ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 14 กลับบ้าน
วันรุ่งขึ้นก็คือวันกลับบ้าน[1]ตามกำหนด ฮูหยินซูไปเยี่ยมมารดาที่บ้านเดิมของนางและนอนค้างคืนไม่ได้กลับมา เสิ่นเซวียนเข้าวังไปตั้งแต่เช้า ยามเว่ยฉางอิ๋งและเสิ่นจั้งเฟิงออกจากบ้านก็อดจะรู้สึกวังเวงเงียบเหงาไม่ได้… มีเพียงนางหลิวที่รีบมาสั่งความสองสามประโยค แล้วนำของกำนัลยามกลับบ้านมามอบให้แล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ฝนยังคงตกอยู่จนวันนี้ไม่ยอมหยุด เสิ่นจั้งเฟิงและภรรยานั่งรถไปด้วยกัน
รถม้าหมุนเคลื่อนออกจากจวนราชครู เมื่อมองผ่านม่านแพรบางไปภายนอก ท้องถนนในเมืองหลวงกว้างใหญ่เป็นระเบียบ มีต้นหลิวเรียงรายอยู่สองข้างทาง ผู้คนขวักไขว่ไปมาหนาแน่นดังผ้าทอ ดูเจริญและคึกคักกว่าเฟิ่งโจวมากนัก ทิวทัศน์ต่างๆ ก็มีหลายแห่งดูแปลกตา
…เมืองหลวงที่ดูมีชีวิตชีวาเช่นนี้ มองไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าชายแดนทางเหนือและทางตะวันตกกำลังร้อนระอุไปด้วยเพลิงสงคราม และในแผ่นดินต้าเว่ยอันกว้างใหญ่ไพศาลก็มีพวกโจรกำแหงอยู่ทุกทั่วหัวระแหง สร้างความลำเค็ญให้ผู้คนจนถึงขั้นที่ไม่มีใครคาดคิดถึง
ตลอดทางจากเฟิ่งโจวถึงเมืองหลวง แม้จะมีองครักษ์คอยอารักษ์ขา แต่เว่ยฉางอิ๋งก็ยังพอจะได้ยินว่าบางพื้นที่ที่ผ่านมานั้นมีความข้นแค้นและยากจนเพียงใด ความทุกข์ยากและอับจนหนทางของชาวบ้านที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้เว่ยฉางอิ๋งซึ่งเกิดมาก็มีแพรพรรณอาภรณ์อาหารชั้นเลิศยากจะจินตนาการถึงได้
หลังจากเห็นชาวบ้านเหล่านั้นและได้มาเห็นความเจริญรุ่งเรืองและโอ่อ่าของเมืองหลวง ในใจของเว่ยฉางอิ๋งกลับรู้สึกเคว้งคว้างทั้งยังร้อนใจและเป็นกังวลขึ้นมาอย่างประหลาด
เสิ่นจั้งเฟิงเห็นนางมองไปนอกรถอย่างเหม่อลอย ยังหลงนึกว่านางอยากดูทิวทัศน์ของเมืองหลวง จึงกล่าวว่า “นับแต่วันพรุ่งข้าต้องไปทำงาน รอจนวันหยุดคราหน้า ข้าจะพาเจ้าออกมาดูให้ถ้วนทั่ว?”
“อ่ะ?” เว่ยฉางอิ๋งได้สติคืนมา กล่าวว่า “ก็มิใช่ว่า…”
ขณะที่นางกำลังพูด มีม้าสองตัววิ่งเหยาะๆ ผ่านมาที่ข้างรถ คงเพราะเห็นตราบนตัวรถ คนสวมงอบที่ขี่อยู่บนหลังม้าจึงบังคับม้าให้วิ่งช้าลงและเข้ามาทักทายคนในรถ “ในรถคงจักเป็นน้องย้าวเหยี่ยพาฮูหยินกลับบ้านกระมัง?”
