ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 155-2 งานอภิเษกขององค์รัชทายาท
ตอนที่ 155-2 งานอภิเษกขององค์รัชทายาท
Xiaobei
นางหลิวตกตะลึง พลางใคร่ครวญถึงความหมายของคำที่นางพูดมานี้
แล้วฟังเว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “อย่าให้คนครหาว่าข้าเอาแต่เป็นหวงน้องรั่วอวี้ แต่กลับหลงลืมน้องรั่วเหยียไปเสีย เพราะจะอย่างไรพวกนางก็เป็นพี่น้องกันแท้ๆ อย่าให้สิ่งที่ข้าทำไปทำให้พวกนางบาดหมางกัน …หากได้พบน้องรั่วเหยียในตำหนักตะวันออก ก็ให้ช่วยจัดยาปรับธาตุให้น้องรั่วเหยียสักหน่อย พี่สะใภ้ใหญ่ท่านว่าเป็นเช่นใด?”
พูดถึงตรงนี้แล้ว หากนางหลิวยังฟังไม่เข้าใจ นางก็เสียทีที่อายุมากกว่าเว่ยฉางอิ๋งหลายปีแล้ว นางหรี่ตาอยู่พักใหญ่แล้วเอ่ยด้วยใจที่สับสนว่า “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณน้องสะใภ้สามมาก!”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “คนครอบครัวเดียวกัน พี่สะใภ้ใหญ่พูดเช่นนี้ก็เห็นข้าเป็นคนอื่นแล้วเจ้าค่ะ” แล้วเอ่ยขอขมาโดยอ้อมว่า “ตอนแรก เมื่อข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวง พี่สะใภ้ใหญ่ก็เคยชี้ทางสว่างให้ข้า แต่น่าเสียดายที่ภายหลังมีเรื่องราวเกิดขึ้นต่อเนื่องทำให้ไม่มีเวลาว่างเลย หากมิใช่ว่าวันนี้พี่สะใภ้ใหญ่มาหา ข้าก็ยังจะลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิทเลย”
เรื่องที่นางพูดถึงย่อมคือเรื่องที่นางหลิวบอกนางเมื่อครั้งนั้น ว่าฝ่ายที่ร่วมมือกับจือเปิ่นถังคิดการทำลายชื่อเสียงของนางหน้าก่อนหน้านี้ ก็คือสายของหลิวไห้นี่เอง ทว่าตอนนั้นเว่ยฉางอิ๋งเคลือบแคลงใจว่า นางหลิวอาจเคียดแค้นหลิวไห้และจางเสากวงเพราะหลิวรั่วอวี้เป็นเหตุ จึงคิดจะยืมมีดฆ่าคน ฉะนั้นตนเองจึงยังไม่ได้ตรวจสอบให้ชัดเจน และยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับสิ่งที่นางพูด
นางหลิวเองก็รู้ดีอยู่ในใจว่าเหตุใดเว่ยฉางอิ๋งจึงรั้งรอไว้จนยามนี้ จึงเพิ่งมาเอ่ยว่าตนเกี่ยวข้องด้วย เพระหากพูดความจริงออกไปว่าต้องการร่วมมือกับหลิวรั่วอวี้ไปแก้แค้นตระกูลฝั่งของหลิวไห้ นอกจากไม่เป็นผลดีแล้วก็ยังน่ากระอั่กกระอ่วนใจด้วย นางหลิวเชื่อเหตุผลที่เว่ยฉางอิ๋งพูด กล่าวว่า “เรื่องนี้จะโทษเจ้าไม่ได้ เพราะเดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำสำเร็จได้ในวันเดียว ประสาอะไรกับที่ครานั้นเจ้าก็เพิ่งแต่งเข้าบ้านมา เรื่องที่ต้องเป็นกังวลมีมากมายนัก! กอปรกับเจ้าเองก็ไม่ได้เกิดและเติบโตที่เมืองหลวง ทั้งยังต้องไปเยี่ยมเยือนญาติมิตรในที่ต่างๆ …ภายหลังก็ยังมีเรื่องงานแต่งของน้องชายสี่ อย่าว่าแต่เจ้าไม่มีเวลาว่างเลย หากเวลานั้นเจ้าจะมาพูดกับเข้า ก็ไม่แน่ว่าข้าเองจะว่างเสียด้วยซ้ำ!”
