ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 147-2 อาและอาสะใภ้
ตอนที่ 147-2 อาและอาสะใภ้
Xiaobei
เว่ยฉางเจวียนสะอื้นว่า “เพราะพี่สามนาง…”
“ข้าเพียงถามว่าเจ้าทำหรือไม่” เว่ยเซิ่งอี๋เอ่ยเรียบๆ
เว่ยฉางเจวียนจึงได้แต่พูดว่า “ข้าทำ แต่ว่า…”
“ไปเอาไม้เรียวมา” เว่ยเซิ่งอี๋หาได้ปล่อยให้บุตรสาวพร่ำพูดสิ่งใดไม่ หากแต่ไปสั่งบ่าวข้างๆ กายในทันใด
เว่ยฉางเจวียนเห็นดังนั้นก็ตระหนกยกใหญ่ คลานเข่าเข้ามาสองสามก้าวไปดึงชายเสื้อของบิดา พลางเอ่ยทั้งน้ำหูน้ำตาว่า “ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! เรื่องนี้ไม่อาจโทษลูกได้ทั้งหมด ลูกเองก็ไม่พอใจพี่สามนะเจ้าคะ!”
“ยังไม่ต้องพูดว่าเรื่องที่เจ้าคิดว่าพี่สามทำให้เจ้าไม่พอใจนั้นมีเหตุผลหรือไม่ เอาแต่เพียงว่าพี่สามของเจ้าเป็นภรรยาคนแล้ว หากพลั้งพลาดเรื่องใดย่อมต้องเป็นพ่อแม่พี่สะใภ้ใหญ่บ้านสามีเป็นผู้สอนสั่ง แม้แต่ข้าและแม่ของพวกเจ้าก็ยังไม่มีสิทธิ์ไปพูดมาก แล้วเจ้านับเป็นสิ่งใด จึงบังอาจข้ามหน้าข้ามตาผู้ใหญ่ตั้งมากมายไปชี้นิ้วสอนสั่งพี่สามของเจ้า?” เว่ยเซิ่งอี๋ปล่อยให้บุตรสาวดึงชายเสื้อของตนไป จิบชาอึกหนึ่ง แล้วเอ่ยคำอย่างน่าครั่นคร้าม!
เว่ยฉางเจวียนได้ยินคำพลันนิ่งเหม่อไปพักหนึ่ง คล้ายว่าพอจะเข้าใจความหมายของเขาบ้างแล้ว นางหันไปทางเว่ยฉางอิ๋งอย่างไม่ใคร่ยินยอมนัก ร่ำไห้แล้วเอ่ยไปว่า “พี่สาม ข้ารู้ผิดแล้ว ขอพี่สามโปรดอภัยให้ข้าด้วย!”
เว่ยฉางอิ๋งมองดูพวกเขานางพ่อลูกเล่นละครด้วยสายตาเยาะหยัน เอ่ยเรียบๆ ว่า “ท่านอารองบอกว่าข้าออกเรือนแล้ว ท่านอารองและท่านอาสะใภ้รองก็ไม่อาจอบรมสั่งสอนข้าได้ ต้องให้บ้านสามีเป็นคนอบรมสั่งสอน ข้าเข้าใจว่าเหตุที่ท่านอารองจงใจพูดเช่นนี้อย่างเหลือเกิน หมายความว่าวันนี้ท่านอารองอบรมน้องเจ็ดเจ้า ก็เป็นเรื่องในบ้านของท่านอารอง ข้าซึ่งเป็นบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้ว ก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดจาใดๆ ข้าย่อมไม่กล้าขัดคำสั่งของท่านอารองเจ้าค่ะ”
เดิมทีบ่าวไปนำมาเรียวมาแล้ว เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางเจวียนหันไปรับผิดและขอขมากับเว่ยฉางอิ๋ง จึงคิดว่าคุณหนูสามผู้นี้คงต้องพูดจาตามมารยาทไปสักคำสองคำ เช่นนั้นพวกตนก็ต้องรอดูสีหน้าก่อนว่าจะตัดสินใจเข้าไปดีหรือไม่ แต่เวลานี้กลับเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้ท่าทีจะขอความเห็นใจให้น้องสาวแต่อย่างใด กระทั่งยังมีท่าทีเปรมปรีดา อยากเห็นเว่ยฉางเจวียนถูกตีเสียอีก ข้างฝ่ายเว่ยเซิ่งอี๋เองก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ร้องตำหนิบ่าวที่ยังรั้งรออยู่นอกธรณีประตูไม่ยอมก้าวเข้ามาว่า “ในเมื่อไม้เรียวมาแล้ว ไยจึงชักช้า? ยังไม่เข้ามาตีลูกไม่รักดีผู้นี้ของข้าให้หนักๆ!”
