ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 149 เรื่องราวค่อยๆ กระจ่าง (2)
ตอนที่ 149 เรื่องราวค่อยๆ กระจ่าง (2)
Xiaobei
“ข้าน้อยคิดว่านายท่านรองได้รับความสำคัญจากท่านประมุขมาโดยตลอด ตามหลักแล้วจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้ หรือว่านับแต่คุณชายรองท่านเติบโตมา ฮูหยินรองก็อบรมสอนสั่งท่านเป็นการส่วนตัวมาดังนี้หรือเจ้าคะ?” นางหวงมองไปทางเว่ยฉางอวิ๋นอย่างดูแคลน พลางขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ กล่าวว่า “ขอให้คุณชายรองบอกกล่าวสักน้อยว่าการกระทำเช่นนี้ของฮูหยินรอง หากเป็นฮูหยินน้อยรองทำ…. ซึ่งแน่นอนว่าฮูหยินน้อยรองอ่อนโยนสงบเสงี่ยมจักต้องไม่มีทางเป็นเช่นฮูหยินรองแน่นอน คำของข้าน้อยนี้หาได้เพราะไม่เคารพฮูหยินน้อยรอง ทว่า คิดว่าคุณชายรองจะสามารถเอาใจเขามาใส่ใจเรา …หากปฏิบัติต่อฮูหยินรองเช่นนี้แล้ว คุณชายรองจะแค่เพียงยิ้มแล้วปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปหรือไม่เจ้าคะ? หากท่านบอกว่าใช่ ข้าน้อยก็ไม่มีอันใดต้องพูดอีกแล้ว และจะบอกให้ฮูหยินน้อยมาขอขมาท่านเสีย! ข้าน้อยเองก็จะให้ท่านลงโทษตามใจด้วยเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มหยันพลางว่า “ท่านอาพูดถูกยิ่งนัก หากมิใช่ว่าวันนี้มาได้ยินกับหู ข้าก็ไม่รู้เลยว่าท่านย่าที่อยู่ไกลถึงเฟิ่งโจว ทั้งยังสูงวัยยิ่งนัก โดยส่วนตัวแล้วกลับถูกบ้านสองด่าทอถึงเพียงนี้! หากวันนี้พวกเจ้าไม่ให้คำชี้แจ้งกับข้ามา ต่อให้ต้องถึงชีวิต ข้าก็ไม่อาจไม่ทวงถามความยุติธรรมให้ท่านย่าได้!”
นายบ่าวทั้งสองคนจับประเด็นเรื่องที่อาวุโสและฐานะของแม่เฒ่าซ่งล้วนสูงกว่านางตวนมู่ ซึ่งการกระทำนี้ไม่ใกล้เคียงกับคำ ‘กตัญญู’ เลยแม้สักน้อย เว่ยฉางอวิ๋นหมดคำจะตอบโต้ ใบหน้าทั้งเขียวทั้งแดงไม่หยุด แต่กลับพูดไม่ออกแม้สักคำ เว่ยฉางซุ่ยพยายามเค้นความกล้าเอ่ยปากว่า “น้องหญิงสามอย่าได้หุนหันพลันแล่น พี่ชายรองมิได้มีความหมายเช่นนั้นแน่นอน”
“พี่ชายสามเจ้าคะ ข้ามาจากเฟิ่งโจว แต่งงานมาอยู่ที่เมืองหลวง และเพราะฉางเฟิงอายุยังน้อย จึงได้ท่านมาคอยส่งตลอดระยะทางพันลี้ น้ำใจอันนี้ข้ายังคงจดจำไว้เสมอ” ยามเว่ยฉางอิ๋งพูดกับเว่ยฉางซุ่ย น้ำเสียงของนางก็นุ่มนวลลง “ตามหลักแล้ว เมื่อท่านออกมาพูด ข้าก็ไม่ควรจะพูดอันใดต่อแล้ว ทว่าพี่ชายสาม ท่านเองก็ทราบว่าท่านพ่อของข้าสุขภาพไม่ดี ท่านย่าและท่านแม่จึงเป็นคนอบรมเลี้ยงดูข้ามาจนโต ท่านย่ารักข้าอบรมข้า คอยเป็นห่วงเป็นใยข้าหนักหนามาสิบกว่าปี แต่ข้ากลับไม่อาจตอบแทนท่านย่าได้แม้สักเรื่องเดียว ยามนี้มาได้ยินท่านอาสะใภ้ลบหลู่ท่านย่าต่อหน้าต่อตา หากข้าไม่ไล่เรียงเอาความจนถึงที่สุด แล้วจักคู่ควรเป็นบุตรสาว และหลานย่าได้อย่างไร?”