เสียงนี้เว่ยฉางอิ๋งเองก็จำได้ นางกล่าวเบาๆ ไปว่า “เป็นคุณชายกู้?”
เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้า แล้วหันหน้าไปทางม่านหน้าต่างด้านข้างตัวเขา ตอบกู้อี้หรานไปว่า “ใช่แล้ว ท่านพี่จื่อหมิง น้องกู้เสียนไยจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
ก่อนหน้านี้เว่ยฉางอิ๋งเคยพบกับกู้อี้หรานมาแล้ว ยามนี้จึงเปิดม่านหน้าต่างออกและพยักหน้าน้อยๆ เป็นการทักทาย…จึงเห็นว่านอกจากกู้อี้หรานแล้ว คนที่อยู่บนม้าอีกคนเป็นชานหนุ่มหน้าตาโดดเด่นซึ่งอยู่ในวัยที่ยังไม่สวมหมวก แม้จะสวมงอบและเสื้อคลุมฟางก็ยังรู้สึกได้ถึงความแข็งแรงปราดเปรียว ทั้งสองคนตอบมาพร้อมกันว่า “ได้ยินมาว่าผิงซวีล้มป่วย ข้าจึงแลกเวรกับผู้อื่น ยามนี้กำลังจะเดินทางไปเยี่ยม”
“ผิงซวีล้มป่วย? ไยจึงเป็นเช่นนี้?” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถามอย่างสงสัย
กลับเห็นกู้อี้หรานและเด็กหนุ่มที่ยังไม่สวมหมวกสบตากันคราหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างค่อนข้างลำบากใจว่า “พวกข้าก็เพิ่งรู้ข่าว กำลังจะเดินทางไปสอบถาม”
แล้วสนทนากันอีกสองสามประโยค ทั้งสองฝ่ายจึงได้ร่ำลากัน
เมื่อฟังเสียม้าห่างออกไป เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยถามว่า “คนเหล่านี้ล้วนเป็นสหายสนิทของเจ้าหรือ?”
“อืม” เสิ่นจั้งเฟิงตอบไปคำหนึ่งด้วยท่าทีคล้ายจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เว่ยฉางอิ๋งถามไปอีกว่า “ผิงซวีเป็นผู้ใด? เมื่อเขาล้มป่วย ไยเจ้าจึงดูเป็นกังวลเช่นนี้?”
“คือจางลั่วหนิงบุตรชายบ้านใหญ่ของตระกูลจาง” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “อาจมีเรื่องยุ่งยากเล็กน้อย… ก่อนข้าจะลงใต้ไปเฟิ่งโจว เคยได้ยินเสียงร่ำลือในวังว่า ฮ่องเต้มีพระประสงค์จะคัดเลือกราชบุตรเขยให้แก่องค์หญิงหลินชวน ครานั้นมีคนเสนอชื่อเขา”
เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าในรัชสมัยนี้มีการปฏิบัติต่อองค์หญิงเป็นพิเศษเพียงใด บรรดาราชนิกุลล้วนลุแก่อำนาจและเหี้ยมโหดทั้งนั้น องค์หญิงที่ทั้งลงไม้ลงมือและด่าทอราชบุตรเขยมีให้เห็นบ่อยครั้งยิ่ง หากเป็นคนธรรมดาก็แล้วไป แต่หากเป็นคนในตระกูลใหญ่ต่างๆ ที่เดิมทีก็มีเกียรติยศมีฐานะ ยิ่งไปกว่านั้นตนเองยังได้รับการเอาอกเอาใจรักใคร่อย่างยิ่งมาแต่เล็กจนโต จึงไม่อาจอดทนที่ต้องมาปรนนิบัติผู้ใด ดังนั้นเมื่อได้ยินว่ามีการคัดเลือกราชบุตรเชย บรรดาลูกหลานตระกูลใหญ่ โดยเฉพาะบุตรหลานในตระกูลสายหลักล้วนวิงวอนต่อฟ้าดินว่าอย่าได้ถูกเลือกเลย
เมื่ออ่านจากท่าทีของเสิ่นจั้งเฟิ่งในยามนี้ นางจึงได้ลองสอบถามไปว่า “เขา…ผู้นี้คงไม่ใคร่ยินยอม?”
