ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 137-1 หรานหลีถัง
ตอนที่ 137-1 หรานหลีถัง
Xiaobei
หลังเสร็จงานเลี้ยงมงคลสมรสของซูอวี๋ลี่และกลับถึงจวนราชครูแล้ว ฮูหยินซูที่ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าจากในงานเลี้ยงจึงเรียกเว่ยฉางอิ๋งและเสิ่นจั้งหนิงมาสอบถามต่อหน้า เมื่อสอบถามเรียบร้อยแล้วก็พลันขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เรื่องพฤติกรรมของฮูหยินตวนมู่เองก็ไม่เคยได้ยินว่ามีอันได้ไม่ดีงาม เหตุใดจึงอบรมบุตรสาวออกมาได้ย่ำแย่เพียงนี้”
แล้วว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง คิดว่าฮูหยินตวนมู่คงจะเอาอกเอาใจบุตรสาวคนเล็กเกินไป จนทำให้เหมือนไม่มีคนสั่งสอนเพียงนี้”
แม้คำพูดนี้จะมิได้ตำหนิสะใภ้และบุตรสาวของตนแน่นอน แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับรู้สึกว่าเสียหน้า นางกำลังจะพูด แต่เสิ่นจั้งหนิงที่ก่อนหน้านี้เอาแต่เล่นผ้าแถบผูกผมอยู่กลับเอ่ยปากไปก่อนว่า “ท่านแม่กล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินตวนมู่หรือจะกวดขันหนักหนาเช่นท่านแม่? ท่านดูสิเจ้าคะลูกออกไปข้างนอกยังไม่มีผู้ใดที่ไม่ชมลูกเลย!”
ฮูหยินซูได้ฟังคำนี้พลันถลึงตา กล่าวว่า “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกรึ?! ข้าถามเจ้า ข้าเคยสอนเจ้าว่าเป็นถึงกุลสตรีตระกูลใหญ่โต พอมีเรื่องมีราวก็ให้ลงมือก่อนเลยหรือไร? วันนี้ หากเจ้าจะต่อว่าเว่ยฉางเจวียนผู้นั้นเจ้าก็ว่าไป เหตุใดต้องไปผลักนางก่อน? เพื่อจะได้เห็นว่าเจ้าเก่งกาจ เจ้าแรงมากเช่นนั้นรึ? เจ้าคนไม่ได้ความ ดีที่พี่น้องผู้หญิงเจ้ามีน้อย และเจ้าก็อายุน้อยที่สุด และข้างนอกบ้านบรรดาพี่สาวของเจ้าล้วนมีชื่อเสียงดีงาม หาไม่แล้วสตรีในบ้านเราล้วนต้องถูกเจ้าทำเอาจนแต่งไม่ออกไปหมดแล้ว!”
เสิ่นจั้งหนิงสะบัดแถบผ้ามัดผม เอ่ยอย่างไม่ยินยอมว่า “ในบรรดารุ่นของเราข้ามีอายุน้อยที่สุด แต่ซูจิ่งหลานสาวคนโตยามนี้ก็อายุสิบขวบแล้ว อีกสองปีท่านแม่คอยดูซิว่าจะมีคนมาขอที่บ้านหรือไม่ เดี๋ยวก็รู้เองว่าข้าจะเป็นคนทำร้ายสตรีในบ้านเราหรือไม่ ก็มิใช่เพียงแค่ผลักเว่ยฉางเจวียนไปหนหนึ่งเท่านั้นหรอกหรือเจ้าคะ?ชั่วชีวิตคนจะมีผู้ใดที่ไม่ทำเรื่องผิดพลาดสักเรื่องสองเรื่อง เรื่องเล็กน้อยเพียงนั้นจะถูกคนจดจำไปชั่วชีวิตที่ใดกันเล่า!” พูดถึงตรงนี้ เว่ยฉางอิ๋งกำลังคิดจะหันหน้าไปเอ่ยเตือน ไม่คิดว่าน้องสามีผู้นี้กลับยังพึมพำไปคำหนึ่งว่า “ท่านแม่ชอบชมผู้อื่นเพื่อจะได้หันมาสั่งสอนข้า!”
