ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 139-1 เติ้งวานวาน
ตอนที่ 139-1 เติ้งวานวาน
Xiaobei
…เมื่อพระมารดาท่านอ๋องรุ่นและพระชายาท่านอ๋องรุ่นได้ยินข่าวก็รีบมา ทั้งช่วยเตือนช่วยปรามจึงแยกองค์หญิงทั้งสองพระองค์ออกจากกันได้ และแน่นอนว่าพี่น้องแห่งราชสำนักทั้งสามคนนี้ไม่อาจไปพบพระธิดาเฉิงเสียนด้วยกันได้แล้ว และเพราะว่าองค์หญิงชิงซินบาดเจ็บที่หัวเข่าพระชายาท่านอ๋องรุ่นจึงบอกให้นางไปใส่ยากับตนที่โถงทางด้านหลัง แล้วค่อยรอแพทย์หลวงมาดูแผลให้อีกครั้ง
องค์หญิงชิงซินเคยต้องเสียเปรียบพลาดท่าเช่นนี้มาก่อนเมื่อใด? นางร้องห่มร้องไห้โวยวายอย่างน่าอนาถ บอกแต่ว่าจะกลับวังไปหาเสด็จพ่อเสด็จแม่ เพื่อให้ลงโทษองค์หญิงอันจี๋ให้ตาย
องค์หญิงอันจี๋เท้าสะเอว ยิ้มหยันพลางว่า “เจ้าไปฟ้องเถิด แต่ไรมาไม่เคยได้ยินว่าคนเป็นพี่ลงมือสั่งสอนน้องสักหนสองหนเพราะพูดจาไม่เคารพผู้ใหญ่แล้วจะถูกลงทัณฑ์ถึงตาย อีกประการหากข้ากลัวตาย แล้วหลายปีมานี้มีผู้ใดที่ไม่เคารพต่อตำหนักโต่วจิ่นมาก่อนหรือไม่? ข้าจะบอกเจ้าให้ ต่อให้วันนี้กลับวังไป แล้วเสด็จพ่อจะปลดฐานันดรของพวกเราแม่ลูก เนรเทศพวกเราไป แต่หากเจ้ายังมาด่าเสด็จแม่ของข้าอีกคำ ข้าก็จะชกเจ้าเช่นนี้อีก!”
คำพูดนี้ทำเอาองค์หญิงชิงซินสำลักพูดไม่ออก นางจึงไม่เอ่ยเรื่องลงทัณฑ์องค์หญิงอันจี๋อีกแล้ว เอาแต่ร้องไห้บอกจะกลับวัง
มุกในมือของฮองเฮามาอวยพรให้ที่จวน ปรากฏว่ากลับถูกทำจนเป็นสภาพนี้กลับไป แม้จะเป็นพระพี่นางของนางเป็นคนตี ทว่าพระมารดาท่านอ๋องรุ่นและพระชายาท่านอ๋องรุ่นก็กลัวว่าจะพลอยต้องรับเคราะห์ไปด้วย แล้วจะยอมปล่อยนางกลับไปทั้งเช่นนี้ได้อย่างไร? พวกนางย่อมต้องปลอบแล้วปลอบอีก ทั้งดึงทั้งประคอง เอานางเข้าไปในเรือนของพระชายาท่านอ๋องรุ่น แล้วเรียกคนมาใส่ยาให้เรียบร้อย …ครานี้ พระชายาท่านอ๋องรุ่นก็ดึงตัวเว่ยฉางอิ๋งที่นางดึงมาพร้อมกัน ให้มาอยู่ข้างๆ ด้วย แล้วกระซิบว่า “เจ้าไปใส่ยาให้องค์หญิงเถิด แล้วพูดจาดีๆ สักคำสองคำ เวลานี้ องค์หญิงกำลังโกรธองค์หญิงอันจี๋ ไม่แน่ว่าจะไม่ไล่เรียงเอาความเจ้าแล้ว”
เวลานี้เว่ยฉางอิ๋งรังเกียจองค์หญิงชิงซินเสียยิ่งนัก เดิมทีไม่อยากสนใจนาง แต่เพราะพระชายาท่านอ๋องรุ่นรบเร้า เมื่อคิดว่าตนเองยังไม่สนิทกับท่านอาร่วมตระกูลผู้นี้มากนัก ไม่ถึงขั้นไม่ยอมรับความหวังดีของอีกฝ่ายได้ จึงจำต้องกล้ำกลืนโทสะ ถือยาเนื้อเนียนข้นเดินไปตรงหน้าองค์หญิงชิงซิน
ยามนี้กระโปรงขององค์หญิงก็ถูกดึงขึ้นมา ปรากฏว่าบนเข่าขาวเนียนมีรอยถลกใหญ่สองรอย ทั้งแดงทั้งม่วงดูแล้วน่ากลัวนัก