“ไม่” เสิ่นจั้งเฟิงลูบที่ใต้คางพร้อมสีหน้าฉงนสนเท่ห์ “ครานั้นยามข้านำราชโองการของฮ่องเต้ไปลองสอบถามเป็นการส่วนตัว จางผิงซวีกลับมิได้มีท่าทีปฏิเสธการอภิเษก” และอธิบายไปอีกว่า “แม้องค์หญิงหลินชวนจะเป็นผู้ที่มีเล่ห์เหลี่ยมอยู่บ้าง ทว่าจางผิงซวีก็มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเมืองหลวง องค์หญิงโปรดผลงานกวีของเขายิ่ง ทั้งยังเคยเอ่ยชมเขาต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้หลายหน ดังนั้นผู้คนที่อยู่ใกล้ชิดฮ่องเต้จึงคิดเลือกสรรเขาให้องค์หญิงหลินชวน และฮ่องเต้ก็ทรงเห็นดีด้วย… วันนี้ไยจึงล้มป่วยเสียแล้ว?”
การบอกว่าเจ็บป่วยเป็นวิธีที่บรรดาบุตรหลานตระกูลใหญ่มักจะใช้เมื่อไม่ต้องการเข้าวัง ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้เพิ่งจะมีการเอ่ยถึงเป็นการภายในเมื่อเดือนสอง จนยามนี้ก็จวนจะมีข่าวคราวที่ชัดเจนแพร่ออกมา กระทั่งจวนจะมีพระราชโองการออกมาแล้ว จางผิงซวีกลับมาล้มป่วย มิน่าเล่าเสิ่นจั้งเฟิงจึงได้รู้สึกสงสัย
เว่ยฉางอิ๋งเม้นปาก “คุณชายกู้มิใช่บอกว่าเจ็บป่วย? และมิได้บอกว่าเป็นโรคร้ายใด อาจเพียงปวดหัวตัวร้อน อีกสักสองวันก็อาจจะดีขึ้นแล้ว?”
เสิ่นจั้งเฟิงคิดไปก็เห็นว่าเป็นดังนั้น แม้จางผิงซวีจะทะนงในชื่อเสียงและความสามารถของตน ทั้งยังเคยคุ้นกับแหล่งประโลมโลกต่างๆ ในเมืองหลวงยิ่ง เขาค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในเรื่องเจ้าชู้ประตูดินและใช้อำนาจบาตรใหญ่อ แต่ก็มิได้เป็นคนกลับกลอกไปมา ก่อนนี้ในเมื่อเขาก็ยอมรับโดยปริยายและไม่ได้คัดค้านที่จะแต่งงานกับองค์หญิง ยามนี้ก็ไม่ควรมีการเปลี่ยนแปลงจึงจะถูก คงเพราะตนคิดมากเกินไปเอง
จึงได้ยิ้มและหันมาแนะนำทั้งสองคนที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครู่นี้ “พี่จื่อหมิงหรือกู้อี้หราน เจ้าเคยได้พบในเฟิ่งโจวแล้วรึ? ผู้ที่อยู่ข้างๆ ก็แซ่กู้เช่นกัน แต่เป็นบุตรหลานของตระกูลกู้แห่งหงโจว และเป็นหลานชายของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน มีนามว่ากู้เวย ยามนี้ยังมิได้สวมหมวกยังไม่มีนามรอง”
“ข้าจำได้ว่ากู้จื่อหมิงเป็นราชองครักษ์อี้?” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างสงสัย “หรือว่ากู้เวยผู้นี้ก็เป็นด้วย?” หลานชายของฮองเฮา ด้วยฝีมือของฮ่องเฮาองค์นี้ก็คงจะไม่อาจไม่ส่งเสริมคนในตระกูลของตน
เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหัว “กู้เวยเป็นราชองครักษ์ชิน” เขากล่าวว่า “การประลองหน้าต่อหน้าพระพักตร์ พวกเราสองสามคนโชคดีมีชัยอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงมีความคุ้นเคยกันภายในเหล่าราชองครักษ์ทั้งสามอยู่บ้าง พี่จื่อหมิงเป็นคนสุภาพใจกว้าง พี่น้องในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดที่ไม่เป็นมิตรกับเขา ผู้ที่เขาคบหาด้วยนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เหล่าราชองครักษ์ทั้งสามเท่านั้น”
“แล้วเจ้าเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางว่า “ข้าดูเจ้าก็มิได้เป็นคนใจร้าย แล้วไยดูราวกับว่าวาสนาเรื่องคนของเจ้าดีไม่สู้เขาเล่า?”
