ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 146-1 หมิ่นเหยา โจวเสี่ยวเย้
ตอนที่ 146-1 หมิ่นเหยา โจวเสี่ยวเย้
Xiaobei
ฮูหยินซูเห็นว่าตนเองทำให้แม่เฒ่าเติ้งโกรธเข้าจริงๆ แล้ว จึงไม่กล้าเพิกเฉย รีบอยู่ชี้แจงกับมารดาให้นานๆ หาไม่แล้วเสิ่นจั้งหนิงจะต้องถูกแม่เฒ่าเติ้งเอาตัวไว้ที่จวนซูเป็นแน่แท้ …แต่ไรมาเสิ่นเซวียนรักใคร่บุตรสาวคนนี้เป็นที่สุด แล้วเขาจะไม่ไถ่ถามถึงได้อย่างไร? เมื่อตนเองต้องพินอบพิเทาปะเหลาะมารดา ย่อมไม่สะดวกให้คนอื่นได้ยิน จึงสั่งให้บรรดาสะใภ้กลับไปที่งานเลี้ยงเสีย
เว่ยฉางอิ๋งกุมขมับเดินไปถึงข้างนอก แม้แต่นางหลิวและนางตวนมู่ก็ยังอดสงสารไม่ได้ เอ่ยพลางสะอื้นน้อยๆ ว่า “น้องสะใภ้สาม …หรือว่าเจ้าจะไปพักผ่อนที่ห้องพักทางด้านข้างสักหน่อย?” ในเวลาสองเดือนมีงานแต่งงานสามงาม ในงานแต่งทั้งสามครั้งล้วนมีเรื่องวุ่นวายใหญ่บ้างเล็กบ้างเกิดขึ้นก็ยังแล้วไป แต่เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นล้วนต้องมีส่วนเกี่ยวพันกับเว่ยฉางอิ๋งทั้งสิ้น แม้จะบอกว่าทุกคนล้วนรู้ว่าเว่ยฉางอิ๋งถูกให้ร้ายทั้งนั้น แต่ก็ยังอดจะปวดหัวกับเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ …วันหน้าหากมีงานแต่งอีก ก็เกรงว่าชาวบ้านจะไม่กล้าเชิญนางไปร่วมงานแล้ว
“…ขอบคุณ พี่สะใภ้ทั้งสองท่านมากเจ้าค่ะ แต่ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งปล่อยมือลง ฝืนยิ้มพลางว่าไปดังนั้น เวลานี้นางได้แต่ภาวนาอยู่ในใจว่าวันพรุ่ง ฮองเฮาอย่างได้มีเวลาว่างให้นางเข้าวังไปขอพระราชทานอภัยเลย นางรู้สึกว่านางมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องไประบายความแค้นที่บ้านท่านอารองให้หนำใจ!
นางมีความรู้สึกเช่นนี้อยู่ในใจจนงานเลี้ยงเลิกและกลับไปทีจวน คงเพราะสวรรค์มีตา จนถึงเวลาเย็นจึงเพิ่งมีข่าวสารออกมาจากในวัง บอกว่าฮองเฮากู้คิดว่าเรื่องที่องค์หญิงชิงซินหกล้มไม่เกี่ยวกับเว่ยฉางอิ๋ง จึงไม่มีความจำเป็นต้องเข้ามาขอพระราชทานอภัย นับเป็นการปฏิเสธการขอเข้าวังโดยอ้อม
เมื่อฮูหยินซูเห็นสาส์นตอบกลับก็โล่งอก พลางกล่าวล้อเล่นว่า “วันนี้อากาศยังร้อนอยู่ พวกเราไปงานเลี้ยงมาเหน็ดเหนื่อย คิดว่าองค์ฮองเฮาก็คงไม่โปรดทำให้พวกเราลำบากอีก”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างขอบคุณฟ้าขอบคุณดินว่า “องค์ฮองเฮาทรงเห็นใจ ครานี้ไม่ต้องลำบากท่านแม่ ก็นับว่าสะใภ้มิได้ทำเรื่องอกตัญญูเพิ่มมากขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
“ก็คนดีถูกคนรักแกนี่!” ฮูหยินซูหรี่ตาลงพลางเอ่ยเรียบๆ “แม่เฒ่าซ่งจากเมืองหลวงไปนานเกินไป เด็กสาวอายุน้อยๆ ที่บิดามารดารักใคร่มากเกินไปย่อมต้องถูกเอาใจจนเหลิง ไม่รู้จักธรรมเนียมประเพณี อย่างไรก็ควรต้องเป็นฮูหยินผู้เฒ่าคอยดูแลจึงจะมีกฎมีระเบียบมากขึ้นสักหน่อย เช่นจั้งหนิงก็ถูกท่านพ่อของพวกเจ้าเอาใจจนเสียคนแล้ว ข้าจึงไม่อาจไม่ดูแลให้เข้มงวดสักหน่อย ท่านยายของพวกเจ้าบอกว่าข้าไม่รักจั้งหนิง เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร? ก็เพียงเพราะท่านพ่อของพวกเจ้าตามใจนางเพียงนั้นแล้ว และนางก็เป็นคนซุกซน หากข้าไม่อบรมนางให้อยู่ในระเบียบอย่างเพียงพอ วันหน้า…”