องค์หญิงดึงแขนเสื้อลง มองเห็นเว่ยฉางอิ๋งก็โมโหโกรธาขึ้นมาอีกหน กล่าวว่า “เหตุใดจึงเป็นนางมา? ข้าไม่ชอบนาง! เปลี่ยนคนอื่นมาใส่ยา! เสด็จอาสะใภ้ ท่านมา!”
เว่ยฉางอิ๋งอยากจะโยนยาใส่หัวนางเสียจริงๆ ดีที่พระชายาท่านอ๋องรุ่นเป็นคนใจเย็น ยิ้มพลางเอ่ยปลอบนางว่า “องค์หญิงไม่ทราบ ฉางอิ๋งฝึกวรยุทธมาแต่เล็ก มักบาดเจ็บภายนอกเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง เวลานี้องค์หญิงก็บาดเจ็บภายนอกเช่นกัน ใส่ยาให้บาดแผลเช่นนี้ อย่างไรฉางอิ๋งก็มีประสบการณ์ที่สุดเพคะ ผู้อื่นใส่ยาให้กลัวจะทำให้ทรงเจ็บเอา หากองค์หญิงไม่เชื่อ เช่นนั้นหม่อมฉันจะใส่ให้?”
องค์หญิงชิงซินที่ถูกประคบประงมมาจนเคยตัวจึงกลัวความเจ็บปวดนัก ได้ยินคำก็รีบเอ่ยไปว่า “เช่นนั้นก็ให้นางมาก็แล้วกัน”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยิน พระชายาท่านอ๋องรุ่นบอกว่าเวลาตนเองใส่ยาจะไม่เจ็บก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันใด… จึงได้แต่มองบาดแผลขององค์หญิงชิงซิน ใส่ยาลงในบาดแผลจะไม่เจ็บได้ที่ได? กำลังจะพูด ก็ถูกพระชายาท่านอ๋องรุ่นแอบดึงเอาหนหนึ่ง …แล้วเปิดตลับยาออกมาให้นางดม นางจึงเข้าใจ ยาใส่แผลตลับนี้ ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นผู้ใดเป็นคนใส่ นอกจากเสียจากจงใจออกแรงกดแผลขององค์หญิง หาไม่แล้วก็จะไม่เจ็บ เพราะในนั้นผสมยาชาเอาไว้…
เดิมทียาชนิดนี้จะใช้กับบาดแผลภายนอกที่สาหัส คิดว่าองค์หญิงชิงซินมีฐานะสูงส่งนัก มาหกล้มจนบาดเจ็บในจวนอ๋องรุ่นเดิมทีก็ทำให้คนทั้งจวนท่านอ๋องปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว หากเวลานี้ใส่ยาให้นางแล้วทำให้นางเจ็บแม้เพียงน้อย ก็ไม่รู้ว่าเมื่อกลับวังไปแล้วจะไปอาละวาดต่อพระพักตร์ฮองเฮาอย่างไรอีก จึงเอายาชนิดนี้ออกมารับมือกับนางเสียเลย
ปรากฏว่า เว่ยฉางอิ๋งโน้มตัวลงไปทายาที่เขาทั้งคู่ขององค์หญิง และองค์หญิงชิงซินก็ไม่ได้ร้องเจ็บแม้สักคำ กลับเอ่ยอย่างค่อนข้างประหลาดใจว่า “ไม่เจ็บจริงด้วย …ดูไปแล้ว เจ้าก็พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “หม่อมฉันขอบพระทัยที่องค์หญิงชมเชยเพคะ” แล้วเอาตลับยาคืนให้แก่พระชายาท่านอ๋องรุ่น แล้วขอตัวออกไป
เมื่อครู่นี้องค์หญิงชิงซินเพิ่งจะบอกว่าไม่อยากให้นางอยู่ตรงหน้า แต่ครานี้กลับไม่ยอมปล่อยนางไปเสียแล้ว กล่าวว่า “เจ้าช้าก่อน! เจ้าเคยเรียนวรยุทธ มาบอกข้าสักหน่อย ทำอย่างไรข้าจึงจะสู้ชนะอันจี๋?”
