ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 152-1น้ำเย็นหนึ่งอ่าง
ตอนที่ 152-1น้ำเย็นหนึ่งอ่าง
Xiaobei
ความคิดอ่านของท่านย่าและท่านแม่ที่เฟิ่งโจว เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่รู้ หรือต่อให้นางรู้ก็ไม่มีเวลาว่างมาสนใจ เพราะเวลานี้นางต้องง่วนอยู่กับการบำรุงครรภ์
เรื่องที่นางเคยดูแลทั้งหมดล้วนมอบคืนให้แก่ฮูหยินซูแล้ว ส่วนเรื่องที่ฮูหยินซูจะให้นางหลิวไปดูแลทั้งหมด หรือจะเอาคืนให้ตวนมู่เยี่ยนอวี่ และภายหลังนางยังจะได้กลับคืนมาหรือไม่ เว่ยฉางอิ๋งล้วนไม่มีแก่ใจจะไปคิดถึง เวลานี้นางมีเพียงความคิดเดียวก็คือต้องบำรุงครรภ์ให้ดี และคลอดได้อย่างปลอดภัย
นอกเหนือจากนั้นล้วนไม่ใช่เรื่องใหญ่!
หลังผ่านเรื่องสะเทือนขวัญมาหนึ่งคืน นางก็ยึดถือคำของจี้ชวี่ปิ้งประหนึ่งเป็นพระราชโองการ …คล้ายว่าแทบทุกเรื่องก็ล้วนต้องถามจี้ชวี่ปิ้งเสียก่อนจึงจะสบายใจได้ จี้ชวี่ปิ้งบอกให้ทำอย่างไรก็ทำเช่นนั้น ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังทุกประการ ฟังความจนไม่รู้ว่าจะฟังความกว่านี้ได้อีกอย่างไรแล้ว …เมื่อจี้ชวี่ปิ้งมองออกดังนี้ ก็พูดกระแนะกระแหนไปเช่นปกติวิสัยว่า “หากข้าบอกว่าเวลานี้ไปดูแลครรภ์ที่ซีเหลียงจึงจะดีที่สุด เจ้าก็ยังจะแจ้นไปซีเหลียงในทันทีเลยหรือไม่?”
“ชื่อเสียงท่านหมอเทวดาขจรไปทั่วเขตทะเล ดังคำว่าเมื่อมีชื่อย่อมมีฝีมือ” เพื่อลูกแล้ว เวลานี้เว่ยฉางอิ๋งล้วนทำเป็นว่าคำพูดประชดประชันที่ไม่น่าฟังบางคำของเขาเป็นเพียงลมผ่านหูไป แล้วเอ่ยไปอย่างไม่ได้มีความโกรธใดๆ ว่า “ครานี้หากข้าไม่ได้ท่านลงมือช่วย แม้แต่ท่านอาหวงก็ยังไม่สามารถช่วยได้ ท่านเองก็บอกแล้วว่า แม้เวลานี้ครรภ์ของข้าสามารถรักษาเอาไว้แล้ว ทว่าหากไม่ดูแลดีๆ ก็ไม่แน่ว่าจะรักษาเอาไว้ได้ แล้วเวลานี้จะกล้าไม่ระวังได้อย่างไร?”
จี้ชวี่ปิ้งเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “นี่ก็มิใช่ว่าเจ้ารนหาที่เอง?”
“…” แม้ เว่ยฉางอิ๋งจะสามารถเอาคำไม่น่าฟังเป็นลมผ่านหูได้อีกสักเท่าใด ทว่าเมื่อถูกพูดแทงใจดำก็ยังอดจะตาแดงขึ้นมาไม่ได้
นางหวงและนางเฮ่อรีบเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ย “ในห้องครัวเล็กเพิ่งจะทำขนมเปี๊ยะข้าวเหนียว ท่านหมอเทวดาอยากจะลองชิ้มหรือไม่เจ้าคะ?”
รอจนพวกนางพาจี้ชวี่ปิ้งไปดื่มน้ำชาที่ศาลานอกเรือนแล้ว เว่ยเจิ้งอินที่พอได้รู้ข่าวก็รีบวางทุกเรื่องเอาไว้แล้ววิ่งมาเยี่ยมหลานสาวจึงเอ่ยพลางขมวดคิ้วว่า “ปากของ จี้ชวี่ปิ้งนี่มัน! อย่างกับมีด! เมื่อครู่นี้ข้ากลัวเหลือเกินว่าถ้าเอ่ยปากก็จะอดด่าเขาไม่ได้! แต่ยามนี้เจ้าก็กลับไม่อาจห่างจากฝีมือแพทย์ของเขาได้ เฮ่อ…เวลานี้เจ้าห้ามโกรธเชียว อย่าไปถือสาเขา!”
เว่ยฉางอิ๋งเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับที่หางตา พูดอย่างโศกเศร้าว่า “สิ่งที่เขาพูด จริงๆ แล้วก็ไม่ผิดนะเจ้าคะ หากมิใช่เพราะข้าเลอะเลือนเอง แล้วจะทำให้ตนเองเป็นเช่นนี้หรือเจ้าคะ?”
