็มกำลัง จึงทำให้แม่เฒ่าซ่งให้ความเมตตาใหญ่หลวง ด้วยการส่งคนกลับมาที่เมืองหลวงเช่นเดิม …หรือยามนี้ตนต้องพยายามไปประจบเอาใจท่านย่าที่แต่ไรมาไม่เคยเห็นบุตรหลานที่เกิดจากอนุว่าเป็นคนผู้นั้น เพื่อแลกกับหนทางให้มีชีวิตรอด?
เว่ยฉางเจวียนป็นบุตรสาวคนเล็กที่เกิดจากภรรยาเอก นางถูกบิดามารดารักใคร่เอาใจจนเคยตัวแล้ว จะทนมีชีวิตดังว่ามานั้นได้ที่ใด!
แต่ในเมื่อแม่เฒ่าซ่งก็ยังเคยเรียกให้บุตรชายคนรองของเว่ยเซิ่งอี๋กลับไปได้ แล้วประสาอะไรกับบุตรสาวคนเล็ก? นางคว้ามือหลิวรั่วเหยียด้วยความตื่นกลัว แล้วเอ่ยอย่างร้อนรนว่า “ชะ…เช่นนี้จะทำอย่างไรดี?”
หลิวรั่วเหยียถอนหายใจบอกว่า “น้องสาวคนดี ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านเจ้าเป็นญาติผู้ใหญ่ ข้าไม่เหมาะจะไปเอ่ยถึงผู้ใหญ่อย่างใด แต่ได้ยินว่า ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้เป็นคนยึดถือในกฎระเบียบนัก น้องเจ้าหากต้องไปเฟิ่งโจว คาดว่าคงต้องถูกดูแลอย่างเข้มงวดนัก วันหน้าพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะยังมีโอกาสได้พบกันอีกหรือไม่? แต่อย่างไร ก็ไม่แน่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าอาจจะรักใคร่เจ้าและยกเจ้าให้กับบุตรหลานในการดูแลของนางก็เป็นได้? เพื่อมิให้พวกเราต้องห่างกัน ข้าคิดว่าอย่างไรเจ้าก็ควรจะไปพูดจาดีๆ กับพี่เว่ยสามสักหน่อย ขอให้พี่เว่ยสามให้ความเมตตา ช่วยเจ้าพูดคำดีๆ กับฮูหยินผู้เฒ่าสักคำสองคำ? ข้าได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าบ้านเจ้ารักใคร่พี่เว่ยสามยิ่งนัก หากได้พี่เว่ยสามพูดอันใดสักคำ ก็จะเป็นผลยิ่งกว่าให้ผู้ใดไปพูด”
เว่ยฉางเจวียนตกตะลึงไปหนแล้วหนเล่า ท่ามกลางความหวาดกลัว ความรู้สึกริษยาก็กลับยิ่งรุนแรงขึ้นมา นางอดมองไปทางลูกผู้พี่หญิงบ้านลุงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลไม่ได้ …เว่ยฉางอิ๋งสวมเสื้อผ้างดงามเครื่องดับวับวามล้ำค่า กำลังสนทนากับนางกู้ด้วยรอยยิ้ม นางแย้มยิ้มด้วยท่าทีเปรมใจ ไม่แน่ว่าอาจคิดได้แล้วว่าสามารถให้ท่านย่าเรียกตนกลับไปเฟิ่งโจวเพื่อจัดการตนให้หนำใจ?
ทั้งที่เป็นหลานสาวเช่นเดียวกน แม้จะต่างกันที่เป็นหลานแท้ๆ และหลานจากอนุ แต่ถือดีอันใดที่ลูกผู้พี่หญิงผู้นี้กลับถูกมองประหนึ่งเป็นมุกในมือยามนางอยู่ต่อหน้าท่านย่า แต่หลานสาวเช่นตนกลับต้องมาตัวสั่นงันงก ไม่แม้จะถูกมองว่าเป็นคน?
นางเป็นบุตรสาวคนเล็ก พี่ชายพี่สาวล้วนยอมให้นางมาโดยตลอด เว่ยฉางเจวียนได้รับความรักจากคนในครอบครัวมาจนเคย เมื่อคิดได้ว่าสำหรับท่านย่าที่ตนไม่เคยพบมาก่อนแล้ว ตนเองและเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นลูกผู้พี่กลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน… อารมณ์เช่นคุณหนูตระกูลใหญ่โตพลันพลุ่งพล่านขึ้นมา ความเคืองแค้นในใจที่มีต่อท่านย่า เวลานี้กลับเอาไปลงกับเว่ยฉางอิ๋งจนหมด ใบหน้าของนางหนักอึ้ง กล่าวว่า “ข้าไม่ไปหรอก!”
ดวงตาของหลิวรั่วเหยียมีรอยยิ้มฉายสาดเข้ามา แต่ปากกลับร้องโธ่ออกมาคำหนึ่ง กล่าวว่า “น้องเจ็ด เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้สิ หากไม่ได้พี่เว่ยสามช่วยเจ้าพูด แล้วเจ้าต้องกลับไปเฟิ่งโจว เราสองคนก็ต้องแยกจากกัน ข้าตัดใจจากเจ้าไม่ได้จริงๆ !”
เว่ยฉางเจวียนเอ่ยอย่างชิงชังว่า “อย่างมากข้าก็จะบอกว่าป่วยและไม่ออกไปไหน! ข้าไม่เชื่อว่าเมืองหลวงและเฟิ่งโจวห่างกันเพียงนั้น คนที่นั่นจะมาทำอันใดข้าได้! ข้าไม่มีวันไปขอร้องนางหรอก!”
คำพูดของนางนี้ แสดงถึงความไม่พอใจที่มีต่อท่านย่าและเว่ยฉางอิ๋งออกมาอย่างชัดแจ้งแล้ว หลิวรั่วเหยียพึงพอใจอยู่ในใจ กำลังจะเอ่ยคำ กลับมีสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างหลัง คำนับนางแล้วเอ่ยอย่างเคารพนบนอบว่า “คุณหนูสิบเอ็ดเจ้าคะ คุณหนูสิบไม่ทันระวังทำสุราหกรดกระโปรง อยากเชิญท่านให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเพื่อนเจ้าค่ะ”
หลิวรั่วเหยียตะลึงงัน สีหน้าพลันหนักอึ้งลงทันใด …แต่จากนั้นก็กลับมามีรอยยิ้มแสนหวานอ่อนโยนดังเดิม นางค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “อืม ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” แล้วสั่งความเสียงเบาๆ กับเว่ยฉางเจวียนว่า “น้องเจ็ด เจ้านั่งคนเดียวสักประเดี่ยว สักพักข้าจะกลับมา”
เว่ยฉางเจวียนกำลังร้อนรุ่มในใจ จึงบอกอืมไปคำหนึ่ง “ตกลง พี่หลิวท่านรีบกลับมานะเจ้าคะ…”
______________________________