องค์หญิงอันจี๋ทำให้คนปวดเศียรเวียนเกล้าถึงเพียงนั้น ผู้ใดจะยอมไปล่วงเกินนาง? ยิ่งไม่ต้องบอกว่าเว่ยฉางอิ๋งรำคาญองค์หญิงชิงซินนัก รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าองค์หญิงอันจี๋ซัดองค์หญิงชิงซินไปหนักๆ ยกหนึ่งนั้นช่างสะใจยิ่ง อดจะหวังให้องค์หญิงเจ้าเล่ห์องค์นี้เป็นเหมือนองค์หญิงหลินชวนไม่ได้ ให้ถูกองค์หญิงอันจี๋ตีอยู่ชั่วชีวิตก็ยังลุกขึ้นมาไม่ได้อย่างนั้นได้เป็นดี ได้ยินคำจึงเอ่ยไปด้วยท่าทีไม่เสแสร้งว่า “วรยุทธของหม่อมฉันต่ำต้อยนัก ล้วนเป็นพวกการร่ายรำเพลงหมัดเพลงเตะ ไม่อาจช่วยคลายข้อสงสัยขององค์หญิงได้ ต้องขอให้องค์หญิงลงทัณฑ์ด้วยเพคะ”
ไม่คิดว่าองค์หญิงชิงซินที่ก่อนนี้ดื้อรันไร้เหตุผลแต่ยามนี้กลับมีเหตุผลขึ้นมาเสียอย่างนั้น แล้วทอดถอนใจ กล่าวว่า “ข้ารู้อยู่แล้ว พวกเจ้าทุกคนหวาดกลัวนางเหมือนหนูเห็นแมวเช่นนั้น!”
แล้วว่า “เห็นแก่ที่เจ้าใส่ยาให้ข้ามีความชอบ เรื่องของเว่ยฉางเจวียนก่อนหน้านี้ ข้าจะไม่เอาถือสาหาความเจ้า เจ้าไปได้แล้ว”
ประเดี๋ยวไร้เหตุผลประเดี๋ยวมีเหตุผลขึ้นมาเช่นนี้ หากว่ากันจริงๆ แล้วก็เหมือนกับเด็กหญิงในวัยนี้ทั่วๆ ไป ที่ถูกตามใจจนเสียคนไม่มีผิดเพี้ยน ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นคนที่มีจิตใจชั่วร้าย ตามหลักแล้วตนเองก็เป็นผู้ใหญ่ทั้งยังเป็นหญิงที่ออกเรือนแล้ว ไม่ควรไปถือสาองค์หญิงตัวน้อยที่อายุเพิ่งจะสิบขวบ แต่จนใจนักที่เว่ยฉางอิ๋งเองก็ถูกท่านย่าและท่านแม่เอาใจมาแต่เล็กจนโต ยามใดจะเคยถูกคนลบหลู่ดูหมิ่นเช่นนี้มาก่อน? เวลานี้ไม่ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะมององค์หญิงชิงซินอย่างไรก็น่าเกลียดไปหมด องค์หญิงชิงซินไม่อยากพบนาง นางก็ไม่ได้อยากทนอยู่ที่นี้ดูหน้าขององค์หญิงตัวเล็กที่ความจริงแล้วก็งดงามไม่เบา จึงอดไม่ได้ที่จะพูดไปคำสุดท้ายและก้มตาลงต่ำในทันใดว่า “ขอบพระทัย องค์หญิง”
นางไปทักทายปราศรัยกับพระชายาท่านอ๋องรุ่นอีกสองสามคำ และหลังออกไปจากเรือนของพระชายาท่านอ๋องรุ่นแล้ว สีหน้าของนางก็ค่อยๆ นิ่งลงจนไร้ความรู้สึก เมื่อมองเห็นว่ารอบๆ ไม่มีคน จึงหันหน้าไปพูดกับฉินเกอที่อยู่ข้างหลังว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าทำดีมาก หยดสีฟ้าเล็กๆ ที่ปลายเข็มนั่นคือยาใด?”