เสิ่นจั้งเฟิงมองนางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าวว่า “อ๋า เจ้ารู้สึกว่าข้ามิได้เป็นคนใจร้ายหรือ? ไม่ใจร้ายอย่างไร? ควรมีรางวัลหรือไม่?”
“เจ้าก็เป็นคนใจดีถึงเพียงนี้แล้ว ยังต้องให้รางวัลใดแก่เจ้าอีก?” เว่ยฉางอิ๋งหัวไวนักพลางตอบกลับไปทันควัน
“นี่เป็นการบังคับให้วันหน้าสามีร้ายกับเจ้าสักหน่อยหรือ?” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวยิ้มๆ พลางยื่นนิ้วไล้ที่ข้างแก้มนาง
เว่ยฉางอิ๋งซัดหมัดเข้าหาเขาหลายหมัดตามความเคยชิน กล่าวตำหนิพลางแง่งอนว่า “เจ้ากล้า!”
เสิ่นจั้งเฟิงลูบคาง แล้วหัวเราะเสียงดังขึ้นมา
ทั้งสองคนเย้าหยอกกันไปสองสามประโยคแล้วกลับลืมคำถามของเว่ยฉางอิ๋งไปเสียแล้ว เพียงแต่เว่ยฉางอิ๋งลองคิดๆ ดูก็พอจะเข้าใจแล้ว ‘เสิ่นจั้งเฟิงได้ที่หนึ่งเสมอ ไม่ว่าจะเป็นคนสุภาพอ่อนโยนเพียงใด อย่างไรก็ย่อมเป็นที่ขัดหูขัดตาคน แล้วจักเทียบกับกู้อี้หรานได้อย่างไร?’
เช่นนี้เรื่อยไปจนถึงจวนตระกูลเว่ย คุณชายรองเว่ยฉางอวิ๋นและคุณชายสามเว่ยฉางซุ่ยรออยู่ที่หน้าประตูใหญ่นานแล้ว เมื่อเห็นสองสามีภรรยาลงมาจากรถจึงรีบเข้าไปกล่าวทักทาย
เมื่อสนทนาปราศรัยกันสองสามประโยคแล้ว เว่ยฉางอวิ๋นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อท่านแม่คอยอยู่ในโถงแล้ว” จึงได้ต่างคนต่างเชิญกันเดินเข้าไป
วันนี้เว่ยเซิ่งอี๋ก็ลากิจมาเพื่อรอรับพวกเขาโดยเฉพาะ ในพิธีเข้าพบปะและคราวะทั้งสองฝ่ายต่างเล่าถึงความรู้สึกของตน ต่างฝ่ายจึงต่างคอยสังเกตกันและกันอย่างขาดไม่ได้ เว่ยฉางอิ๋งได้พบอาสะใภ้รองเป็นหนแรก และพบว่านางมีความเป็นบุตรสาวตระกูลตวนมู่จริงๆ เค้าหน้าของฮูหยินแซ่ตวนมู่และนางตวนมู่คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก การปฏิบัติตนกับผู้อื่นก็มิได้ตื้นเขิน ยังมิทันคุยด้วยถึงสองประโยค นางก็มองเว่ยฉางอิ๋งด้วยแววตารักใคร่เอ็นดูยิ่ง ราวกับว่านางเป็นฮูหยินซ่งเสียเองเช่นนั้น…หากไม่รู้มาก่อน ยังนึกว่าวันนี้จวนตระกูลเว่ยกำลังรอบุตรสาวแท้ๆ กลับบ้านอยู่จริงๆ
ลูกผู้พี่ทั้งสอง ทั้งเว่ยฉางอวิ๋นและเว่ยฉางซุ่ยช่วยเว่ยเซิ่งอี๋ต้อนรับเสิ่นจั้งเฟิง ส่วนฮูหยินตวนมู่ก็เชิญเว่ยฉางอิ๋งไปสนทนากันที่ด้านหลังโถง