พวกนางพูดจาอย่างเกรงอกเกรงใจให้เรื่องนี้ผ่านไป ดีชั่วอย่างไรในเรื่องของหลิวรั่วอวี้นี้ นางหลิวก็ยังมีพวกพ้องอยู่คนหนึ่ง …แม้ว่าพวกพ้องคนนี้จะมาร่วมมือกันเพราะต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ก็ตามที ทว่าทั้งอิทธิพลและกำลังคนที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังล้วนมีไม่น้อยเลย อย่างไรก็ดีกว่าหลิวรั่วอวี้ที่มีแรงบางเบาเพียงคนเดียว …ที่สุดก็โล่งอกลงได้ นางจึงพอจะมีแก่ใจเอ่ยถึงเรื่องสัพเพเหระขึ้นมา “พูดถึงน้องชายสี่ …ได้ยินมาว่าคราก่อนที่น้องสะใภ้สี่มาหาและถูกเจ้าเตือนจนใจอ่อน แล้วก็สำนึกผิดขึ้นมาอย่างจริงจังจนเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่หรือ?”
“พี่สะใภ้ใหญ่ไปฟังคำนี้มาแต่ที่ใดเจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ “ข้าเองก็ยังเด็กไม่รู้ความ ยังต้องคอยขอคำชี้แนะจากท่านแม่และพวกพี่สะใภ้เรื่องธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ อยู่เสมอเลย แล้วจะมีปัญญาไปใดไปตักเตือนให้น้องสะใภ้สี่เชื่อฟังได้เจ้าคะ? เป็นน้องสะใภ้สี่เองที่รู้สึกผิดกับเรื่องก่อนหน้านี้ตลอดมา ส่วนข้านั้นก็เพียงแค่พูดถูกจังหวะไปสองสามคำ ต่อให้เป็นผู้อื่นก็ต้องเป็นดังนี้เช่นกัน เพียงแค่ถูกข้าชิงลงมือไปก่อนเท่านั้น หากเป็นท่านแม่และพวกพี่สะใภ้ ไม่แน่ว่าจะยิ่ง…”
นางหลิวหัวเราะแล้วแย่งพูดว่า “เจ้านี่ อย่าถ่อมตัวเลย พูดเช่นนี้เท่ากับเอาทองมาปิดหน้า[1]พวกเราเชียว? ข้าจะบอกเรื่องลับๆ กับเจ้าสักคำ อย่าให้ท่านแม่รู้ทีเดียวเล่า …หากเป็นข้า จะมีแก่ใจใดไปเตือนนาง? ไม่อยากให้นางมารังควานข้าแทบใจจะขาด เจ้าลองคิดถึงตอนที่นางเพิ่งแต่งเข้าบ้านมา พวกเราต้องคอยตระเตรียมงานอย่างลำบากลำบนมากี่วัน? ครานั้นเจ้าเองก็เพิ่งแต่งงานใหม่ได้ไม่นาน ไม่คิดว่าแม้นางจะไม่รู้สึกขอบอกขอบใจ หรือไม่พูดคำเกรงใจสักคำก็ยังไม่เป็นไร แต่คำที่นางพูด มีคำใดที่มิใช่มีดมาแทงเข้ากลางใจคนหนแล้วหนเล่า? คนเช่นนี้ ข้าทั้งไม่กล้าจะคบค้า และไม่อยากจะคบค้าด้วยอีกแล้ว”
“พี่สะใภ้ใหญ่ไม่เห็นข้าเป็นคนอื่นคนไกล ข้าก็จะพูดความจริงกับพี่สะใภ้ใหญ่สักคำ พี่สะใภ้ใหญ่โปรดอย่างโกรธเคือง!” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มอ่อนๆ …นางหลิวบอกจะพูดกับนางเรื่องที่ไม่อาจให้ฮูหยินซูรู้ได้ นี่ก็แสดงท่าทีว่าต้องการพูดเปิดอกต่อกันแล้ว แม้จะรู้ว่าสาเหตุส่วนใหญ่ที่นางหลิวทำเช่นนี้ ก็ยังทำเพื่อหลิวรั่วอวี้ หาได้ต้องการจะมาเป็นพี่สะใภ้ที่สนิทชิดเชื้อกับนางประหนึ่งพี่น้องแท้ๆ ทว่าเว่ยฉางอิ๋งก็ไม่สนใจว่าตนต้องแสดงละครตบตาไปด้วย จึงเอ่ยว่า “อาจเป็นเพราะข้าอยู่ในลำดับท้ายสุด และมี พี่สะใภ้สองท่านอยู่ก่อนหน้า คราก่อนที่น้องสะใภ้สี่ก่อเรื่องจึงไม่ได้เอ่ยถึงข้าเท่าใดนัก ยิ่งไปกว่านั้นครั้งน้องชายสี่แต่งงาน