ด้วยผู้ที่ถูกลงโทษเป็นบุตรสาว ผู้ที่ลงมือจึงต้องเป็นพวกบ่าวผู้หญิงที่แข็งแรง
ท่ามกลางเสียงร้องไห้เรียกฟ้าวอนดินคร่ำครวญขอร้องของเว่ยฉางเจวียน พวกบ่าวก็กดตัวนางลงกับพื้นโถง เงื้อมไม้เรียวขึ้นฟาดพั่บๆ ลงไป
เว่ยฉางอิ๋งมองดูด้วยสีหน้าราบเรียบ คิดว่าดีชั่วอย่างไรตนเองก็จะไม่ช่วยขอให้เห็นใจไม่บอกให้หยุด แล้วคอยดูว่าเว่ยเซิ่งอี๋จะจัดการให้เรื่องนี้ลงเอยเช่นใด…. แต่กลับได้ยินนางหวงหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยเจ้าคะ นางอันผู้นี้ก็คือผู้ที่ข้าน้อยเล่าให้ท่านฟังครั้งน้องเฮ่อสั่งสอนสาวใช้ตัวน้อยเมื่อคราก่อน ว่านางเป็นมือดีผู้หนึ่งเช่นไรเล่าเจ้าค่ะ”
“โอ๋?” เว่ยฉางอิ๋งนึกไม่ออกว่านางหวงเคยเอ่ยถึงนางอันมาก่อน แต่ก็รู้ว่าคำพูดนี้ของนางหวงต้องมีเจตนาใด จึงแสร้งเออออสงสัยไปด้วย
นางหวง กล่าวว่า “เสียงฟ้าฟาดดังแต่ฝนน้อยนิดนั้น หาใช่ว่ายามทุกคนลงมือจะทำกันได้หมด หาไม่แล้วบ่าวชราตั้งมากมาย เหตุใดจึงเรียกเพียงนางอันมาลงมือเล่าเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจขึ้นมาทันใด ว่าคนที่ลงมือในยามนี้ดูไปแล้วคล้ายว่าลงมืออย่างไม่ปราณี ตีเสียจนเว่ยฉางเจวียนร้องไห้คร่ำครวญน่าอนาถ แต่ความจริงแล้วก็เพียงแสร้งทำท่า นางจึงหันไปทางเว่ยเซิ่งอี๋ … ได้ยินนางหวงเอ่ยเช่นนี้ ใบหน้าของเว่ยเซิ่งอี๋พลันกระตุกขึ้นมาหนหนึ่ง แล้วตำหนินางอันผู้นั้นอย่างโกรธเคืองว่า “หากยังกล้าเล่นลูกไม้อีก ก็ไสหัวออกไปจากจวนข้าบัดเดี๋ยวนี้!”
เดิมทีนางอันผู้นี้เกรงกลัวนางตวนมู่ และรู้ว่าแต่ไรมาเว่ยเซิ่งอี๋ก็รักใคร่เว่ยฉางเจวียนเป็นอย่างยิ่ง หากมิใช่ว่าถูกเว่ยฉางอิ๋งบีบจนร้อนรน ก็จะไม่มีวันลากเด็กสาวตัวน้อยผู้นี้ออกมาตี ไม้เรียวนั้นตีแล้วเสียงดังนัก แต่ความจริงยามลงมือก็ยังผ่อนน้ำหนัก ที่ใดจะคิดว่าแม้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่เข้าใจกลเม็ดนี้ของนาง แต่นางหวงที่เคยต่อสู้กับนางตวนมู่ในจวนแห่งนี้มาสิบกว่าปี กลับรู้เช่นเห็นชาติพวกนางแต่ละคนเหมือนนิ้วมือในมือของนางเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังเปิดโปงพวกนางต่อหน้าโดยไม่ไว้หน้าใดๆ?
