ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 143-2 น้องชายเจ้าก็ไม่เลว
ตอนที่ 143-2 น้องชายเจ้าก็ไม่เลว
Xiaobei
หากว่ากันถึงฐานะ แม้ท่านหญิงเจินอี้และองค์หญิงอันจี๋ก็ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้อีกแล้ว แต่องค์หญิงอย่างไรก็ยังเป็นองค์หญิง แม้จะบอกว่าหากมองจากมุมของตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่แล้ว การแต่งงานที่ดีที่สุดก็ยังควรเป็นคู่ที่คู่ควรกัน ที่ว่าคู่ควรกัน ก็หมายถึงว่าพวกเขาสมัครใจจะเลือกจากตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ที่มีอันดับของตระกูลใกล้เคียงกันมากกว่า ทว่าภายใต้อำนาจของพระราชธิดาแห่งราชสำนัก… ผู้ใดจักกล้าทำเรื่องมากอย่างโจ่งแจ้งเกินไป?
หากว่ากันเรื่องความสามารถและชั้นเชิง องค์หญิงอันจี๋ย่อมต้องมีคุณสมบัติเพียงพอ ลำพังเรื่องที่นางยังไม่ทันปักปิ่น แต่ต้องอยู่ในวังในสภาวการณ์ที่พวกนางแม่ลูกไม่เป็นที่โปรดปราน นอกจากนี้ก็มีฮองเฮาและสนมคนอื่นๆ ที่ยังเป็นที่โปรดปรานอยู่ รวมทั้งมีพี่น้องที่เป็นที่รักของฮ่องเต้ แต่นางก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีหน้ามีตา ฉะนั้นนางต้องสามารถช่วยสนับสนุนเว่ยฉางเฟิงช่วงชิงตำแหน่งประมุขมาได้เป็นแน่
น้องสะใภ้ที่ฉลาดมีไหวพริบเช่นนี้ หากสามารถปฏิบัติต่อฉางเฟิงด้วยใจจริง ว่าก็ไปก็ไม่เลวเลย? เว่ยฉางอิ๋งเริ่มพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจังขึ้นมา …เว่ยฉางเฟิงเป็นทายาทเพียงคนเดียวของบ้านใหญ่แห่งรุ่ยอวี่ถัง เดิมทีก็ควรแต่งงานเพื่อมีลูกมีหลานเสียให้ไวๆ แต่เหตุที่ยังไม่ได้หมั้นหมายจนถึงวันนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะแม่เฒ่าซ่งต้องละเอียดรอบคอบในการเลือกสรรหลานสะใภ้ที่สามารถไว้ใจได้และเหมาะสมในทุกๆ ด้านให้แก่หลานชายแท้ๆ เพียงคนเดียวของนาง
เดิมทีนั้น หากว่ากันตามความต้องการของแม่เฒ่าซ่งแล้ว ให้ดีที่สุดก็คือต้องเทียบเท่ากับซ่งไจ้สุ่ยเช่นนั้น จนใจเหลือที่ในสายหลักของตระกูลซ่งจนยามนี้มีเพียงคุณหนูใหญ่ซ่งเพียงคนเดียว แม้อายุจะมากกว่าเว่ยฉางเฟิงสองสามปีก็ยังแล้วไป ประเด็นก็คือก่อนนี้เคยหมั้นหมายนางให้องค์รัชทายาทมาแล้ว!
พอมาดูที่ตระกูลหลิว ลำพังแค่เรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งสองพี่น้องถูกลอบสังหาร ต่อให้บุตรสาวตระกูลหลิวดีงามอีกเพียงใดก็จะไม่มีวันไปพิจารณาแล้ว ส่วนตระกูลตวนมู่นั้น… สองสามปีมานี้ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีเด็กสาวที่พิเศษโดดเด่น ล่าสุดก็ยังมีตวนมู่อู่เซ่อที่ถูกหย่าและส่งกลับบ้าน จนทำให้เด็กสาวทั้งตระกูลไม่มีหน้าจะออกจากบ้าน
ส่วนตวนมู่ซินเหมี่ยวซึ่งเป็นคุณหนูที่มีชื่อที่สุดในตระกูลตวนมู่ก็…ช่างเถิด ให้คนเช่นนี้มาเป็นน้องสะใภ้ ยังไม่ต้องเอ่ยว่านางมีชั้นเชิงเพียงพอหรือไม่ เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าตนเองคงจะปวดหัวตายเสียก่อน
เสิ่นจั้งหนิงแห่งตระกูลเสิ่นก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสม ลูกผู้น้องตระกูลซูอีกสองสามคนตอนนี้ก็หมั้นหมายกันไปหมดแล้ว…
เมื่อพิจารณาไปรอบหนึ่งดังนี้แล้วก็กลับรู้สึกว่าองค์หญิงอันจี๋ยิ่งมีความเหมาะสมมาก