นางหวงรีบพูดต่อไปว่า “คุณชายสามก็เป็นหลานชายของฮูหยินผู้เฒ่า คุณชายรองและคุณชายสามล้วนเป็นบัณฑิต ไม่อาจเทียบได้กับชาวบ้านทั่วไปที่ไม่รู้หนังสือไม่รู้มารยาทประเพณี ….คุณชายสามโปรดพูดให้เป็นกลางตามน้ำใสใจจริงของท่านเถิด ว่าเรื่องในยามนี้เป็นผู้ใดผิดกันแน่เจ้าคะ?”
เว่ยฉางซุ่ยถูกบีบคั้นจนไม่มีทางไป ทั้งยังเห็นว่าพี่ชายและมารดาล้วนเงียบงันไร้คำพูด พลันใคร่ครวญอย่างรวดเร็วหนหนึ่ง จึงได้แต่พูดว่า “ท่านแม่พลั้งปากอยู่ก่อนหน้า แล้วจากนั้นน้องหญิงสามก็หุนหันพลันแล่นในภายหลัง ตามความเห็นข้า มิสู้…” เขาพลันมีสีหน้าลังเล สักพักหนึ่ง จึงเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “มิสู้พวกเราทั้งสองฝ่ายล้วนอย่าได้ถือสาหาความกันอีกเลย อย่างไรก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน หากบ้านเราทะเลาะกันจนเกิดเรื่องขึ้นมา คนที่จะเสียหน้าก็เป็นรุ่ยอวี่ถัง แล้วไยต้องทำเช่นนี้ด้วย?”
เมื่อเขาพูดไปดังนี้ เว่ยฉางอวิ๋นก็หันไปมองเขาด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวในทันใด
นางหวงเองก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า “คุณชายสามเป็นคนมีจิตใจดี เพียงแต่ฮูหยินน้อยของเรายังไม่ทันบอกเลยว่าเป็นทุกข์เป็นร้อน! แต่คล้ายว่าคุณชายรองกลับเป็นทุกข์เป็นร้อนเสียยิ่งกว่าแล้ว? คุณชายรองปกป้องมารดาเพียงนี้ นับว่ากตัญญูยิ่งนัก ทว่าคุณชายก็กลับลำดับความสำคัญสับสนเกินไป ท่านย่าหรือจะไม่สูงกว่ามารดาเจ้าคะ? ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวมีขนบธรรมเนียมรุ่งเรืองดีงาม อย่าว่าแต่บุตรหลานเลย แม้แต่บ่าวต่ำต้อยเช่นข้าน้อยก็ยังเคยอ่าน ‘จารีตธรรม[1]’ มาก่อน หรือว่าแม้แต่ตัวข้าน้อยเอง คุณชายรองก็ยังเทียบไม่ได้เจ้าคะ?”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์กลับมาดึงเครียดอีกครั้ง นางตวนมู่ที่ก่อนหน้านี้ถูกพวกสาวใช้และบ่าวชรากดให้นั่งลง พร้อมกับรีบรนเอาผ้าหมาดมาเช็ดหน้าให้ เดิมทีนางก็เห็นบุตรสาวอันเป็นที่รักถูกโบยตีจนเหลือลมหายใจรวยริน ต่อมาตนเองก็ถูกเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นคนรุ่นหลานตบหน้าจนฟันร่วง เวลานี้ยังมาได้ยินนางหวงซึ่งเป็นบ่าวที่คอยข่มตนเองมาสิบกว่าปีกำลังบีบคั้นพวกบุตรชายของตนอีก นางร้อนรุ่มเป็นไฟสุมทรวง พลันปัดผ้าหมาดที่สาวใช้ส่งมาให้ ตวาดเสียงแหลมว่า “ต่อให้ภายหลังทางเฟิ่งโจวจะมีจดหมายมาว่าจะหย่าร้างกับข้าและส่งข้ากลับบ้าน! วันนี้ข้าก็ไม่อาจทนยอมอีกแล้ว!”