เว่ยฉางอิ๋งไม่กล้าวิจารณ์วิธีอบรมน้องสาวสามีของแม่สามี เพียงยิ้มสู้แล้วกล่าวว่า “น้องหญิงสี่เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของท่านแม่ แล้วท่านแม่จะไม่เป็นห่วงน้องหญิงสี่ได้หรือเจ้าคะ? ทุกสิ่งที่ท่านแม่ทำก็เพื่อน้องหญิงสี่ทั้งนั้น”
ฮูหยินซูถอนหายใจเอ่ยว่า “ก็มิใช่รึ?” อย่างไรนางก็ดูแลบ้านเรือนมาสิบกว่าปี หลานสาวย่าคนโตก็จวนจะหมั้นหมายเต็มทนแล้ว การที่ฮูหยินซูถูกมารดาของตนตำหนิต่อหน้าบรรดาสะใภ้ว่าไม่รักบุตรสาวแท้ๆ ของตนจนทำให้นางรู้สึกเสียหน้า และอดมาบ่นน้อยอกน้อยใจกับเหล่าสะใภ้ไม่ได้ …ทว่าเมื่อดังนั้นออกไปก็พอจะระงับอารมณ์ได้แล้ว กล่าวว่า “ในเมื่อวันพรุ่งเจ้าต้องไปที่เรือนท่านอารองของเจ้า มีเรื่องใดที่สามารถจัดการได้เสียแต่ในวันนี้ ก็ไปจัดการเสียเถิด”
เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่านี่เป็นการไล่ให้ตนไปแล้ว นางจึงลุกขึ้นแล้วว่า “เจ้าค่ะ”
เมื่อกลับมาที่เรือนจินถง ก็ให้คนเรียกตัวพ่อบ้านแม่บ้านทั้งหลายมาหา บอกพวกเขาว่าวันพรุ่งตนต้องออกไปข้างนอก ให้พวกเขาส่งงานที่วันนี้สามารถทำเสร็จได้ออกมาก่อน
นางทำงานยุ่งวุ่นวายอยู่ดังนี้จนถึงเวลาจุดตะเกียงจึงเสร็จสิ้น กลางวันก็เพิ่งไปงานเลี้ยงมา เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเหนื่อยอ่อนมาก จึงเรียกจูสือเข่ามานวดไหล่ให้ ทางหนึ่งก็หารือกับนางหวงและนางเฮ่อว่าเมื่อไปพบเว่ยเซิ่งอี๋ในวันพรุ่งต้องทำอย่างไร
แน่นอนว่านางเฮ่อต้องเอะอะบอกให้ตีให้ฆ่า …เวลานี้เว่ยฉางอิ๋งอ่อนล้านักคร้านจะไปสนใจ จึงหันไปถามนางหวงเสียเลย นางหวงกลับบอกว่า “เกรงว่านฮูหยินรองจะปิดบังเรื่องทั้งหมดนี้กับนายท่านรองเจ้าค่ะ ด้วยเกรงว่าเว่ยฉางเจวียนจะถูกตำหนิและตีอย่างหนักเพราะเรื่องนี้เจ้าค่ะ ที่ฮูหยินน้อยส่งเทียบไปก่อนหน้านี้ คาดว่าฮูหยินรองก็จะหาทางทำให้นายท่านรองออกจากบ้านไป เพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้ได้พบกับฮูหยินน้อย แล้วภายหลังฮูหยินรองก็จะได้ไกล่เกลี่ยเรื่องนี้กับฮูหยินน้อยเพียงลำพังให้พ้นๆ ไปเสียเจ้าค่ะ”
ความหมายที่นางว่าก็คือเมื่อไปที่จวนเว่ยในวันพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจอันใดนัก เพราะฮูหยินรองเองก็จะไม่ได้ต้องการมาขอขมาด้วยใจจริง
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มเยาะน้อยๆ กล่าวว่า “เมืองหลวงก็ใหญ่เพียงเท่านี้ ท่านอารองจะหลบไปที่ใดได้?” แล้วว่า “ลูกผู้พี่หญิงใหญ่บ้านซูออกเรือน นั่นก็เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้ว จนบัดนี้ท่านอารองจะไม่ได้ยินข่าวคราวเลยได้อย่างไร? มิใช่บอกว่าท่านอารองเป็นคนปราดเปรื่องเป็นนักหนาหรอกหรือ?”