ทว่าเรื่องใหญ่เช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่กล้าตกปากรับคำสุ่มสี่สุ่มห้า จึงกำลังหาวิธีว่าจะผลัดผ่อนเรื่องนี้ไปก่อนได้อย่างไร องค์หญิงอันจี๋กลับหัวเราะฮิๆ ออกมา แล้วถอนหายใจว่า “น่าเสียดายนัก ข้าต่อสู้กับพวกนางอยู่ในวังมานานเกินไป เหนื่อยเกินไปแล้ว หากแต่งกับเว่ยฉางเฟิง ก็คงต้องช่วยเขาต่อสู้กับพวกบ้านของเว่ยเซิ่งอี๋อย่างขาดไม่ได้! วันหน้าก็ยังต้องต่อสู้กับจือเปิ่นถัง! แม้ข้าจะไม่กลัวแต่กลับรำคาญที่ต้องมีชีวิตอยู่กับการต่อสู้ไม่เว้นแต่ละวัน อย่างไรก็เลือกสวามีที่ซื่อตรงจริงใจ ญาติผู้ใหญ่พี่น้องในบ้านล้วนปรองดองกันดีกว่า”
นางหรี่ตาลง มองข้ามรั่วบ้านสูงๆ ของจวนท่านอ๋องรุ่นไปยังหอระฆังในพระราชวังหนหนึ่ง พึมพำว่า “หลังจากอภิเษกแล้ว ข้าจะขอรับพระมารดาไปดูแลที่นอกวัง คิดว่าเสด็จพ่อคงจะไม่ทรงไม่อนุญาต ถึงยามนั้นข้าก็เพียงแต่คอยปรนนิบัติท่านแม่ และมีชีวิตที่ดีอยู่กับสวามี ผู้ใดจักไปสนใจว่าในวังนั่นจะต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นใด?”
แล้วว่า “ข้ารู้ว่าหลายคนล้วนพากันบอกว่าพี่หลิงเซียนน่าสงสาร เพราะพระมารดาถูกปลดให้กลายเป็นสามัญชน นางเองก็ไม่เป็นที่รักของเสด็จพ่อ …เสด็จพ่อเองก็ยังดีกับนางไม่เท่าดีกับข้าเสียด้วยซ้ำ! เพียงแต่ข้ากลับรู้สึกว่าพี่หลิงเซียนก็ไม่ได้มีชีวิตที่ไม่ดี สวามีของนางยอมขืนความต้องการของผู้ใหญ่ในตระกูล ยืนกรานขอแต่งงานกับองค์หญิงซึ่งสูงศักดิ์กว่า พี่หลิงเซียนเองก็ไม่มีหน้าไปพบเสด็จพ่อแล้ว ตามหลักแล้ว ถ้าเกิดว่าบ้านสามีทำไม่ดีกับนาง นางก็จะไม่มีเหตุผลใดไปอ้างแล้ว แต่สวามีของนางก็มิใช่ว่าดีกับนางเสียยิ่งนัก? แม้เสด็จพ่อจะหลงลืมนางซึ่งเป็นบุตรสาวผู้นี้ไปบนเมฆชั้นเก้าแล้ว ทว่าแค่นางกับสวามีและบุตรธิดามีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขก็มิใช่ว่าพอแล้วหรือ?”
“ข้าหวังจะได้ลงเอยเช่นเดียวกับพี่หลิงเซียน ฮูหยินเว่ย เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”
นางระบายความในใจเสร็จ หันหน้ามากลับเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้ากระวนกระวายใจ
องค์หญิงอันจี๋จึงเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าต้องการพูดสิ่งใด? พูดออกมาได้เลย เจ้าก็น่าจะมองออกแล้ว ขอเพียงมิได้จงใจดูแคลนข้า ความจริงแล้วข้าก็มิใช่คนที่ทนฟังเรื่องขัดหูไม่ได้”
เว่ยฉางอิ๋งเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาบังหน้าไว้อย่างเป็นทุกข์ ถอนหายใจยาวๆ “พระสวามีที่องค์หญิงว่ามาดังนี้ จู่ๆ ข้ากลับนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา! เพียงแต่… ก็ไม่รู้ว่าเขาจะแต่งงานหรือหมั้นหมายแล้วหรือไม่ อีกประการก็ไม่รู้ว่าเขาจะรักใคร่องค์หญิงเหมือนพระสวามีขององค์หญิงหลิงเซียนหรือไม่เพคะ ฉะนั้นข้าจึงรู้สึกว่าอย่าเพิ่งบอกองค์หญิง รอจนสอบถามให้แน่ชัดแล้วจึงบอกองค์หญิงดีกว่า เพื่อมิให้องค์หญิงต้องยินดีเก้อเพคะ”
องค์หญิงอันจี๋ขมวดคิ้วยิ้มเย็น “เพราะข้ามีชื่อว่าดุร้ายเกินไปจึงกลัวว่าหากบุ่มบ่ามบอกข้า และถ้าข้าไปขอพระราชทานอภิเษกได้แล้ว… ทั้งเขาและครอบครัวก็จะมากล่าวโทษข้ารึ? เป็นผู้ใด เหตุใดจึงประจวบเหมาะเช่นนี้?”