ว่าพลันกระโจนขึ้นมาชี้นิ้วไปทางเว่ยฉางอิ๋งอย่างเกรี้ยวกราด “หากมิใช่ว่านังชั่วใจอำมหิตเช่นเจ้านี่เอาแต่นั่งมองดูลูกข้าถูกตีจนเจียนตาย แล้วข้าจะพลั้งปากไปด้วยอารมณ์โกรธได้อย่างไร?! น่าสงสารลูกน้อยแสนบอบบางของข้า ถูกเฆี่ยนเสียจนหายใจเข้าน้อยกว่าหายใจออกมากมายนักแล้ว คนเป็นลูกผู้พี่เช่นเจ้ายังนั่งดูอย่างสงบอยู่ได้ ใจคอของเจ้ามันเป็นเช่นใดกัน?”
ความจริงแล้วนางตวนมู่เองก็ไม่ได้เลอะเลือน แต่ด้วยสงสารบุตรสาวคนเล็ก ในขณะที่นางกำลังโกรธอย่างที่สุด คำว่า ‘นั่งแก่ซ่งซินโหรว’ ที่ด่าไปหลายหนตอนอยู่ข้างหลังเมื่อครู่นี้ นางก็ยังพูดออกมาแล้ว ซึ่งทุกคนในโถงโดยเฉพาะเว่ยฉางอิ๋งและบ่าวข้างกายก็ได้ยินอย่างชัดเจน จึงไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว เวลานี้ถูกฝั่งของเว่ยฉางอิ๋งใช้ความผิดนี้บีบคั้นไม่ยอมหยุด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องหาเหตุผลให้กับเรื่องที่นางพลั้งปากคราวนี้ …แม้ไม่อาจพ้นจากความผิดนี้ไปได้ทั้งหมด อย่างไรก็ต้องกัดไม่ปล่อยบอกว่าเป็นเว่ยฉางอิ๋งทำไม่ถูกอยู่ก่อนหน้าและยิ่งผิดมากกว่านางด้วย เช่นนี้แล้วจึงจะสามารถทำให้ฝั่งของเว่ยฉางอิ๋งลดท่าทีลบหลู่และบีบบังคับพวกนางได้
แต่หารู้ไม่ว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำนี้ หัวคิ้วนางก็ขมวดเข้ามา กำลังจะพูดแต่พวกของนางหวงและฉินเกอสองสามคนกลับมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา …โดยเฉพาะนางหวงยิ่งยิ้มหน้าบาน แล้วเอ่ยไปอย่างนุ่มนวลเสียอย่างยิ่งว่า “ฮูหยินรอง ท่านช่างกล่าวให้ร้ายคนเหลือทน คุณหนูเจ็ดอาการสาหัสดังคำท่านว่าที่ใดเล่า? มิใช่ว่านอนดีๆ อยู่ในห้องพักทางด้านข้างหรอกหรือ? เมื่อครู่นี้ข้าน้อยเห็น ฮูหยินรองท่านเข้ามาด้วยท่าทีเดือดดาลยิ่งนัก อีกทั้งในโถงก็กำลังวุ่นวาย เกรงว่าจะมีคนไม่ตั้งใจไปเหยียบคุณหนูเจ็ดเข้า จึงสั่งให้ฉินเกอและเจวี๋ยเกอประคองคุณหนูเจ็ดไปนอนพักที่ห้องทางด้านข้างโดยเฉพาะเจ้าค่ะ”
ท่ามกลางสายตาว่ายากจะเชื่อได้ของนางตวนมู่ เว่ยฉางอวิ๋น เว่ยฉางซุ่ย กระทั่งเว่ยเซิ่งอี๋ที่กำลังแกล้งเป็นลมอยู่ก็ยังเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตื่นตะลึง นางหวงยังคงพูดต่อไปอย่างเบิกบานว่า “ข้ารู้ว่าคุณหนูเจ็ดเป็นที่รักของนายท่านรองและฮูหยินรองยิ่งนัก ในขณะที่กำลังวุ่นวายกันอยู่ หากอยากเรียกท่านหมอมาก็จะชักช้าเกินไป ดีที่ข้าน้อยพกยารักษาแผลชั้นเลิศที่ท่านหมอเทวดาจี้เป็นคนปรุงเองกับมือติดตัวมาด้วยและให้คุณหนูเจ็ดทานได้ทันเวลาพอดีเจ้าค่ะ”
นางยิ้มอย่างมีเลศนัย “ยาที่ท่านหมอเทวดาจี้ปรุงเอง เป็นยาดีที่ไม่อาจซื้อหาได้จากภายนอก แม้แต่เห็นก็ยังไม่เคยเห็นเลยนะเจ้าคะ! ด้วยเกรงว่าคุณหนูเจ็ดมีร่างกายบอบบาง หากได้ยาน้อยไปก็จะหายช้า ข้าน้อยจึงตัดใจ ใช้ยาจนหมดทั้งขวดไปเสียเลย! ฉะนั้น นายท่านรองและฮูหยินรอง อีกทั้งคุณชายทั้งสองท่านโปรดวางใจได้เจ้าค่ะ อาการบาดเจ็บครานี้ของคุณหนูเจ็ด …นอกจากจะไม่ต้องไปเชิญหมอที่ใดมาตรวจรักษาแล้ว ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกสองวันก็ไม่จำเป็นต้องให้นายท่านรองและฮูหยินรองต้องเป็นกังวลใดๆ อีกแล้วเจ้าค่ะ!”
