ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 148-2 เรื่องราวค่อยๆ กระจ่าง (1)
ตอนที่ 148-2 เรื่องราวค่อยๆ กระจ่าง (1)
Xiaobei
“เช่นนั้นก็คงผิดจากนี้ไม่ได้แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะหยันคำหนึ่งพลางหมุนกำไลหยกที่ข้อมือ เอ่ยออกมาช้าๆ ว่า “ท่านอาว่า ยามนี้พวกเราต้องทำเช่นใด?”
…เรื่องเป็นดังนี้ ที่จวนเว่ยก่อนหน้านี้ เป็นตายเช่นใดเว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ยอมออกปากให้หยุดตี เว่ยเซิ่งอี๋จึงทำได้เพียงปล่อยให้นางอันตีต่อไปเรื่อยๆ เว่ยฉางเจวียนอ่อนแอบอบบาง แต่เล็กมาแม้แต่ถูกตบหน้าก็ยังไม่เคย แล้วจะทนรับกับการเฆี่ยนตีเช่นนี้ไหวที่ใด? ผ่านไปไม่นานเสียงกรีดร้องก็เบาลงแล้ว
แม้เว่ยเซิ่งอี๋จะพยายามขืนประคับประคองตัวต่อไป ไม่ยอมให้เรื่องที่ทำมากลายเป็นเรือล่มเมื่อจอด ทว่าจากการแอบสังเกตการณ์ของคนนอกแล้ว กลับมีคนกลัวว่าจะต้องรับผิดชอบกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง จึงลอบไปบอกกล่าวกับนางตวนมู่ในเรือนด้านหลัง นางตวนมู่ได้ยินว่าบุตรสาวถูกเฆี่ยนตีเจียนตายแล้ว ก็ตื่นตระหนกจนขวัญกระเจิดกระเจิง และไม่สนใจเรื่องใดอีกแล้ว พลันถลันเข้าไปตรงหน้าและตะโกนให้หยุดเสีย
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อนางตวนมู่เห็นว่าหลังจากนางอันหยุดมือแล้ว เว่ยฉางเจวียนกลับนอนฟุบอยู่บนพื้นลุกขึ้นมาไม่ได้ แต่กลับเจ็บปวดจนหมดสติไปก่อนแล้ว นางก็ร้อนรุ่มเป็นไฟซุ่มอก และไม่ได้สนว่าแม่นมคนสนิทจะรั้งตัวนางไว้เช่นไร หรือเว่ยเซิ่งอี๋ตะโกนสั่งให้นางถอยออกไปอย่างไร พลันชี้นิ้วตะโกนด่าทอเว่ยฉางอิ๋งขึ้นมายกใหญ่
เมื่อเรื่องเป็นดังนี้ย่อมต้องลุกลามใหญ่โตเป็นไฟลามทุ่ง
เว่ยฉางอิ๋งมาที่นี่ในวันนี้ ในนามแล้วมาขอขมาแต่ความจริงกลับมาเอาผิด เดิมทีก็มีความคับแค้นอยู่เต็มอก เว่ยเซิ่งอี๋พยายามกลบเกลื่อนด้วยวิธีผ้าต่วนซ่อนเข็ม นางก็รำคาญใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว นางตวนมู่ก็ยังเข้ามาด่าทอนางเช่นนี้อีก เว่ยฉางอิ๋งจึงคร้านจะร่ำไรต่อไป ในจังหวะที่นางตวนมู่พลั้งปากเอ่ยถึงแม่เฒ่าซ่งคำหนึ่ง นางก็พุ่งตัวเข้าไปกระชากสาบเสื้อนางและตบหน้านางไปอย่างจังหนหนึ่ง …จนทำให้นางตวนมู่ฟันร่วงไปสองซี่!