วันนี้เว่ยฉางหว่าน ซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่ที่แท้จริงตามลำดับของตระกูลเว่ยก็กลับมาด้วย คุณหนูใหญ่ผู้นี้รูปโฉมงดงาม ทว่าสีหน้าเรียบเฉยนัก ทั้งยังมีท่าทีค่อนข้างเย็นชากับเว่ยฉางอิ๋ง บางครายังมองนางหวงที่ติดตามมาด้วยสายตาที่เย็นชาเสียยิ่งกว่า เว่ยฉางอิ๋งมองเห็นทุกสิ่งจึงอดจะคาดเดาไม่ได้ว่าก่อนนี้นางหวงอาจเคยทำบางสิ่งไว้กับพี่สาวคนโตผู้นี้ เป็นเหตุให้เว่ยฉางหว่านดูแค้นเคืองนางหวงเช่นนี้ กระทั้งแม้แต่ตนเองก็ยังพลอยถูกนางเคืองโกรธไปด้วย
กลายเป็นคุณหนูเจ็ดเว่ยฉางเจวียนที่อายุเพียงสิบเอ็ดปีเสียอีกที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นยิ่ง นางดึงเว่ยฉางอิ๋งมาสนทนาและถามนั่นถามนี่ แม้แต่ฮูหยินตวนมู่เองก็ยังไม่อาจแทรกบทสนทนาได้ เว่ยฉางเจวียนรูปโฉมงดงามสดใส ดวงตาโตฟันขาวเรียงสวย สวมเสื้อส้างหรูแขนกว้างสีส้มแดงปักลายกิ่งก้านและดอกมู่ตาน คาดกระโปรงผ้าแพรบางสีชมพูประกายเงิน มวยผมทรงก้นหอยคู่ ทั้งการแต่งกายและอุปนิสัยดูไปแล้วคล้ายคลึงกับเสิ่นจั้งหนิงที่ล้วนเป็นเด็กสาวตัวน้อยที่ร่าเริงและซุกซน
แรกเริ่มนั้นยังให้เว่ยฉางอิ๋งตอบมาประโยคสองประโยค แต่นานเข้าก็กลายเป็นนางพูดอยู่คนเดียวเสียแล้ว
คุณหนูเจ็ดผู้นี้พูดเร็วและมีน้ำเสียงสดใสกังวาน มีเรื่องมาพูดคุยมากมายหลายหลาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกินเสื้อผ้าเครื่องใช้ในเมืองหลวงนางล้วนพรั่งพรูออกมาไม่หยุด เว่ยฉางอิ๋งฟังแล้วยังรู้สึกเวียนหัวตาลาย ทั้งยังพูดไปถึงเรื่องภายในวังด้วย… เว่ยฉางเจวียนบอกว่าตนสนิทสนมกับองค์หญิงในวังหลายพระองค์ เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็ถูกฮูหยินตวนมู่กระแอมตัดบท และหันมาถามเว่ยฉางอิ๋งว่าอยู่ที่บ้านตระกูลเสิ่นพอจะคุ้นเคยบ้างหรือไม่ ร่วมถึงสอบถามถึงเรื่องพ่อแม่สามีและพวกพี่สะใภ้ด้วย
เว่ยฉางอิ๋งย่อมต้องบอกว่าทุกเรื่องล้วนไม่มีปัญหาใด
ฮูหยินตวนมู่จึงกล่าวว่า “เดิมที่ท่านอาหญิงใหญ่ และอาหญิงรองล้วนอยากมาด้วย แต่จนใจนักที่สองวันก่อนท่านอาหญิงใหญ่ของพวกเจ้าแพ้อากาศและล้มป่วยลุกไม่ขึ้น ส่วนท่านอาหญิงรองของพวกเจ้านั้น เรื่องของทางบ้านซูคิดว่าฉางอิ๋งเจ้าคงจักได้ข่าว…”