นางบอกว่าไม่มีความจำเป็นใดต้องเชิญหมอมา เมื่อเอ่ยถึงวิชาแพทย์แล้ว ฉายาแพทย์อันดับหนึ่งในเขตทะเลของจี้ชวี่ปิ้ง ก็เป็นที่ยอมรับกันโดยปริยายสำหรับคนทั่วไปมาตั้งนานแล้ว เพียงแค่ว่าเขาเป็นคนอารมณ์ร้ายเกินไป ทุกคนจึงไม่ยินยอมจะยกยอปอปั้นเขาต่อไปเท่านั้น นางหวงเน้นย้ำอีกครั้งว่านี่เป็นยาที่เขาปรุงเองกับมือ ก็มิเท่ากับเป็นการบอกกับเว่ยเซิ่งอี๋สามีภรรยาเป็นนัยๆ แล้วว่า เมื่อให้กินยานี้ไปแล้ว ก็ไม่ต้องหวังว่าหมอคนอื่นๆ จะมีวิธีใดๆ อีก
ส่วนหากบอกว่าจะไปขอยาถอนพิษจากจี้ชวี่ปิ้งเอาโดยตรง นี่จะล้อเล่นอันใด? ทั่วเมืองหลวงมีใครที่ไม่รู้ว่าเพราะแม่เฒ่าซ่งเป็นคนผลักดันส่งเสริมจึงทำให้เกิดฉายาแพทย์อันดับหนึ่งในเขตทะเลนี้ขึ้นมาได้ แม้แพทย์เลื่องชื่อผู้นี้จะอารมณ์ร้ายนัก ทว่าตลอดมาก็กลับไม่อาจขัดคำสั่งของแม่เฒ่าซ่งได้เลย? ไม่แน่ว่ายานี้อาจเป็นนางหวงตั้งใจไปขอให้จี้ชวี่ปิ้งปรุงขึ้นมาเพื่อเรื่องในวันนี้เป็นการเฉพาะก็เป็นได้!
บอกว่าไม่ต้องเป็นกังวลใดๆ อีกแล้ว อาจหมายความว่ารักษาหาย และอาจหมายความว่าไม่จำเป็นต้องให้ใครเป็นกังวลอีกเลยชั่วชีวิต …ก็ผู้ใดจะมากังวลและเจ็บปวดใจกับคนที่ตายไปแล้วเล่า?
นางตวนมู่ที่เดิมทีเกรี้ยวกราดเป็นหมื่นเท่า เวลานี้กลับรู้สึกประหนึ่งถูกคนเอาน้ำใส่น้ำแข็งอ่างหนึ่งมาเทราดหัวในเก้าวันที่สาม[2]ของฤดูหนาว รู้สึกแต่ว่าเย็นยะเยือกสุดขั้วหัวใจ โทสะที่เคยมีพลันหายไปสิ้น!