ระหว่างนั้น เว่ยเซิ่งอี๋เข้าไปขัดขวาง แต่กลับถูกนางเฮ่อทั้งกอดทั้งดึงเอาไว้สุดแรงเกิด พลางตะโกนร้องไม่หยุดว่า “นายท่านรองและฮูหยินรองจะเข้าไปตีฮูหยินน้อยของเราด้วยกันแล้ว” …ขณะนั้นในโถงวุ่นวายเป็นพัลวัน สับสนเสียจนราวกับโจ๊กที่ต้มจนเดือดปุดๆ เช่นนั้น
สุดท้ายเว่ยฉางอวิ๋นและเว่ยฉางซุ่นพี่น้องที่เดิมทีถูกกำชับให้พยายามหลบเลี่ยงออกไป เมื่อได้รับข่าวก็เร่งมาแยกทุกคนออกจากกัน หน้าตาของนางตวนมู่บวมจนไม่เหลือเค้าเดิม เว่ยเซิ่งอี๋ก็ถูกนางเฮ่อทั้งทึ้งทั้งข่วนจนทั้งหน้าเป็นรอยไปหมด
กลับเป็นฝ่ายของเว่ยฉางอิ๋งที่อาศัยว่าเตรียมตัวมา ทั้งยังคัดเลือกแต่บ่าวที่แข็งแรงมาด้วย และตัวเว่ยฉางอิ๋งเองก็เป็นวรยุทธ ก็เพียงต้องจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วตั้งสติสะกดโทสะ กลับมาวางท่าสำรวมอย่างฮูหยินสูงศักดิ์เช่นเดิม
บิดามารดาเสียเปรียบเป็นหนักหนาเช่นนี้ แม้เว่ยฉางอวิ๋นและเว่ยฉางซุ่ยจะเกรงกลัวแม่เฒ่าซ่งที่หนุนหลังเว่ยฉางอิ๋งอยู่ แต่อย่างไรก็ต้องทวงเอาโทษกับลูกผู้น้องบ้านลุง ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะหาความผิดให้เว่ยฉางอิ๋งได้ด้วย …ทุบตีอาและอาสะใภ้ต่อหน้าธารกำนัล ข้อหาว่าอกตัญญูดังนี้ไม่เบาเลย!
ทว่าเว่ยฉางอวิ๋นและเว่ยฉางซุ่ยกลับคิดไม่ถึงว่า เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่ได้โง่ นาง กัดไม่ปล่อยว่านางตวนมู่ลบหลู่แม่เฒ่าซ่งก่อน และท่านย่ามีพระคุณล้นเหลือที่เลี้ยงดูอบรมตนมา แล้วจะนั่งดูดายให้ท่านย่าถูกสะใภ้อกตัญญูลบหลู่โดยไม่ทำสิ่งใดเลยได้อย่างไร?
ในขณะทั้งสองฝ่ายล้วนยืนกรานในเหตุผลของตัวเอง และโต้เถียงกันไม่หยุดเสียที นางหวงก็ออกมาพูดแล้ว นางว่าดังนี้ “สองวันก่อน ตวนมู่อู๋เซ่อซึ่งเดิมที่แต่งกับบุตรชายคนรองของท่านเสนาบดีฝ่ายพิธีการก็ถูกหย่าร้างและส่งตัวกลับบ้าน ตระกูลตวนมู่พยายามขอร้องตระกูลซ่งเป็นการส่วนตัวหนแล้วหนเล่า ทว่าการกระทำที่ไร้ศีลธรรมของตวนมู่อู๋เซ่อล้วนเป็นที่ประจักษ์ของทุกคน คนตระกูลซ่งทั้งตระกูลต่างพากันโกรธเคือง จึงยังยืนกรานให้เลิกกับนางและส่งนางกลับไป”
ได้ฟังทั้งคำทั้งน้ำเสียง เว่ยฉางอวิ๋นและเว่ยฉางซุ่ยก็ไม่ได้โง่ ได้ยินดังนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันใด
ปรากฏว่านางหวงเอ่ยต่อไปว่า “หากพูดเรื่องในวันนี้ออกไป อย่างมากที่สุด ฮูหยินน้อยของเราก็จะได้ชื่อว่าใจร้อนออกโรงปกป้องญาติผู้ใหญ่เกินไป …ส่วนฮูหยินรอง… ตอนนี้ข้าน้อยยังคงเรียกท่านว่าฮูหยินรองอยู่นะเจ้าคะ ฮูหยินรองท่านเป็นสะใภ้ แต่กลับมาลบหลู่ด่าทอแม่สามีอย่างเปิดเผยต่อหน้าต่อตาคนรุ่นหลานและสามี นี่เท่ากับว่าท่านเป็นคนตัดขาดความสัมพันธ์กับบ้านฝั่งสามีก่อน เมื่อฮูหยินรองท่านทำเช่นนี้ก่อน ถ้าฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ที่นี่ ไม่ต้องให้ฮูหยินน้อยของเราลงมือหรอก ฮูหยินผู้เฒ่าก็จะต้องส่งท่านกลับบ้านแน่! แล้วการที่ฮูหยินน้อยตีท่านเช่นนี้จะนับว่าเป็นการอกตัญญูต่อญาติผู้ใหญ่ได้ที่ใด? ในเมื่อท่านก็ต้องถูกให้หย่าร้างแล้ว จะนับว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ฝั่งใดของฮูหยินน้อยของเราอีก?”