นางหวงยิ้มเย็นบอกว่า “ปิดบังสักวันสองวัน เวลาผ่านสถานการณ์เปลี่ยน นายท่านรองก็จะไม่โกรธเกรี้ยวเท่าใดแล้ว อย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“ท่านอารองก็จะทนยอมรับพวกนางดังนี้หรือ?” เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง
นางหวงยิ้ม กล่าวว่า “ก่อนนี้ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย อย่างเช่นว่าเมื่อก่อนนี้ เว่ยฉางเจวียนก็เพียงทำเรื่องผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้านเท่านั้นเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ กล่าวว่า “วันพรุ่ง… รอดูก่อนเถิด ว่าท่านอารองจะว่าอย่างไร อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้ใหญ่”
นางหวงคล้ายว่าจะเอ่ยบางสิ่งทว่าก็ยังบอกว่า “เจ้าค่ะ”
เวลานี้ เว่ยฉางอิ๋งก็อ่อนเพลียมากแล้ว จึงสั่งให้จูสือหยุดนวดเสีย และบอกว่าตอนจะพักผ่อนแล้ว
เช้าวันต่อมา เว่ยฉางอิ๋งไปคารวะที่เรือนหลัก จากนั้นก็พานางหวง นางเฮ่อ และบ่าวแข็งแรงท่าทีดุดันจำนวนหนึ่งไปที่จวนเว่ย
เห็นได้ว่าบ้านสองก็รู้ว่านางมาที่นี่ด้วยเหตุใด คนที่ออกมาต้อนรับคือหมิ่นเหยา บุตรีตระกูลหมิ่นแห่งฉวีอินผู้เป็นภรรยาของเว่ยฉางอวิ๋น และโจวเสี่ยวเย้ บุตรีตระกูลโจวแห่งซีหลิน ผู้เป็นภรรยาของเว่ยฉางซุ่ย
พี่สะใภ้บ้านอาทั้งสองคนออกมาต้อนรับน้องสามีบ้านลุง นับเป็นการให้เกียรติอย่างมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนก็มีท่าทางเกรงอกเกรงใจเป็นพิเศษ เพิ่งเดินผ่านประตูมาสองชั้น พวกนางก็เอ่ยขอขมาด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงไพเราะว่า “หลายวันมานี้ท่านแม่ไม่ใคร่สบายนัก งานเลี้ยงมงคลตั้งหลายงานก็ไม่ได้ไปร่วมฉลองด้วย วานนี้น้องหญิงใหญ่กลับมาบอกจึงเพิ่งรู้ว่าน้องเจ็ดทำความผิด ไปล่วงเกินน้องสามเข้า …ท่านแม่สั่งให้คนตีน้องเจ็ดไปอย่างหนักแล้ว กำลังจะให้พวกเราไปขอขมาน้องสามอยู่ทีเดียว!”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำนี้ก็ไม่พอใจหนักหนา คิดในใจว่านางหวงพูดถูกแล้วจริงๆ ท่านอาสะใภ้รองจงใจไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ให้พ้นๆ ไป เว่ยฉางเจวียนก็หาได้มาหาเรื่องต้นเมื่อวานหรือวันก่อนไม่ เรื่องในวันออกเรือนของซูอวี๋ลี่ก็ไม่เห็นบ้านสองจะส่งคนไปชี้แจงกันตนที่จวนแม้สักคำ เมื่อเห็นตนมาทวงถามเอาผิดที่บ้านในวันนี้กลับมาแกล้งป่วย แล้วยังบอกอีกว่าตีบุตรสาวไปแล้ว …คิดตบตาเหมือนกับว่าตนเป็นคนโง่ดังนี้หรือ?
สีหน้านางหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ สายตาพลันหันเหไปทางนางเฮ่อคราหนึ่ง นางเฮ่อเข้าใจในทันใด แล้วตอบคำไปด้วยน้ำเสียงแปลกๆ ว่า “ฮูหยินน้อยทั้งสองท่านโปรดอย่าเอ่ยคำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยของเราจะกล้ารับคำขอโทษจากคุณหนูเจ็ดได้ที่ใด? งานแต่งงานสามงานในสองเดือนนี้ ไม่มีงานใดที่จะไม่เกิดเรื่อง! ทุกคราล้วนเป็นคุณหนูเจ็ดไปหาเรื่องทั้งสิ้น! คุณหนูเจ็ดชอบหาเรื่องก็ยังแล้วไป แต่ทุกครากลับพุ่งมาที่ฮูหยินน้อยของเรา! จนยามนี้ฮูหยินน้อยของเราไม่ใคร่อยากออกไปข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ! แล้วจะยังกล้าให้คุณหนูเจ็ดไปที่จวนได้ที่ใดเจ้าคะ? หากไปที่จวนครานี้ วันหน้าฮูหยินน้อยของเรายังจะหายใจหายคอได้หรือเจ้าคะ?”
————————————————