เวลานี้ เว่ยเซิ่งอี๋ก็ไม่อาจเอาแต่หวงแกล้งเป็นลมอยู่อีก เขารีบหยัดตัวขึ้นมา แล้วสะบัดมือให้พวกบ่าวออกไปเสีย … แม้แต่สาวใช้ที่ไปตักน้ำมาให้นางตวนมู่เช็ดหน้าก็ถูกเขาไล่ออกไปด้วย ว่าแล้วก็พูดเข้าประเด็นว่า “ข้าจะใช้ความจริงเรื่องหนึ่งมาเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับยาถอนพิษให้ฉางเจวียน”
ความจริงที่เว่ยเซิ่งอี๋พูดออกมานี้ ย่อมต้องเป็นเรื่องว่าตระกูลหลิวในสายใดเป็นคนร้ายตัวจริงที่สร้างข่าวลือทำลายชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋งในเมืองหลวงเมื่อปีก่อน
คนร้ายตัวจริงที่เขาเอ่ยนี้ก็คือฝ่ายที่นางหลิวเคยพูดเอาไว้ ซึ่งก็คือหลิวไห้ บ้านห้าในสายสายของสมุหกลาโหมหลิวซือฮวาย
แม้เว่ยเซิ่งอี๋จะย้ำนักย้ำหนาว่าข่าวนี้เชื่อถือได้อย่างแน่นอน ทว่าแต่ต้นจนจบเขาก็ไม่อาจเอาหลักฐานออกมาแสดงได้ …เว่ยฉางอิ๋งยังไม่อาจเชื่อเขาได้ทั้งหมด จึงให้นางหวงเก็บยาถอนพิษเอาไว้ส่วนหนึ่ง ยืนกรานว่าหากเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนจริงๆ ก็จะไม่มีวันให้ยาถอนพิษจนครบ
ขณะนี้นางกำลังคาดคะเนกับนางหวงว่า ในเมื่อสิ่งที่เว่ยเซิ่งอี๋พูดอาจเป็นจริงแปดหรือเก้าส่วนในสิบส่วน เช่นนั้นก็ต้องหารือกันว่าจะตอบโต้กลับไปเช่นใด
ทว่าระยะนี้มีเรื่องที่เกี่ยวพันกับ เว่ยฉางอิ๋งมากมายเกินไป นางหวงคิดว่าอย่างไรก็น่าจะสงบเอาไว้เสียก่อนเป็นดี “อย่างไรเสียเวลานี้ฮูหยินน้อยก็ออกเรือนเป็นภรรยาคนแล้ว ไม่เหมือนครั้งอยู่ในบ้านตน ทั้งเฟิ่งโจวก็อยู่ห่างไกลนัก ทุกคนในบ้านเสิ่นแห่งนี้ แม้ฮูหยินจะเป็นคนมีเหตุผล แต่อย่างไรก็ไม่อาจปกป้องท่านไปเสียทุกเรื่องเหมือนฮูหยินของบ้านเรา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองเลยด้วย เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือตอนนี้คุณชายไปซีเหลียง ฉะนั้นเรื่องการแก้แค้น ข้าน้อยคิดว่า อย่างไรก็ดำเนินการในทางลับเป็นดีเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ในเรื่องของชื่อเสียงแล้ว เมื่อเป็นหญิงก็มักจะเสียเปรียบ หากมิใช่เพราะท่านพี่เป็นคนใจกว้างทั้งยึดถือในคุณธรรม ต่อให้ข้าไม่ยอมฆ่าตัวตายด้วยความอับอาย เรื่องการแต่งงานครานี้ก็จะต้องไม่ได้ลงเอยเป็นแน่ ยามนี้หากจัดการกันออกหน้า อย่าว่าแต่ไม่มีหลักฐานเลย ต่อให้มีหลักฐาน เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ก็ยากจะไม่ทำให้บ้านเสิ่นต้องขายหน้าอีก ทั้งทำให้ท่านพี่ต้องเสียหน้าไปด้วย… เพราะความจริงแล้ว เรื่องที่ข้าไปพบกับเว่ยซินหย่งก็เป็นเรื่องจริง ทางท่านลุงแห่งจือเปิ่นถังก็มีหลักฐานแล้ว”
นางหวงเอ่ยล้อเล่นว่า “เวลานี้ นับวันฮูหยินน้อยยิ่งคำนึงถึงคุณชายมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