“เจ้าอย่าร้องไห้อีกเลย!” เว่ยเจิ้งอินรีบปลุกปลอบนาง “เจ้าเองก็หาใช่ว่าจงใจให้เกิดขึ้น เจ้าเพิ่งจะออกเรือนมาได้กี่วัน? แล้วจะรู้เรื่องเหล่านี้ได้ที่ใด! จะว่าไปเรื่องครานี้ ประการแรกก็ต้องโทษพวกท่านอาข้างกายเจ้าที่ไม่ละเอียดรอบคอบเพียงพอ ทั้งที่รู้อยู่ว่ารอบเดือนเจ้าในสองเดือนนี้มาผิดปกติ ทว่าแต่ละคนกลับเลอะเลือนจนคิดว่าเป็นเพราะกินของเย็นมากเกินไป วันๆ นางหวงก็อยู่ต่อหน้าเจ้าก็ไม่รู้จักตรวจชีพจรให้เจ้าเสียบ้าง! ประการที่สองล้วนต้องโทษบ้านสอง หากมิใช่เพราะฉางเจวียนหาเรื่องหาราวจนเกิดเรื่อง จนทำให้เจ้าเครียดและเหน็ดเหนื่อยเกินไป แล้วจะทนรับวุ้นเย็นถ้วยหนึ่งไม่ไหวได้อย่างไร?”
จนใจเหลือที่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เว่ยฉางอิ๋งก็ยังคงอดร้องไห้ไม่ได้ นางเอ่ยพลางสะอื้นว่า “นี่เป็นลูกคนแรกของข้ากับท่านพี่ เดิมทีร่างกายของข้าดียิ่งนัก หากมิใช่เพราะข้ารู้สึกตัวช้ากินไป ไม่ว่าเขาจะเป็นชายหรือหญิงก็จะต้องเป็นเด็กที่แข็งแรงแน่นอนเจ้าค่ะ แต่หากเป็นเพราะข้ามารู้สึกตัวในภายหลัง แล้วมีเรื่องไม่ดีอันใดเกิดขึ้นกับลูกคนนี้ …ข้า…รอจนท่านพี่กลับมา แล้วข้าจะชี้แจงกับเขาอย่างไร? หากท่านพี่โทษข้าก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว แต่วันหน้าเมื่อได้เห็นลูกคนนี้ แล้วข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปสู้หน้าเขาเล่า?”
“เสิ่นจั้งเฟิงเอาอกเอาใจเจ้าเพียงนั้น หากเขาอยู่ที่นี่ กลัวแต่ว่าจะปลอบเจ้าก็ยังไม่ทันเลย เจ้าเอาแต่เป็นกังวลอันใดอยู่นี่?” เว่ยเจิ้งอินเอ่ยอย่างร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่เชิง
เมื่อเห็นว่าพูดเช่นนี้แล้วยังไม่สามารถปลอบหลานสาวได้ นางก็กลับคิดได้อีกแผนหนึ่ง แล้วเตือนสตินางว่า “เจ้าลืมที่จี้ชวี่ปิ้งพูดเมื่อครู่นี้แล้วหรือ? การดูแลครรภ์ต้องมีจิตใจแจ่มใส ไม่เป็นกังวลไม่เครียด! หาไม่แล้ว เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่ดีต่อลูกในท้อง!”
ปรากฏว่าเหตุผลใดในเวลานี้ล้วนไม่อาจเทียบเท่า ‘จี้ชวี่ปิ้ง’ สามคำ เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็หยุดเสียงสะอื้นในทันใด รีบเช็ดน้ำตาให้แห้งเสีย แล้วพูดอย่างตื่นตระหนกว่า “ข้าก็แค่เพียงคิดถึงขึ้นมาก็อยากร้องไห้ ไม่ถึงกับเครียดกระมังเจ้าคะ?”
เว่ยเจิ้งอินนิ่งงันอยู่เนิ่นนาน จึงบอกว่า “ดีที่เมื่อครู่นี้ข้าอดทนไม่ไปต่อว่าจี้ชวี่ปิ้งให้เจ้า ข้าเป็นอาแท้ๆ ของเจ้า พูดดีๆ กับเจ้าหนแล้วหนเล่า แต่เจ้ากลับไม่สนใจ พอเอ่ยถึงคนนอกเจ้ากลับฟังขึ้นมาในทันใดเชียว! ถ้าข้าไปด่าเขาเพราะเจ้า ไม่แน่ว่าเขายังไม่ทันตอบคำ เจ้าก็จะหันมาโทษข้าก่อนแล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋งละล่ำละลักบอกว่า “ท่านอาหญิงรอง! ก็มิใช่ว่าข้ากลัวหรอกหรือ….”