ยามนี้นางถูกเว่ยเซิ่งอี๋ตวาดใส่ จึงไม่กล้าชักช้าอีก พอลงแรงหนักมือ เว่ยฉางเจวียนก็กรีดร้องครวญครางอย่างหนักในทันใด คลานอยู่พื้นและพยายามมุดหาช่องว่างออกมาอย่างเอาเป็นเอาตาย!
มือที่กำลังถือถ้วยชาของเว่ยเซิ่งอี๋สั่นอยู่น้อยๆ ทว่ากลับยังคงไม่ส่งเสียงใด
เมื่อเขาปรายตาไปทางหางตา เว่ยฉางอิ๋งกลับยังคงนิ่งสงบ ไม่เอ่ยคำใด เห็นชัดว่าความเจ็บแค้นของนางยังระบายออกมาไม่หนำใจ
อาหลานทั้งสองในโถงต่างยังคงแข็งขืนต่อไป นางอันไม่กล้าเสแสร้งแกล้งทำอีก จึงตีลงไปหนแล้วก็หนเล่า ตีเสียจนเสียงกรีดร้องของเว่ยฉางเจวียนดังออกไปถึงข้างนอกห้อง…
ในมุมหนึ่ง นางตวนมู่ ฮูหยินรองตระกูลเว่ยกำมือแม่นมคู่ใจเอาไว้แน่น บีบลงไปแรงๆ คล้ายจะบีบให้กระดูกของนางหักลงไปในทันใดเช่นนั้น แม่นมทนความเจ็บปวด ปลอบประโลมนางว่า “ฮูหยิน นางอันเป็นคนลงมืออย่างมีขอบเขต คุณหนูเจ็ดเองก็เฉลียวฉลาด ยามนี้ได้ยินเสียงร้องดังนัก ความจริงแล้วล้วนร้องให้คุณหนูสามฟังเท่านั้น …ฮูหยินทนฟังไม่ไหว เช่นนั้นพวกเราก็กลับไปที่โถงด้านหลังก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ?” โถงด้านหลังอยู่ไกล ไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเว่ยฉางเจวียน
“ช้าก่อน!” ใบหน้าของนางตวนมู่เต็มไปด้วยความอดรนทนไม่ไหว กำลังคิดว่าจะจากไปตามคำเตือนของแม่นม พลันมีเสียงกรีดร้องหนึ่งดังออกมา นางเกิดความสงสัยพลันหยุดยืน เอ่ยเสียงลั่นว่า “เสียงร้องของฉางเจวียนไม่เหมือนเดิมแล้ว คงมิใช่ว่านางอันถูกมองออกว่าลงมืออย่างปราณี ท่านพี่จึงไม่อาจไม่สั่งให้นางหนักมือได้?”
“นังชั่วหวงเฉี่ยนซิ่วนั่น!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ต้องเป็นมันแน่!” แล้วกำลังจะเดินไปทางโถงหลักอย่างไม่ทันรู้ตัว!
แม่นมรีบเข้าไปดึงตัวนางไว้ กดเสียงลงต่ำพลางวิงวอนอย่างหนักว่า “ฮูหยิน ท่านอดทนหน่อยเจ้าคะ! อดทนหน่อย! เรื่องครานี้เป็นคุณหนูสามมีเหตุผลเหนือกว่า ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูสามก็ยังมีฮูหยินผู้เฒ่าคอยหนุนหลังอยู่ …เพื่อนายท่าน ท่านต้องอดทนเข้าไว้นะเจ้าคะ!”