ฉินเกอเอ่ยอย่างนอบน้อมด้วยเสียงบางเบาว่า “ก็คือยาที่ทำให้คนเกิดฉุนเฉียวขึ้นมาเจ้าค่ะ ข้าน้อยคิดว่าตอนนั้นองค์หญิงชิงซินทะเลาะกับองค์หญิงอันจี๋แล้ว องค์หญิงอันจี๋คอยปกป้องท่านหญิงเจินอี้เสมอมา… องค์หญิงชิงซินช่วยเว่ยฉางเจวียนรังแกลบหลู่ฮูหยินน้อย ให้องค์หญิงอันจี๋จัดการนางสักยกก็สมควรแล้วเจ้าค่ะ” แล้วว่า “ยาเป็นท่านอาหวงมอบให้เจ้าค่ะ ข้าน้อยก็คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ของที่นำมาวันนี้ก็ไม่ครบครัน มีเพียงสิ่งนี้เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งพ่นลมหายใจออกมา หันหน้าไปมององค์หญิงชิงซินที่กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องหนหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้ารู้แล้ว เพียงแต่รู้สึกเสียดายที่ยามนี้ท่านพี่ไม่อยู่ในเมืองหลวง ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่… อย่างไรเสียข้าก็จดจำเรื่องในวันนี้เอาไว้แล้ว!” หากมิใช่กลัวว่าจะมีผลกระทบต่อแผนการใหญ่ล้มเบื้องสูงของพ่อสามี เว่ยฉางอิ๋งก็อยากจะแอบเข้าไปในรถม้าของนาง รอจนงานเลี้ยงในวันนี้เลิกรา แล้วจัดการองค์หญิงชิงซินระหว่างทางกลับวังให้หนักๆ สักหน!
ฉินเกอก็รู้ว่าเว่ยฉางอิ๋งที่แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งมองนางประหนึ่งเป็นอัญมณีล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ที่ใดจะทนองค์หญิงได้ไหว…. ประสาอะไรที่องค์หญิงจงใจมาหาเรื่องด้วย? นางจึงเอ่ยปลอบไปเบาๆ ว่า “ภายหลังฮูหยินน้อยก็ยังต้องไปเข้าเฝ้าฯ ในวัง คราหน้าพวกข้าน้อยต้องตระเตรียมทุกสิ่งมาให้พร้อมสรรพเจ้าแน่นอนค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นซูอวี๋ลี่หรือพระธิดาเฉิงเสียนออกเรือน งานแต่งทั้งสองงานนี้ทำให้นางหนักเหนื่อยใจเป็นที่สุดแล้ว
ความรู้สึกเดือดร้อนรำคาญใจนี้เช่นนี้มีไปจนเมื่อนางได้พบกับซ่งซีเยวี่ยและซ่งหรูเซวียนสองพี่น้อง จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
_______________________________