“เจ้าลูกไม่รักดี!” แต่ไรมาฮูหยินซูก็เข้มงวดกับบุตรสาวผู้นี้อย่างยิ่งอยู่แล้ว ได้ยินคำจึงกระโดดขึ้นมาหาไม้เรียวจะตีนาง “ยามเถียงก็มีเหตุผลพูดออกมากมายนัก! ต่อว่าเจ้าคำหนึ่งก็บอกว่าข้าสั่งสอนเจ้า หากวันนี้ไม่สั่งสอนเจ้าจริงๆ จังๆ เจ้าจะไม่เหิมเกริมไปใหญ่รึ?!”
พี่ชายสาม เสิ่นจั้งเฟิงไม่อยู่ เสิ่นจั้งหนิงจึงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่ตัวพี่สะใภ้สามเว่ยฉางอิ๋ง นางวิ่งไปหลบหลังพี่สะใภ้ในทันใด ทางหนึ่งก็หลบ อีกทางหนึ่งก็เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ฮูหยินตวนมู่อบรมบุตรสาวคนเล็กไม่เข้มงวด ทว่าท่านแม่ก็สอนสั่งข้าเข้มงวดเกินไปแล้ว! มีบ้านใดที่ไม่เห็นบุตรสาวคนเล็กเป็นดังอัญมณีล้ำค่าที่ประคองไว้ในมือ ก็มีแต่ข้า อันใดนิดอันใดหน่อยก็ถูกตีแล้ว! กับพี่ชายห้าท่านก็ยังไม่ได้เข้มงวดเท่าข้าเลย! หากในชื่อข้าไม่ได้มีคำว่า ‘จั้ง’ ข้าต้องสงสัยเป็นแน่แท้ว่าข้าเป็นลูกท่านหรือไม่!”
ฮูหยินซูหาไม้เรียวไม่พบ จึงม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วจะใช้มือเปล่าตีไปเสียเลย นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กล่าวว่า “เจ้ายังมาสงสัยว่าเจ้าเป็นลูกข้าหรือไม่? ข้าต่างหากที่สงสัยว่าปีนั้นหมอตำแยที่ทำคลอดหลอกข้าหรือไม่! ข้าเคยไปทำเวรทำกรรมมาแต่ชาติปางก่อนใช่หรือไม่ จึงได้มีลูกที่ชอบก่อเรื่องเดือดร้อนเช่นเจ้า ต้องคอยหาเรื่องให้ข้าต้องโมโหไม่พอใจอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน?!”
เว่ยฉางอิ๋งรีบเข้าไปปราม “ท่านแม่โปรดระงับโทสะก่อนเจ้าค่ะ น้องสี่อายุยังน้อยไม่รู้ความ…”
“วันๆ ก็บอกแต่อายุยังน้อยไม่รู้ความ!” ฮูหยินเอ่ยอย่างมีน้ำโห “พวกเจ้าไม่เบื่อจะพูด แต่ข้าฟังจนเบื่อแล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋งรีบเปลี่ยนคำพูด “น้องสี่เองก็พูดมีเหตุผลนะเจ้าคะ เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ พอทุกคนหันหน้าไปก็ลืมกันหมดแล้วเจ้าค่ะ เป็นไปไม่ได้ว่าจะยังพูดกันไปอีกหนึ่งปีครึ่งปีหรอกเจ้าค่ะ”
นางคิดจะหลบเลี่ยงเรื่องหนักหนาเพื่อทำให้เรื่องเบาลง แต่กลับปิดบังคนปราดเปรื่องเช่นฮูหยินซูไม่ได้ นางจึงยิ้มเย็นแล้วว่า “ยามนี้ข้าถามนางเรื่องที่นางบอกว่าไม่ใช่ลูกข้า …ไอ้เจ้าลูกไม่รักดี ไสหัวออกมาพูดกับข้าให้รู้เรื่อง! หากมิใช่เป็นเพราะเจ้าไม่ได้ความ อยู่ดีๆ ข้าจะไปตีเจ้ารึ?”