“จี้ชวี่ปิ้งก็ยังรับประกันว่าเจ้าไม่เป็นไรแล้ว แล้วเจ้ายังจะกลัวอันใดอีก?” เว่ยเจิ้งอินชี้นิ้วไปแตะหน้าผากนาง แล้วสั่งความนางเรื่องข้อห้ามต่างๆ ระหว่างตั้งครรภ์ …ความจริงแล้วเมื่อมีจี้ชวี่ปิ้งและนางหวงอยู่ เรื่องเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้เว่ยเจิ้งอินพูดอีก ทว่าในเมื่อนางก็มาแล้ว และเว่ยฉางอิ๋งเองก็แต่งงานมาไกลบ้าน ในเมืองหลวงแห่งนี้ก็มีนางเป็นอาหญิงรองที่เป็นญาติสนิทเพียงคนเดียว เว่ยเจิ้งอินจึงอดจะรับภาระหน้าที่ของฮูหยินซ่งมาไว้กับตัวเองไม่ได้ เมื่อนางบอกกล่าวเรื่องที่ควรบอกกล่าวไปรอบหนึ่งแล้ว ตอนท้ายก็เอ่ยอย่างรู้สึกโชคดีว่า “ดีที่เวลานี้เสิ่นจั้งเฟิงไม่อยู่ในบ้าน”
เว่ยฉางอิ๋งร้องอ่ะออกมาคำหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างสงสัยว่า “เพราะเหตุใดเล่าเจ้าคะ?” นั่นเพราะโดยส่วนตัวแล้วนางกลับรู้สึกเสียดายที่เวลานี้สามีไม่ได้อยู่ข้างกายนางเสียอีก
“เมื่อเจ้าตั้งท้อง ก็จะ…อีกไม่ได้…” เว่ยเจิ้งอินกดเสียงลงต่ำ “แม้จะบอกว่าก่อนหน้านี้เขาให้พวกบ่าวงามๆ ออกไปจนหมดแล้ว ทว่านั้นก็เพราะกลัวว่าเจ้าเคยถูกคนสร้างข่าวลือทำลายชื่อเสียงครั้งก่อนเจ้าออกเรือน แล้วจะถูกพวกบ่าวที่ปรนนิบัติเขามาหลายปีดูแคลนเอา ด้วยอาศัยว่าตนอยู่มาก่อนและมีรูปโฉมงดงาม!
“เวลานี้เจ้าตั้งท้องแล้ว วันหน้าก็จะสามารถอาศัยเรื่องทายาทมาเป็นแรงหนุน ต่อให้มีอนุก็ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าจะข่มพวกนางไว้ไม่ได้ ต่อให้เขาไม่เอ่ยปาก แล้วแม่สามีเจ้าจะไม่เอ่ยถึงรึ?”
เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังคำนี้ก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมาในใจ พึมพำว่า “ท่านพี่ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก” เพิ่งจะดีใจที่รักษาครรภ์เอาไว้ได้ ตามความคิดของนางแล้ว หากเสิ่นจั้งเฟิงอยู่ที่นี่ ทั้งสองคนก็จะมาดีใจด้วยกัน เหตุใดตามความหมายของเว่ยเจิ้งอินแล้วกลับกลายเป็นว่าตนต้องไปเป็นธุระจัดหาและรับอนุให้สามีในทันใด???
แม้จะบอกว่าก่อนเสิ่นจั้งเฟิงจากไป นางก็กลัวว่าสามีจะไปหาดอกไม้ริมทางที่ซีเหลียง จึงขู่เขาอย่างทีเล่นทีจริงไปหนหนึ่ง แต่พอเสิ่นจั้งเฟิงจากไป เมื่อย้อนนึกถึงภาพที่ทั้งสองสามีเคยอยู่ด้วยกันขึ้นมา เว่ยฉางอิ๋งก็ยังคงมั่นใจในตัวสามีอย่างยิ่ง
“ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ อาก็ต้องชี้แนะเจ้าสักหน่อยแล้ว!” เว่ยเจิ้งอินได้ยินคำแล้วเอ่ยด้วยหน้าตาขึงขัง “ครองคู่สองคนชั่วชีวิต ไม่มีหญิงสาวคนใดไม่คาดหวัง ทว่าแม้จะคิดดังนั้น แต่เมื่อเรื่องราวมาถึงตัวจริงๆ เจ้าก็ปลงให้ตกสักหน่อยเถิด! ตามหลักแล้วเวลานี้เจ้าเพิ่งจะตั้งท้อง และครรภ์ของเจ้าก็ไม่คงที่ ไม่ควรพูดเรื่องเหล่านี้กับเจ้า ทว่าข้าก็กลัวว่านับแต่เรื่องปีก่อนเป็นต้นมา เสิ่นจั้งเฟิงก็ดีกับเจ้านัก หากวันหน้าเขารับคนเข้ามา แล้วเจ้ารับไม่ได้จนเสียกริยาที่ภรรยาเอกควรจะมี กลับจะทำให้ตนเองเป็นฝ่ายถูกจัดการเอา!”
________________________