แล้วพูดต่อว่า “ประสาอะไรที่มีกรณีของตวนมู่อู๋เซ่ออยู่ก่อนหน้า และมีกรณีของฮูหยินรองเกิดขึ้นภายหลัง ตระกูลตวนมู่มีบุตรสาวที่ถูกเลิกราส่งตัวกลับบ้านติดต่อกันสองคน แล้วชื่อเสียงของตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วในวันข้างหน้าจะทำฉันใดเล่า? ต่อให้ฮูหยินรองไม่กลัวว่าตระกูลเว่ยของเราจะไล่เรียงเอาผิดที่ท่านลบหลู่ผู้ใหญ่ หรือไม่กลัวว่าตนจะถูกบ้านฝั่งมารดาไล่เรียงเอาผิดที่ท่านทำลายขนบของวงตระกูล?”
ด้วยครั้งนั้นเว่ยฉางอวิ๋นยังเล็กไม่รู้ความ จนทำให้ทั้งตระกูลต้องตกที่นั่งลำบาก เขาจึงรู้สึกผิดต่อบิดามารดามาโดยตลอด ยามนี้ได้ยินนางหวงใช้คำพูดข่มขู่ดูหมิ่นมารดาตน โทสะในใจพลันเดือดพล่าน อดโต้แย้งไปไม่ได้ว่า “หวงเฉี่ยนซิ่ว เจ้าอย่าเอาแต่วางท่าเหมือนหมาที่เห่าหอนออกมาแต่คำว่าเลิกราส่งตัวกลัว! ท่านพ่อข้าอยู่ที่นี่ แล้วเคยว่าจะเลิกรากับภรรยาสักหนหรือไม่?! เจ้า…”
“คุณชายรอง ท่านว่ามาดังนี้เท่ากับต้องการให้เรื่องราวใหญ่โตขึ้นจริงๆ แล้ว” นางหวงเอ่ยด้วยท่าทีสงบเงียบอ่อนโยน คล้ายเต็มไปด้วยเจตนาดีว่า “แม้นายท่านรองจะไม่ใช่บุตรชายแท้ๆ ของฮูหยินผู้เฒ่า ทว่า หรือไม่ต้องเรียกขานฮูหยินผู้เฒ่าว่า ‘ท่านแม่’ แล้ว? หรือเพราะความจริงแล้ว แต่ไรมานายท่านรองก็ไม่เคยเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็นมารดาอยู่แล้ว? มีบุตรชายคนใดที่ได้ยินภรรยาตนลบหลู่ด่าทอมารดาของตนอย่างเปิดเผย แต่กลับไม่เอ่ยปากเช่นใดสักคำ? หรือว่าความหมายของคุณชายรองท่านก็คือ การที่ฮูหยินรองลบหลู่ด่าทอฮูหยินผู้เฒ่า ที่แท้ก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ นับตั้งแต่นายท่านรองไปจนถึงคุณชายรอง และคนทั้งหมดในบ้านสองล้วนฟังกันจนเคยชินเสียแล้ว จึงไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตอันใด?”
เว่ยฉางอวิ๋นพลันมีสีหน้าเขียวคล้ำ พูดสิ่งใดไม่ออก!
ส่วนเว่ยเซิ่งอี๋ซึ่งฉลาดเป็นกรดก็แสร้งทำเป็นอ่อนแรงเป็นลมล้มพับและฟุบอยู่บนโต๊ะไปตั้งแต่นางหวงเอ่ยเรื่องตวนมู่อู๋เซ่อถูกให้เลิกรากลับบ้านไปแล้ว เพื่อไม่ต้องถูกนางหวงเค้นถามเอา
_________________________