“ท่านแม่!” เว่ยฉางอิ๋งเห็น ฮูหยินซูไม่ยอมลดราวาศอก รีบเข้าไปคุกเข้ากับพื้น ดึงกระโปรงนาง กล่าวว่า “วันนี้น้องสี่ช่วยออกหน้าแทนสะใภ้จึงได้ไปผลักเว่ยฉางเจวียน หากท่านแม่จะตีก็ตีสะใภ้เถิดเจ้าคะ! หากมิใช่เพราะสะใภ้ วันนี้น้องสี่ต้องเรียบร้อยเป็นอย่างยิ่งทีเดียวเจ้าค่ะ และไม่ได้ไปก่อเรื่องใดแน่นอน!”
เสิ่นจั้งหนิงกระโดดโหยงเหยงก็วิ่งไปหลบที่หลังต้นเสา เพื่อมิให้ในช่วงที่ พี่สะใภ้คุกเข่าลง แล้วฮูหยินซูจะได้จังหวะมาจับตนเอาได้ คนไปหลบอยู่หลังต้นเสาแล้วโผล่หัวออกมาแลบลิ้น “พี่สะใภ้น่าสงสารจริง พี่น้องบ้านฝั่งมารดาก็มีเจตนาไม่ดี ยามกลับมาก็ยังต้องมาปรามท่านแม่อีก ท่านแม่หนอท่านแม่ ในเมื่อข้าเป็นลูกท่านจริงๆ ท่านก็จะดีกับข้าสักหน่อยมิได้หรือ? ท่านดูสิวันนี้ ลูกผู้พี่อวี๋ลี่ออกเรือน ท่านอาสะใภ้สามร้องไห้ออกปานนั้น …หากวันหน้าข้าเกิดต้องแต่งงานออกไปไกลๆ ยามนั้นท่านอยากจะมองข้าสักหนก็ยังยากเลย แล้วหากนึกขึ้นมาว่ายามนี้อันใดก็เอาแต่ตีข้า แล้วอย่าได้มาคิดเสียใจภายหลังจนต้องคลุมโปงร้องไห้ทุกวี่วันเล่า!”
“เจ้าคิดดีนักนะ!” ฮูหยินซูถูกสะใภ้ทั้งดึงทั้งกอดจนไล่ตีนางไม่ได้ จึงได้แต่ดุด่าไปอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ข้ารอให้เจ้าแต่งไปอยู่ไกลๆ ไม่ไหวนะสิ ตาไม่ได้เห็น ใจจะได้ไม่ต้องกลุ้ม!”
เว่ยฉางอิ๋งปรามว่า “ท่านแม่อย่าพูดไปด้วยอารมณ์เช่นนี้สิเจ้าค่ะ น้องสี่ก็อย่าคิดเป็นจริงไป…”
ฮูหยินซูเอ่ยอย่างโกรธแค้นว่า “เจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! ที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริงจากใจ!”
“เป็นความจริงจากใจข้าก็ไม่เสียใจหรอก!” เสิ่นจั้งหนิงเอ่ยสู้อย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน “ดีชั่วข้าก็ยังมีท่านพ่อรัก!”