“อย่างไรก็ตาม ยามนี้ข้าจะไม่บอกเด็ดขาด!” เว่ยฉางอิ๋งวางผ้าเช็ดหน้าลง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “งานเลี้ยงก็ใกล้จะเริ่มแล้ว ถ้าองค์หญิงท่านไม่ทรงหิว แต่ข้ากลับหิวแล้วเพคะ ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังต้องไปดูแลลูกผู้น้องบ้านท่านอาหญิงใหญ่ทั้งสองคนด้วย …มิสู้ ยามนี้พวกเราไปเสียที?”
องค์หญิงอันจี๋โมโหโกรธายกใหญ่ คว้าแขวนเสื้อนางเอาไว้มั่น “ไม่ได้ๆ ต้องบอกชื่อคนกับข้ามาก่อน แล้วข้าจะไปสอบถามเอง!”
“องค์หญิงท่านโปรดอย่าทรงเอะอะเลย” เว่ยฉางอิ๋งมิใช่เว่ยฉางเจวียนแสนอ่อนแอ นางจึงดึงมือออกได้อย่างสบายๆ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านเองก็บอกแล้วว่า ท่านจะไปสอบถามว่าบุตรหลานในแต่ละตระกูลในเมืองหลวงเป็นเช่นใดได้ที่ใด? อย่างไรก็ให้ข้าช่วยท่านสอบถามให้แน่ชัดแล้วจึงค่อยบอกท่านเถิด!”
องค์หญิงอันจี๋คิดจะใช้กำลังอาละวาด แต่หากนางจะลงมือกับเว่ยฉางอิ๋งในที่ที่ไม่มีผู้คนเช่นนี้ เห็นชัดว่าหมดหวังจะทำสำเร็จได้ เว่ยฉางอิ๋งเคลื่อนไหวคล่องแคล่วดังปลาว่ายน้ำ ไม่กี่หนก็หลบพ้นไม่ให้นางดึงตัวเอาไว้ แล้วเดินลัดเลาะเข้าไปตามสุมทุมพุ่มไม้ องค์หญิงอันจี๋ตามไปได้ไม่ไกลก็หาร่องรอยของนางไม่พบเสียแล้ว นางจึงอดจะกระทืบเท้าด้วยความโมโหไม่ได้ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟังอย่างโกรธแค้นว่า “นางเว่ยแล้งน้ำใจ! ในเมื่อไม่คิดจะบอกตัวเลือกที่เหมาะสมให้ข้ารู้อยู่แล้ว เช่นนั้นก็ไม่ต้องบอกมันเสียเลยสิ! แต่กลับบอกออกมาแล้วก็บอกไม่หมด พูดครึ่งเก็บไว้อีกครึ่ง…. ใต้หล้านี้ยังมีการกระทำที่น่าชังกว่านี้อีกหรือไม่?! ทั้งยังอาศัยว่าตนเรียนวรยุทธมาก่อน สะบัดข้าทิ้งแล้วมาหนีไป… วันหน้าอย่าให้ข้าได้เห็นอีกเล่า หาไม่แล้วคอยดูข้าจะจัดการเจ้าเช่นใด!”
ว่าแล้วก็กระทืบเท้าแรงๆ และถีบต้นดอกไม้ข้างทางไปหลายหน ไม่คิดว่าหนอนบุ้งขนฟูตัวหนึ่งกลับตกลงมาผ่านปลายจมูกนางและตกลงบนผ้าคาดกระโปรงตรงอกนางพอดิบพอดี …แม้องค์หญิงอันจี๋จะไม่ได้บอบบางเป็นนิจเช่นองค์หญิงหลินชวนหรือองค์หญิงชิงซิน ที่พอเห็นภาพนี้แล้วก็ต้องกรีดร้องและเป็นลมหมดสติไปในทันใด ทว่านางก็ขยะแขยงไม่น้อย นางดึงปิ่นเงินอันหนึ่งออกมาอย่างกลัดกลุ้ม แล้วแทงหนอนตัวนั้นจนตาย กระทั่งปิ่นเงินนี้นางก็ไม่เอาแล้ว และโยนทิ้งเข้าไปในพุ่มไม้ แค่นเสียงหึแล้วบอกว่า “ซวยจริงๆ!”
…รอจน องค์หญิงอันจี๋เดินไปไกลแล้ว บนต้นหลิวที่มีกิ่งก้านแน่นขนัดที่ทั้งสองคนนั่งคุยกันข้างล่างพลันมีคนผู้หนึ่งกระโดดลงมา แล้วมองตามทิศทางที่พวกนางเดินไปเหมือนกำลังใคร่ครวญบางสิ่ง จากนั้นพักใหญ่ก็คล้ายว่าคิดบางสิ่งออก หัวคิ้วพลันขมวดเข้ามาอย่างเจ้าเล่ห์….
_______________________________________