ยามนี้อาหญิงที่ยังมีชีวิตอยู่ของเว่ยฉางอิ๋งมีทั้งสิ้นสามคน หนึ่งในนั้นมีอาหญิงรองเว่ยเจิ้งอินเป็นอาแท้ๆ แม่เฒ่าซ่งเชื่อใจเพียงเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเท่านั้น ส่วนบุตรธิดาของอนุนางล้วนไม่ไว้ใจ ทั้งยังไม่ใคร่เอ่ยถึงนัก ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงรู้แต่เพียงว่าเว่ยเซิ่งเซียนอาหญิงใหญ่ของตนแต่งเข้าตระกูลซ่ง ส่วนเว่ยเซิ่งซืออาหญิงสามก็แต่งเข้าตระกูลจาง ส่วนรายละเอียดเรื่องบุตรธิดาต่างๆ กลับไม่รู้ชัด
ทว่านางกลับรู้ว่าอาหญิงทั้งสองซึ่งเป็นบุตรของอนุนั้นไม่น่าจะอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้ฟังคำฮูหยินตวนมู่แล้วจึงเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ท่านอาหญิงใหญ่มาที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ? แล้วท่านอาหญิงสามเล่า?”
“ท่านอาเขยใหญ่ของพวกเจ้าได้ย้ายมารับตำแหน่งใกล้เมืองหลวง ท่านอาหญิงใหญ่ของพวกเจ้าจึงกลับมาด้วย ราวห้าหกวันก่อนเพิ่งจะมาถึง คิดว่ายังไม่ทันส่งจดหมายไปแจ้งแก่พวกเจ้า” ฮูหยินตวนมู่กล่าว “ท่านอาหญิงสามของพวกเจ้ากลับยังอยู่ที่เยี่ยนโจวกับท่านอาเขยสามของพวกเจ้า”
ในเมื่อเอ่ยถึงเว่ยเซิ่งเซียนขึ้นมา เว่ยฉางอิ๋งจึงได้เอ่ยถามอีกสองสามประโยค ฮูหยินตวนมู่ก็ถอนใจว่า “ท่านอาหญิงใหญ่และท่านอาเขยใหญ่ของพวกเจ้านั้นยังดี เพียงแต่พวกเขาแต่งงานมานานปี แต่กลับมีเพียงบุตรสาวสองคน ระยะนี้มีข่าวลือว่าทางตระกูลซ่งมีทางที่จะบอกให้พวกเขารับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยงดู”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “เช่นนั้นท่านอาหญิงใหญ่?” ในเมื่อฮูหยินตวนมู่พูดเช่นนี้แล้ว ไม่แน่ว่าเพราะได้รับการไหว้วานจากเว่ยเซิ่งเซียน และรอนางกลับมาบ้านเพื่อบอกเล่าแก่นางโดยเฉพาะ
“ซีเยวี่ยลูกผู้พี่ของพวกเจ้าก็อายุสิบห้าแล้ว นอกเสียจากสวรรค์เมตตา หาไม่แล้วจักต้องรับบุตรบุญธรรมเป็นแน่” ปรากฏว่าฮูหยินตวนมู่จิบชาไปคำหนึ่ง ขมวดคิ้วแล้วว่า “เพียงแต่… ท่านอาหญิงใหญ่ของพวกเจ้าคิดว่า ในเมื่อหลายปีแล้วพวกเขาก็ล้วนไม่มีบุตรชาย เช่นนั้นไม่สู้รอให้ลูกพี่ผู้พี่ของเจ้าทั้งหรูเซวียนและซีเยวี่ยออกเรือนไปเสียก่อนค่อยว่ากัน”