“นั่นก็เพราะเขาคำนึงถึงข้าก่อน” สองสามเดือนที่เว่ยฉางอิ๋งถูกขัดเกลามา โดยเฉพาะเมื่อมาดูแลงานที่ตวนมู่เยี่ยนอวี่เคยรับผิดชอบแล้ว นิสัยเอาแต่ใจจนเคยตัวก็ลดน้อยลงไปมาก เวลานี้จึงไม่ใช่เด็กสาวที่หน้าแดงขึ้นมาทันใดและรีบเปลี่ยนเรื่องพูดเพราะคำล้อเล่นเพียงคำของนางหวงอีกแล้ว หากแต่พูดไปด้วยสีหน้าสงบว่า “โดยปกติแล้ว หากคู่หมั้นของชายหนุ่มยังไม่ทันเข้าบ้านก็ถูกครหานินทาว่าสูญเสียความบริสุทธิ์ ในจำนวนสิบคน เกรงว่ามีสักเก้าคนครึ่งที่เลือกจะถอนหมั้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือนั้น โดยมากแล้วก็ยังเป็นเพราะฐานะและอำนาจของฝ่ายหญิงจึงพอจะอดทนได้ชั่วคราว…. แต่ต่อให้ฝืนใจแต่งคนเข้าบ้านมาด้วยเหตุผลของเกียรติยศหน้าตา ไม่ว่าเป็นผู้ใดย่อมต้องรู้สึกว่าตนมีบุญคุณต่อหญิงผู้นี้จนท่วมฟ้า ต่อให้ทำไม่ดีกับนางก็ยังเป็นเรื่องสมควรแล้ว! ทว่าท่านพี่ไม่เพียงยอมรับคำครหานินทาเหล่านี้และมาแต่งกับข้า ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเรื่องนี้ เขาก็ยังให้บ่าวงามๆ ที่เคยปรนนิบัติเขามาหลายปีออกไปจนหมด เพื่อมิให้คนพวกนั้นอ้างเอาคุณงามความดีที่เคยมีมาเหยียดหยามข้า หลังจากข้าแต่งเข้ามา แต่โบราณถึงวันนี้ จักมีสักกี่คนที่เอาอกเอาใจภรรยาซึ่งเคยหมั้นหมายกันแต่เล็ก และก่อนเกิดเรื่องก็ยังไม่เคยพบเจอกันสักครา? เมื่อเขาคำนึงถึงข้าเช่นนี้ ข้าย่อมต้องคำนึงถึงเขาเช่นกัน”
“ความนี้ ข้าน้อยจักต้องเขียนจดหมายไปบอกกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ” นางหวงทอดถอนใจว่า “ฮูหยินน้อยโตแล้ว โตแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งแย้มยิ้มออกมา กล่าวว่า “ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น ก่อนนี้เคยได้ยินคนว่า คนล้วนต้องแต่งงานแล้วจึงจะเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง เดิมทีรู้สึกว่าเมื่อปักปิ่นแล้ว สวมหมวกแล้ว เมื่อถึงวัยแล้ว ก็มิใช่นับว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วหรอกหรือ? จนยามนี้จึงเพิ่งรู้ว่าคำกล่าวนี้ไม่ผิดเลยจริงๆ”
นางหวงนิ่งคิดเนิ่นนาน จึงว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่าทางฝั่งของหลิวไห้นี้ พวกเราสามารถใช้ประโยชน์จากคุณหนูหลิวสิบ หลิวรั่วอวี้ได้เจ้าค่ะ นางสนิทสนมกับฮูหยินน้อยใหญ่ และพวกเราสามารถติดต่อกับนางฝ่ายฮูหยินน้อยใหญ่ได้อย่างสะดวกเจ้าค่ะ”
__________________________
[1] จาตรีธรรม (礼) เป็นหนึ่งในคำสอนของลัทธิขงจื้อ พูดถึงการมีมีมารยาทที่ดี มีสัมมาคารวะ เคารพผู้อาวุโส ซื่อสัตย์
[2] เก้าวันที่สาม เป็นช่วงเวลาที่หนาวเย็นที่สุด มีวิธีนับคือ วันแรกจากวันเริ่มฤดูหนาวไปอีกเก้าวันนับเป็นเก้าวันที่หนึ่ง อีกเก้าวันต่อมานับเป็นเก้าวันที่สอง อีกเก้าวันถัดมานับเป็นเก้าวันที่สาม