เพราะข้ายังไม่รู้ความเท่าใด โดยมากแล้วจึงเป็นได้เพียงผู้ช่วยของท่านแม่และพี่สะใภ้ใหญ่ท่าน หากจะบอกว่าข้าต้องทำงานยุ่งก็คงมีแค่เพียงน้อยนิด หรือจะบอกว่ามีเรื่องต้องให้เป็นห่วงยิ่งพูดไม่ได้ใหญ่ เมื่อข้าไม่ได้ทุ่มเทมากมาย จึงมิได้บาดเจ็บเท่าใด และพอมีแก่ใจไปตักเตือนนาง หากให้ข้าเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะต้องมีความคิดเห็นเช่นเดียวกับพี่สะใภ้ใหญ่แน่นอนเจ้าค่ะ”
นางหลิวเอ่ยพลางยิ้มว่า “อย่างไรเจ้าก็ยังใจดีกว่าข้ามากนัก หากให้ข้าเป็นเจ้า ข้าก็ยังคร้านจะไปมากความกับนางเช่นเดิมนั่นล่ะ”
คู่สะใภ้สองคนหัวร่อต่อกระซิกัน เวลาหนึ่งวันก็ผ่านไปโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว …จนมาถึงเวลาเย็น นางหลิวหยัดตัวขึ้น คล้ายว่ายังไม่คลายความกังวล ว่าแล้วก็จัดแจงเสื้อผ้า มองดูถังทองแดงหยดน้ำ กล่าวว่า “พวกของท่านแม่คงใกล้จะกลับมาแล้ว ข้าต้องออกไปต้อนรับสักหน่อย”
“ข้าไปกับพี่สะใภ้ด้วย” เว่ยฉางอิ๋งบอกว่าจะลุกขึ้นไปด้วย นางหลิวรีบบอกว่า “เจ้าอย่าไป! ก่อนท่านแม่ไปก็กำชับไว้เป็นพิเศษว่าเวลานี้เจ้าเพิ่งจะแข็งแรง ห้ามไม่ระวังอีกเด็ดขาด! ท่านแม่ห้ามไม่ให้เจ้าออกไปจากเรือนในชั้นนี้ …เวลานี้หาใช่ยามจะมาห่วงพิธีรีตองนะ! เจ้าจงเชื่อคำ!”
เว่ยฉางอิ๋งร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่เชิง แต่เพราะเห็นว่านางหลิวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง จึงได้แต่กลับลงไปนั่ง เอ่ยพลางหัวเราะว่า “ข้าอ่อนแอเช่นนั้นที่ใดกัน?”
“นี่หาใช่ยามที่เจ้าจะมาอวดอ้างความสามารถไม่” นางหลิวเอ็ดนางไปเบาๆ “เจ้าอย่าเห็นแผลเป็นหายแล้วก็หลงลืมความเจ็บปวด …ไม่พูดกับเจ้าแล้ว ข้าจะรีบไปข้างหน้าแล้ว โอ้ พวกจูหลานเล่า? รีบพาซูเหยียนมาเร็ว”
เว่ยฉางอิ๋งจึงให้เจวี๋ยวเกอไปเรียกพวกจูหลานมา เสิ่นซูเหยียนถูกนางว่านอุ้มเอาไว้ นางกำลังหัวเราะไม่หยุด ในมือนางถือดอกกุหลาบขนาดใหญ่ ใบหน้าน้อยๆ ของเสิ่นซูเหยียนแนบอยู่กับกลีบดอกไม้ ยามใบหน้าน้อยๆ สีชมพูระเรื่ออยู่กับกลีบดอกไม้สีชมพูอ่อน ดูประหนึ่งรูปสลักหยก
เมื่อนางถูกวางลงบนพื้นและเดินเข้ามาคารวะ เว่ยฉางอิ๋งก็อดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วไปหยิกแก้มน้อยๆ นั้น พลางยิ้มแล้วบอกว่า “นับวันซูเหยียนจะยิ่งงามขึ้นแล้ว”
“ท่านอาสะใภ้สามก็งามเช่นกันเจ้าค่ะ” เสิ่นซูเหยียนที่อายุเกือบห้าขวบรู้วิธีพูดจาตามมารยาทแล้ว ได้ยินคำจึงชมตอบด้วยน้ำเสียงของเด็กน้อย
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งคิดอยากจะเล่นกับนางสักหน่อย แต่นางหลิวกังวลว่าจะไปต้อนรับพวกของฮูหยินซูช้า จึงให้บ่าวซ้ายขวามาล้างหน้าให้เสิ่นซูเหยียน จัดแจงเสื้อผ้าให้นางเล็กน้อย แล้วก็รีบพานางไปเสียแล้ว
__________________________
[1] เอาทองมาปิดหน้า หมายถึง ยกยอ พูดเอาใจ