“ไอ้เจ้าตัวเล็ก! กลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้!” เมื่อเห็นนางพูดจบก็วิ่งไปข้างนอก ฮูหยินซูจึงพูดไปอย่างโกรธเกรี้ยว
เสิ่นจั้งหนิงหรือจะฟังนาง? พลันหัวเราะฮ่าๆ แล้ววิ่งไปไกล …ฮูหยินซูจึงได้เรียกให้สะใภ้ลุกขึ้นมาด้วยความจนใจ “ล้วนเป็นเพราะพวกเจ้าปกป้องเอาใจนาง ยามนี้จั้งหนิงนับวันยิ่งไม่ได้ความแล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋งพลางลุกขึ้นพลางยิ้มสู้ กล่าวว่า “คำกล่าวของท่านแม่นี้ มิใช่เพราะสะใภ้ต่อว่าลูกผู้น้องทางบ้านฝั่งมารดา แต่หากเทียบน้องสี่กับลูกผู้น้องเจ็ดฝั่งบ้านมารดาของสะใภ้แล้ว เมื่อว่ากันเรื่องรู้ความ ก็นับว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดินเชียวนะเจ้าคะ”
ฮูหยินซูถอนหายใจ “เรื่องใหญ่นั้นนางไม่เลอะเลือน แต่เจ้าลองคิดดู นางเป็นหญิงผู้หนึ่ง ชั่วชีวิตนี้จะสามารถไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ๆ ได้สักกี่เรื่องกัน? วันหน้าเมื่อออกเรือนแล้ว ต้องอยู่กับสามีอบรบบุตร ต้องคอยดูแลเรื่องเล็กน้อยต่างๆ ในเรือนหลัง นี่ต่างหากคือเรื่องที่นางต้องทำจริงๆ! เรื่องเหล่านี้นางก็ยังทำได้ไม่ดี แล้วจะไม่ให้ข้าร้อนใจแทนนางได้อย่างไร?”
“ยามนี้น้องสี่ยังห่วงเล่น เพราะอย่างไรก็ยังไม่ถึงเวลานั้น ด้วยความเฉลียวฉลาดของน้องสี่ แล้วจะมีเรื่องใดที่นางไม่รู้เล่าเจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าที่แม่สามีเอาแต่พร่ำบอกว่าไม่รักไม่ห่วงบุตรสาวคนเล็ก ความจริงแล้วกลับเป็นห่วงเสียจนว้าวุ่นใจไปหมดแล้วต่างหาก …นางเป็นห่วงเสิ่นจั้งหนิงมากเกินไป น้องสามีที่ฉลาดปานนี้ ถ้าว่ากันเรื่องจิตใจที่กว้างขวางนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าซูอวี๋ลี่เลย วันหน้าเมื่อออกเรือนแล้วยังต้องกลัวว่านางจะมีชีวิตที่ไม่ดีอีกหรือ?
ฮูหยินซูบอกว่า “เฮ่อ… ได้แต่หวังว่าให้เป็นดังนั้นเถิด”
เพราะไม่มีเรื่องอื่นแล้ว และเพิ่งจะกลับจากงานเลี้ยงมา ฮูหยินซูรู้สึกอ่อนเพลีย จึงให้สะใภ้กลับไปเสีย
เว่ยฉางอิ๋งกลับไปถึงเรือนจินถง จึงขาดเสียมิได้ที่จะเล่าเรื่องแต่ต้นจนจบให้นางหวงฟัง นางยิ้มเยาะกล่าวว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าท่านอาสะใภ้รองของข้าสอนสั่งบุตรสาวที่โง่เง่าเพียงนี้ออกมาได้อย่างไร? ทำเอาข้าเสียหน้าต่อหน้าท่านแม่ไปด้วย!”
เมื่อนางหวงฟังจบกลับเอ่ยอย่างสงสัยว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกันเจ้าคะ? จากนิสัยของฮูหยินรองแล้ว ไม่มีทางอบรอบคุณหนูเจ็ดให้เป็นเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ” จึงถามว่า “ยามนั้นคุณหนูเจ็ดอยู่กับคุณหนูใหญ่ หรือว่าอยู่กับผู้ใดเจ้าคะ?”
______________________________