แม้ว่าซ่งหรูเซวียนและซ่งซีเยวี่ยล้วนเป็นหญิงซึ่งไม่อาจจุดธูปเซ่นไหว้บรรพบุรุษได้ ทว่าก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเว่ยเซิ่งเซียนและสามี ต่อให้รับบุตรบุญธรรม อย่างไรเว่ยเซิ่งเซียนก็ต้องลำเอียงเข้าข้างธิดาของตน ทว่าวันใดที่บุตรบุญธรรมเข้าบ้าน ฐานะของเขาก็กลับต้องสูงกว่าบุตรสาวทั้งสองของนาง
ยิ่งมิได้ต้องเอ่ยว่าหากบุตรบุญธรรมแต่งงาน แล้วภรรยาของเขามิได้มีจิตใจดีงาม… กอปรกับหากบิดามาดราอาและลุงของบุตรบุญธรรมยังมีชีวิตอยู่ แล้วคอยยุยงอยู่ข้างหลัง ยิ่งจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากตามมา… เว่ยเซิ่งเซียนจึงหวังว่าจะสามารถให้บุตรสาวแต่งงานออกไปได้อย่างสบายใจ ได้มอบสินติดตัวที่ควรให้ ทั้งบ้านเรือนส่วนตัวที่ควรมอบให้เรียบร้อยแล้ว ครานี้ไม่ว่าจะรับบุตรบุญธรรมก็ไม่มีเรื่องใดต้องกลัวแล้ว… ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญของคนทั่วไป
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็รู้ว่าเรื่องนี้จะต้องกำลังรอตนอยู่โดยเฉพาะ เว่ยเซิ่งเซียนกำลังปวดเศียรเวียนเกล้ากับแรงกดดันจากตระกูลของสามี แต่คนในตระกูลซ่งที่นางแต่งด้วยนั้นก็เป็นอีกสาขาหนึ่งของตระกูลซ่ง ประมุขของตระกูลซ่งคือท่านตาของตน และว่าที่ประมุขคนต่อไปซึ่งคือลุงแท้ๆ ของตน ยามนี้ก็มิใช่ว่าอยู่ที่เมืองหลวงหรอกหรือ?
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะเองก็ไม่เคยพบท่านลุงผู้นี้ แต่อย่างไรก็เป็นพี่ชายแท้ๆ เพียงคนเดียวของมารดา หากไปยามเยี่ยมเยือนซ่งไจ้สุ่ยแล้วไหว้วานนางให้ช่วยบอกกล่าวให้สักคำ คาดว่าอย่างไรเสียซ่งอวี่วั่งก็คงจะเห็นแก่ตนซึ่งเป็นหลานสาวอยู่บ้าง เพราะสำหรับซ่งอวี่วั่งแล้วเรื่องนี้ก็เป็นเพียงการช่วยออกปากไปไม่กี่ประโยคเท่านั้น
____________________________
[1] วันกลับบ้าน หลังจากฝ่ายหญิงแต่งงานมาอยู่บ้านสามีแล้ว สามีก็จะพาภรรยากลับมาเยี่ยมบ้านของตน ซึ่งในที่นี่เนื่องจากเฟิ่งโจวอยู่ไกลจากเมืองหลวงมาก เว่ยฉางอิ๋งจึงเดินทางไปบ้านญาติในเมืองหลวงแทนการกลับบ้านเดิมของตนจริงๆ