เมื่อเอ่ยถึงแม่เฒ่าซ่ง นางตวนมู่ก็คล้ายกับลูกโป่งที่พองเต็มที่แล้วแตกออกในทันใด นางหยุดชะงักลงพลัน ดวงตาเต็มไปด้วยความพยาบาท แล้วกล่าวอย่างเคืองแค้นว่า “นัง…นังแก่นี่ ทั้งลูกชายที่ดูเหมือนอายุสั้นของนาง เหตุใดจนบัดนี้จึงยังไม่ตายไปเสีย?! ถึงได้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งนังอายุสั้นตัวน้อยนี่วางอำนาจบาตรใหญ่ มาข่มเหงกันถึงที่บ้านเช่นนี้! ถึงกับมาบีบให้ทั้งข้าและท่านพี่ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ทั้งสองคนไม่อาจลงยอมให้นางได้ยังไม่ว่า ยามนี้ยิ่งลากฉางเจวียนของข้ามาตีอยู่กลางโถงอีก…”
นางตวนมู่อดหลั่งน้ำตาท่วมหน้าไม่ได้ “สงสารลูกข้า นับแต่นางเกิดมาจนถึงบัดนี้ นางเคยต้องทนทุกข์เช่นนี้มาก่อนยามใด?! เว่ยฉางอิ๋งนังอายุสั้น ตนเองโตกว่าฉางเจวียนแค่กี่ปี? อายุน้อยๆ กลับมีใจอำมหิตเยี่ยงนี้ ลูกผู้น้องแท้ๆ ของตนถูกตีต่อหน้าเช่นนี้ เสียงร้องไห้ก็ดังไปจนถึงจวนข้างๆ แล้ว แต่นางกลับไม่เข้าไปขอร้องไม่ไปยับยั้ง! เหมือนคนเป็นพี่แม้แต่น้อยนิดไม่! เว่ยเจิ้งหงไอ้เจ้าคนอายุสั้น …เหตุใดลูกสาวของมันถึงได้มีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงจนมารังแกลูกสาวข้าในยามนี้ได้? เหตุใดไม่เจ็บป่วยเจียนตายเหมือนพ่อมันเสียให้ไวๆ เป็นดี จะได้ไม่ต้องแต่งงานและมาทำร้ายคนที่เมืองหลวงเช่นนี้!”
แม่นมกอดนางเอาไว้แน่น ด้วยเกรงว่านางจะถลันเข้าไปด้วยโทสะเพียงชั่ววูบ แล้วจะยิ่งทำให้เรื่องราวใหญ่โตเข้าไปอีก หากให้แม่เฒ่าซ่งรู้เรื่องเข้าก็จะไม่ยอมละเว้นบ้านสองในทันใด นางพยายามเอ่ยเตือนด้วยเสียงเบาว่า “ฮูหยินท่านโปรดอดทนเข้าไว้ ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็สูงวัยมากแล้ว ว่ากันว่าคนอายุเจ็ดสิบพบเห็นได้ยากยิ่ง ในเมื่อถึงวัยนี้แล้ว จากวันนี้ไปจะยังเหลืออีกปีกัน? แต่วันเวลาของท่านและนายท่าน คุณชาย พวกคุณหนูยังอีกยาวนัก! เมื่อไร้ฮูหยินผู้เฒ่า บ้านใหญ่จะนับว่าเป็นสิ่งใดได้? ประสาอะไรที่สุขภาพร่างกายของนายท่านใหญ่แม้แต่จี้ชวี่ปิ้งก็ยังจนปัญญาแล้ว ยามนี้ก็เพียงใช้ยาดียื้อชีวิตเอาไว้เท่านั้น! หากวันนี้ท่านไม่อดทน แล้วให้ฮูหยินผู้เฒ่าลงมืออย่างไม่สนใจสิ่งใดจนต้องบอบช้ำกันทั้งสองฝ่าย เพื่อสิ่งใดกัน? ท่านและนายท่านก็อดทนมาตลอดหลายปีนี้แล้ว หากยามนี้ไม่อดทน ความลำบากที่เคยได้รับมาก่อนหน้าก็มิเท่ากับสูญเปล่าหรือเจ้าคะ?”
แล้วว่า “รอจนนายท่านครอบครองตระกูลเว่ย ถึงครานั้นยังต้องกลัวจะไม่มีโอกาสแก้แค้นเรื่องในวันนี้ให้คุณหนูเจ็ดหรือเจ้าคะ?”
“เมื่อถึงวันนั้น ข้าจักต้องให้ดวงใจทั้งคู่ของซ่งซินโหรวล้วนไม่ได้ตายดี! ให้ซ่งอวี่เวยนั่งตัวร้ายได้ลิ้มลองความเจ็บปวดใจเช่นข้าในวันนี้บ้าง!” นางตวนมู่เอาข้อมือยัดใส่ปาก ขบกัดอย่างแรงอยู่เนิ่นนานจึงข่มความหุนหันพลันแล่นที่ต้องการพุ่งเข้าไปช่วยบุตรสาวในโถงหลักลงไปได้ นางวางมือลงพลางพึมพำกับตนเอง แม้เสียงจะบางเบาแต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นดังเหล็กกล้า
_____________________________